หลังคนสกุลถังส่งประธานสมาคมชิงหลงและเจ้าสำนักทั้งสี่จากไปแล้ว กลับยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้“คนของสมาคมชิงหลงเกรงใจเกินไปแล้ว ท่าทีไม่เหมือนที่ผ่านมา” นายท่านถังพูดเสียงเครียด“มิหนำซ้ำคำว่าเกรงใจสองพยางค์นี้ ไม่สมควรปรากฏในพจนานุกรมของสมาคมชิงหลงเลยด้วยซ้ำ”สมาคมชิงหลงเป็นหัวหน้าใหญ่ในแวดวงใต้ดินของเมืองหนาน ชื่อเสียงโหดเหี้ยมเว้นเสียแต่เมื่อหลายปีก่อนที่พลาดท่าให้เจียงเสี่ยวอู่ในครั้งนั้น...ครั้งนี้กับครั้งนั้นก็เหมือนกัน อยู่เหนือจินตนาการ ยากจะเข้าใจได้ทำไมพวกเขาถึงพูดจาหยาบคายกับเจียงเสี่ยวอู่ แต่มีมารยาทต่อคนสกุลถังกันนะ?“ตกลงนี่เพราะอะไรกันแน่?” นายท่านถังขมวดคิ้วครุ่นคิดแม้ว่านี่เป็นเรื่องดี แต่กะทันหันมากเกินไป ยากจะไม่ให้คนคิดมาก“คุณอาถัง คุณอาอย่าคิดมากเกินไปเลย สกุลถังทำความร่วมมือกับเซิ่งหรงกรุ๊ปแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ด้วยตำแหน่งของเซิ่งหรงกรุ๊ป สมาคมชิงหลงเกรงใจพวกคุณอาก็สมเหตุสมผล” เซียวเฉินพูดยิ้มๆ“แล้วเพราะอะไรเซิ่งหรงนั้นถึงมาหาพวกเราสกุลถังล่ะ?” นายท่านถังส่ายหน้าดังเดิมนักธุรกิจทำธุรกิจย่อมต้องเห็นผลประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญเซิ่งหรงมามอบความช่วยเหลือ
ริมทะเลสาบเมืองหนานเฉิง อาคารกูเยว่นี่คือภัตตาคารสูงที่สุดของเมืองหนานเฉิง ก่อสร้างรูปแบบโบราณ ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการอย่างมากราคาของที่นี่สูงมาก ราคาแพงที่สุด ต่อให้เป็นเศรษฐีเมืองหนานเฉิงก็ต้องใคร่ครวญให้ดีวันนี้สกุลเจียงตั้งใจเหมาห้องวีไอพีที่ชั้นบนสุดสองห้องไว้เป็นพิเศษ เพื่อรับรองการมาเยือนของเหล่าหมอมีชื่อเสียงในประเทศเซี่ยเจียงอีอีและเจียงซือซือสองพี่น้องยืนที่หน้าประตูโถงรับแขกชั้นหนึ่งของอาคารกูเยว่ มาต้อนรับด้วยตนเองเจียงอีอีวางแผนไว้ดีมากใช้ชื่อเสียงของหมอเทวดาดึงดูดเหล่าอาจารย์หมอระดับสูงเหล่านี้มา พยายามสานสัมพันธ์ให้ดี ขยายเครือข่ายของสกุลเจียงหมอระดับหนึ่งนับว่ามีตำแหน่งสูงในประเทศเซี่ย คู่ควรให้ดึงเป็นพรรคพวกมองดูหมอระดับหนึ่งมีชื่อเสียงแต่ละคนเดินทางมา สองพี่น้องยิ้มร่าต้อนรับขับสู้เพราะอ้างชื่อศิษย์ของหมอเทวดา หมอเหล่านั้นเกรงใจเจียงซือซืออย่างมากใบหน้าเจียงซือซือประดับยิ้ม คำเยินยอของเหล่าอาจารย์หมอระดับสูงทำให้เธอภาคภูมิใจอยู่ๆ สายตาก็หยุดนิ่งไป“พี่ใหญ่ รีบดูเร็วเข้า!” เธอชี้ไปข้างหน้าพลางตะโกนเจียงอีอีขมวดคิ้วมองไป สีหน้าเคร่
เซียวเฉินพาถังซินเวยขึ้นไปบนชั้นห้าของอาคารกูเยว่โดยตรงเจียงซือซืออ้างชื่อของเขาเรียกหมอมีชื่อเสียมายังเมืองหนานเฉิง เขาย่อมไม่นั่งนิ่งดูดายหลังมาถึงชั้นห้าแล้ว มองเห็นห้องส่วนตัวสองห้องถูกเปิดประตูทิ้งไว้ ภายในส่วนใหญ่ล้วนเป็นแพทย์อาวุโสชราภาพแล้วคนเหล่านี้ล้วนเป็นแพทย์ระดับหนึ่งของประเทศเซี่ย มีตำแหน่งสูงเซียวเฉินพาถังซินเวยเดินไปยังห้องส่วนตัวฝั่งตรงข้ามแห่งหนึ่ง ยังไม่ปิดประตู สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอาจารย์หมอเหล่านั้นได้ตอนนี้อาจารย์หมอระดับหนึ่งกำลังถกเถียงกันอย่างตื่นเต้น ล้วนคิดว่าใกล้จะได้พบหมอเทวดาแล้วนั่นคือภูเขามหึมาทางสายแพทย์ ดุจอนุสณ์ที่มีชีวิตอยู่ ต่อให้เป็นอาจารย์หมอระดับหนึ่งก็ล้วนเลื่อมใสอย่างมาก“คณหนูสี่สกุลเจียงสามารถคำนับหมอเทวดาเป็นอาจารย์ได้ เห็นชัดว่าเธอมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ชวนให้คนอิจฉาจริงๆ เลย...สกุลเจียงมีหมอเทวดาเป็นที่พึ่ง ไม่มีวันล้มลง” ถังซินเวยพูดอย่างสลดใจเธอตั้งใจพูดให้เซียวเฉินฟังแท้จริงแล้วเธอไม่หวังให้เซียวเฉินแก้แค้นสกุลเจียง เพราะตอนนี้สกุลเจียงมีอำนาจยิ่งใหญ่ เธอกลัวเซียวเฉินจะถูกทำร้าย“ไม่มีวันล้มเหรอ?” เซียวเฉินหัวเรา
“ปากดีนักนะ!”ภายในห้องส่วนตัวมีอาจารย์หมออาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืน สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา“แม้แต่สกุลหลินแห่งเจียงเป่ยก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา คาดว่านายมีภูมิหลังยิ่งใหญ่มากสินะ กลับไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนถึงกล้าพูดแบบนี้!” อาจารย์หมออาวุโสคนนั้นขยับขึ้นมาหลายก้าว สบตาเซียวเฉินโดยตรง รัศมีเปี่ยมความกดดัน“อาจารย์หมอหลิว”เจียงอีอีทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท“คนๆ นี้ชื่อว่าเซียวเฉิน เดิมทีเป็นเด็กกำพร้าที่สกุลเจียงรับเลี้ยงไว้ แต่เพราะสาเหตุบางอย่างจึงถูกขับไล่ออกจากสกุลเจียง เพราะเรื่องนี้ทำให้มีความคับแค้นใจ คิดแก้แค้นมาโดยตลอด วันนี้เขามาเพื่อทำลายงาน ต้องการทำลายการพบกันของทุกท่านและหมอเทวดา...”“สกุลเจียงเลี้ยงเด็กเนรคุณแบบนี้ออกมา อีอีรู้สึกผิดเหลือเกิน ขอโทษทุกท่านไว้ที่นี่ด้วยค่ะ” เจียงอีอีโค้งคำนับอาจารย์หมอเหล่านั้น“คุณหนูอีอี ไม่ใช่เรื่องของคุณเสียหน่อย ทำไมต้องรับผิดชอบความผิดพลาดของไอ้เด็กเนรคุณคนนั้นด้วย?” ทันใดนั้นมีอาจารย์หมอพูดขึ้น“ไม่รู้ความ กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ ใครมอบความกล้าให้กัน!”“ไล่เขาออกไป! งานสำคัญขนาดนี้ จะปล่อยให้คนพรรค์นี้ทำลายได้ยังไง!”......เพ
“พรวด!”“แค่กๆ...”จากนั้นอาจารย์หมอระดับหนึ่งหลายคนก็เข้ามาลองอย่างต่อเนื่องเพียงแต่ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน ไม่มีใครสามารถคลายจุดลมปราณที่เจียงหลิวถูกปิดกั้นไว้ได้หากฝืนคลายจุดลมปราณ ก็จะเหมือนอาจารย์หลิวก่อนหน้านี้ ไม่เพียงทำร้ายตนเอง ยังจะทำให้เจียงหลิวได้รับบาดเจ็บมากขึ้นอีกด้วยเหล่าหมอมีชื่อเสียงพูดไม่ออก ไม่กล้าตำหนิอย่างโอหังอีกก็เหมือนอย่างที่เซียวเฉินพูด ไม่มีใครสามารถช่วยได้ทั้งๆ ที่เป็นแค่จุดลมปราณธรรมดาแห่งหนึ่ง กลับทำให้เหล่าอาจารย์หมอมีชื่อเสียงทำอะไรไม่ถูกเห็นสีหน้าเจียงหลิวซีดลงเรื่อยๆ ลมหายใจเองก็อ่อนแรงยิ่งขึ้น เจียงอีอีและเจียงซือซือร้อนใจดุจไฟเผา ใบหน้าเขียวคล้ำ“หรือว่าไม่มีใครสามารถรักษาน้องเล็กได้จริงๆ” พวกเธอไม่อยากเชื่อเซียวเฉินคนนั้น ทั้งๆ ที่เป็นแค่ตัวไร้ประโยชน์คนหนึ่ง!ทำไมเจียงหลิวถูกเขาทำร้ายอาการหนักถึงขนาดนี้ เหล่าหมอมีชื่อเสียงล้วนไม่สามารถรักษาได้“เลิกรักษาได้แล้ว!”เห็นเจียงหลิวเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย ในที่สุดเจียงอีอีก็ระเบิดอารมณ์ ออกแรงตะโกนออกไปหนึ่งประโยคจะรักษาต่อไปไม่ได้...ยังรักษาต่อไป เจียงหลิวก็ไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว“ทำ
“เจียงซือซือ ลุกขึ้นเถอะ”เซียวเฉินพูดเสียงเรียบ“อาจารย์ ในที่สุดคุณก็ให้อภัยฉันแล้ว!” เจียงซือซือเผยอารมณ์ตกตะลึงระคนดีใจ“เธอถูกไล่ออกจากสำนักแล้ว อย่าเรียกฉันว่าอาจารย์อีก!” ประโยคต่อมาของเซียวเฉินทำให้รอยยิ้มเธอหายไป“อาจารย์ เพราะอะไร?” เธอตะโกนถามเพราะอะไรถึงยังไม่ให้อภัย? ตกลงเธอทำอะไรผิดไปกันแน่?“ฉันบอกแล้ว อย่าเรียกฉันว่าอาจารย์อีก! เธอไม่คู่ควร!” เซียวเฉินพูดอย่างรำคาญร่างกายเจียงซือซือโงนเงน ซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว ถูกเจียงอีอีประคองไว้เธอยอมรับความสะเทือนใจเช่นนี้ไม่ไหวใบหน้าเจียงอีอีเปี่ยมความไม่เข้าใจเธอถามเจียงซือซือไม่รู้ตั้งกี่รอบ แต่กลับไม่พบว่าตกลงอาจารย์ศิษย์สองคนนี้มีปัญหาอะไรคล้ายอยู่ดีๆ หมอเทวดาก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างกะทันหัน“บังเอิญที่นี่มีอาจารย์หมออยู่ไม่น้อย งั้นฉันขอประกาศอีกครั้ง” เซียวเฉินพูดเสียงเรียบ“คุณหนูสี่สกุลเจียงเจียงซือซือ ถูกฉันไล่ออกจากสำนักตั้งนานแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ไปไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฉันหมอเทวดาไม่มีศิษย์อีกต่อไป!” เสียงของเขาเด็ดขาดเหล่าอาจารย์หมอต่างพากันฮือฮา ถกเถียงกันขึ้นมาเจียงซือซือถึงขั้นถูกไล่ออกจากสำ
ตัวของเซียวเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่า เจียงอีอีจะคุกเข่าขอร้องต่อหน้าของเขารวดเร็วขนาดนี้เพื่อช่วยเจียงหลิวแล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอจะยอมทุ่มเทขนาดนี้เจียงอีอีหยิ่งยโสขนาดไหน เซียวเฉินรู้ดีเขาเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจ“เป็นพี่น้องที่รักกันมากจริง ๆ” เซียวเฉินพูดด้วยความเหน็บแนมเล็กน้อยเขาอยู่ที่สกุลเจียงมาสิบกว่าปี รับใช้ห้าพี่น้องมาตลอด อย่างกับคนรับใช้ความทุ่มเทแบบนั้น กลับไม่เคยถูกมองตรง ๆ เลยสักครั้งเจียงหลิวเพิ่งถูกตามตัวกลับมาได้ไม่นาน เจียงอีอีก็ยอมโยนศักดิ์ศรีทิ้งคุกเข่าขอร้องตนเองเพื่อเขาแล้ว“คนที่ทุ่มเทให้สกุลเจียงของเธอมาสิบกว่าปีกับญาติที่สนิทพึ่งเจอหน้ากันครั้งแรกคนหนึ่ง แตกต่างกันมากขนาดนี้เลยเหรอ?” เซียวเฉินพูดเพียงประโยคเดียวเจียงอีอีไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหมอเทวดาถึงได้พูดจาแบบนี้หรือว่าเขารู้จักเซียวเฉิน?“ต่อให้คนนอกทุ่มเทมากขนาดไหน ก็เป็นเพียงคนนอก ญาติสนิทต่อให้เป็นคนแปลกหน้า ก็มีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่! ทั้งสองคนไม่สามารถเอามาเปรียบกันได้เลยแม้แต่น้อย!” เธอพูดอย่างจริงจังเซียวเฉินรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งนี่ก็คือแนวความคิดของพี่น้องสกุลเจียงอย่างน
“เป็นยังไงบ้าง?”เจียงซือซือเพิ่งกลับมาถึงสกุลเจียง พี่น้องทุกคนก็รีบถามเธอ“ไอ้เซียวเฉินนี่พูดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง! ให้ตายยังไงมันก็ไม่ยอมบอกวิธีการรักษาน้องเล็ก!” เจียงซือซือพูดด้วยความแค้นเคือง“นี่คือการเอาคืนสกุลเจียงของมันเหรอ? น่าตลกจริง ๆ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกแต่ไม่ยอมให้พวกเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหรอ?” เจียงเสี่ยวอู่แค่นหัวเราะติด ๆ กัน“ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันไปตายซะ” เจียงอีอีพูดเสียงราบเรียบ“เวลานี้ หลินเทาน่าจะพาคนไปที่สกุลถังแล้ว...บนโลกใบนี้ มีคนมากมายที่สามารถจัดการมันได้!”......กลางดึก ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้ามือของหลินเทาพันด้วยผ้าพันแผล มือข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่หน้าอก นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถที่ขับนำหน้า สีหน้าอึมครึมเขาคือคุณชายใหญ่ของสกุลหลินแห่งเจียงเป่ย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศเซี่ย ตอนหลังได้เป็นศิษย์ของแพทย์ชื่อดังเข้าศึกษาความรู้ทางด้านแพทยศาสตร์เพิ่มเติมครั้งนี้ติดตามอาจารย์มายังเมืองหนานเฉิง ก็เพราะหวังว่าจะได้เห็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ทางด้านแพทยศาสตร์ อยากจะได้รับคำชี้แนะของเขา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงออกหน้าแทนเจียงซื
จ้าวเทียนอีแผดเสียงร้องโหยหวนออกมาราวกับปอดจะฉีก เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส “พูดไม่พูด?” “อยากรู้เหรอ? ฝันไปเถอะ!” จ้าวเทียนอีคำรามเสียงดังสนั่น เซียวเฉินเหยียบลงไปที่แขนอีกข้างหนึ่งของเขาอีกครั้ง แขนสองข้างถูกเหยียบจนหัก จ้าวเทียนอีเจ็บปวดจนแทบตายไปตรงนั้น ความเคียดแค้นต่อเซียวเฉินที่อยู่ในใจพุ่งสูงถึงขีดสุดแล้ว ถังซินเวยมองดูสถานการณ์จนอกสั่นขวัญแขวน ต่อให้สกุลถังจะอยู่ในช่วงรุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่จะด้านใด ๆ ก็ยังเทียบไม่ได้กับสกุลจ้าว จะยั่วยุล่วงเกินอีกฝ่ายไม่ได้เด็ดขาด เซียวเฉินทำจ้าวเทียนอีบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว เกรงว่าเธอคงจะหมดปัญญาปกป้องแล้ว “ยังไม่บอกอีกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว” เซียวเฉินเห็นจ้าวเทียนอียังคงดื้อรั้นปากแข็ง สีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะยกเท้าขึ้นกระทืบไปบนขาซ้ายของอีกฝ่าย ไม่รอคำตอบ ก็ยกเท้ากระทืบขาขวาของเขาไปอีกครั้ง เพียงพริบตาเดียว แขนขาทั้งสี่ของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้น ทว่าเซียวเฉินก็มิได้ใจอ่อนลงแม้แต่น้อย กล้าดูหมิ่นถังซินเวย เขาไม่มีทางยกโทษให้เด็ดขาด! “ฉันบอก…ฉันบอกก็ได้…” ในที่สุดจ้าวเทียนอีก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ร้องออกมาพร้อ
บอดี้การ์ดสองคนของจ้าวเทียนอีเดินตรงเข้ามาหาเซียวเฉิน ก่อนที่จ้าวเทียนอีจะเข้ามารับช่วงต่อดูแลธุรกิจของตระกูลก็เคยเป็นคุณชายเสเพล ใช้อำนาจอิทธิพลของสกุลจ้าวมาทำตัวโอหังอวดดี บอดี้การ์ดสองคนนี้เขาจ้างมาทำงานด้วยราคาสูง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คอยช่วยเขาจัดการกับคนที่ทำให้เขาไม่พอใจมานักต่อนักแล้ว ผู้ช่วยตัวเล็ก ๆ ท่าทางธรรมดาเหมือนอย่างเซียวเฉิน จ้าวอีเทียนไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา หลังจากออกคำสั่งก็คร้านจะหันกลับไปมองอีก เขาหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมา จิบเบา ๆ ทว่ายังไม่ทันได้กลืน “ปึง ปัง…” ก็ได้ยินเสียงกระแทกหนัก ๆ ดังขึ้นสองครั้ง เขายกยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางเงยหน้ามอง แต่ก็ต้องชะงักไปทันที บอดี้การ์ดที่เขาจ้างมาด้วยเงินสูงลิ่วถูกซัดลอยกระเด็น ก่อนจะล้มฟาดข้างโซฟาทั้งสองข้างอย่างแรง “หือ?” จ้าวเทียนอีขมวดคิ้วขึ้น จ้องมองเซียวเฉินอย่างประหลาดใจ “เหอะ ก็มีฝีมืออยู่บ้างนี่…” เขาดึงหน้าขรึมเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา “แกรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร?” จ้าวเทียนอีวางแก้วไวน์ลง พลางถามอย่างไม่แยแส “ถ้าไม่รู้ แกก็ลองถามถังซินเวยดูสิ” “คนที่กล้าล่วงเกินฉัน มีจุดจบอยู่สองแบบ ไม่ขอโทษด้
“ประธานจ้าว พวกเรามาพบกันสักหน่อยได้ไหมคะ? ฉันอยากจะขอเจรจากับคุณสักหน่อยค่ะ…” ถังซินเวยเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นคุณก็มาที่โรงแรมเยว่เผิงได้หรือเปล่า” น้ำเสียงจากปลายสายเจือด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ถังซินเวยไม่กล้าล่าช้า รีบขับรถมุ่งตรงไปที่โรงแรมเยว่เผิงทันที เมื่อมาถึง ก็รีบขึ้นลิฟต์อย่างร้อนรนไปยังห้องรับรองส่วนตัวที่อีกฝ่ายพูดถึงทันที ภายในห้องรับรองส่วนตัว มีชายหนุ่มที่ดูวัยรุ่นมาก ๆ คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ข้างกายมีบอดี้การ์ดสองคน และมีอาหารหรูหราวางอยู่เต็มโต๊ะ ระหว่างทางถังซินเวยได้บอกเซียวเฉินแล้วว่า ประธานจ้าวคนนี้ชื่อว่าจ้าวเทียนอี เป็นคุณชายจากสกุลจ้าวซึ่งเป็นตระกูลยิ่งใหญ่มีอิทธิพลในเมืองหนานเฉิง แม้ว่าอายุยังน้อยแต่ก็ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบหน้าที่สำคัญแล้ว เรื่องจัดหาวัสดุ ก็เป็นเขาเองที่ติดต่อกับถังซินเวยมาโดยตรง เห็นถังซินเวยเข้ามา จ้าวเทียนอีก็ผุดยิ้ม ทว่าเห็นด้านหลังของเธอมีเซียวเฉินตามมาด้วยอีกคน สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย “ประธานจ้าว ต้องขออภัยจริง ๆ ค่ะที่ทำให้คุณต้องรอนาน…” ถังซินเวยเข้าไปก็กล่าวขอโทษทันที ด้วยท่าทีอ่อนน้อม จ้าวเ
เจียงอู๋ซวงที่เสียสติถูกส่งตัวกลับบ้านสกุลเจียง เห็นเจียงอู๋ซวงผมเผ้ายุ่งเหยิงสภาพดูอิดโรยน่าสังเวชแบบนั้น พี่น้องสกุลเจียงต่างตกตะลึงหน้าถอดสี “พี่รอง พี่เป็นอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” พวกเธอรีบกรูกันเข้าไปล้อมรอบ “น้องรอง เธอเป็นอะไรไป?” เจียงอีอีขมวดคิ้ว “เธอเป็นดาราสาวตัวท็อป สภาพแบบนี้ถ้าเกิดถูกนักข่าวถ่ายภาพไปได้ ต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ถูกวิจารณ์หนักหน่วงแน่ ชื่อเสียงสกุลเจียงต้องเสื่อมเสียแน่นอน” เจียงอู๋ซวงแววตาเหม่อลอย ไม่มีท่าทีโต้ตอบใด ๆ กับคำตำหนิของเธอ “แย่แล้ว…พวกเราพลาดไปแล้ว…” เธอขยับปากพึมพำ “แย่อะไร? พวกเราทำพลาดอะไรตรงไหนเหรอ?” พี่น้องสกุลเจียงได้ยินก็งุนงงไม่เข้าใจ “ไม่ควรไล่เซียวเฉินออกจากสกุลเจียงเลย พวกเราพลาดไปแล้ว…” เจียงอู๋ซวงพูดออกมาอย่างเหม่อลอย “หุบปาก!” สีหน้าของเจียงอีอีพลันเยือกเย็นลงทันที “เจียงอู๋ซวง นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? ถึงได้กล้ามาสงสัยกับการตัดสินใจของฉัน! พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดนะ!” เธอตวาดด้วยเสียงเย็นชา “คน…ผู้คนมากมาย…ตายไปหมดแล้ว” เจียงอู๋ซวงพลันร้องไห้ออกมา ความหวาดกลัวฉายชัดเต็มใบหน้า “ถูกเขาฆ่าตายหมด ทุกคนถูกเขาฆ่า
นั่นคือจุดสูงสุดที่สกุลเจียงต้องแหงนหน้ามองและไม่อาจเอื้อมถึง… “เซียวเฉิน แกซ่อนตัวได้เนียนนักนะ!” เจียงอู๋ซวงกัดฟันพลางเอ่ย หากว่าเซียวเฉินเผยตัวออกมาว่าไม่ใช่คนธรรมดาเร็วกว่านี้ ใครจะกล้าไล่เขาออกไป? คงจะรีบสอพลอเสียด้วยซ้ำ เจียงอู๋ซวงไม่ได้รู้สึกเสียใจ เพียงแต่รู้สึกว่าเซียวเฉินสมองเพี้ยนไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีตำแหน่งยิ่งใหญ่น่าเหลือเชื่อขนาดนั้นแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นตัวไร้ประโยชน์! “เจียงอู๋ซวง พี่รู้หรือเปล่า ว่าผมตั้งใจก่อตั้งตำหนักมืดขึ้นก็เพื่อสกุลเจียง?” เซียวเฉินหัวเราะเย็นเยียบออกมาด้วยสีหน้าดูถูก “กำลังคิดว่าจะมอบให้สกุลเจียงแท้ ๆ แต่พวกพี่กลับไล่ผมออกจากสกุลเจียง!” เจียงอู๋ซวงเบิกตาโพลง ม่านตาสั่นไหว จะบอกว่า พวกเธอทิ้งอำนาจการควบคุมองค์กรอันดับหนึ่งของโลกไปเองกับมืออย่างนั้นเหรอ? ในที่สุดเจียงอู๋ซวงก็นึกเสียดายขึ้นมาแล้ว และยังเป็นความเสียดายที่รุนแรงอย่างถึงที่สุด หากว่าสกุลเจียงสามารถควบคุมตำหนักมืดได้… เจียงอู๋ซวงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสกุลเจียงจะรุ่งเรืองมากขนาดไหน “ท่านเจ้า…เจ้าแห่งความมืด…” หัวหน้าพรรคชิงสีหน้าซีดเซียว ประสานมือคารวะต่อเซียวเฉิน
โถงหลักของพรรคชิงพังทลายแล้ว! คล้ายกับมีกระแสคลื่นคลั่งโหมกระหน่ำเข้ามา ทำลายทุกสิ่งแหลกละเอียด กำแพงถล่มลงมา คนจำนวนมากมายมหาศาลหลั่งไหลกันเข้ามา “โครม …” เสียงแววดังมาจากด้านบนศีรษะ คนของพรรคชิงตะลึงอึ้งงัน ทว่าไม่นานพวกเขาก็เข้าใจแล้ว แสงจากโลกภายนอกส่องเข้ามาจากด้านบน นั่นเป็นเพราะเพดานโถงทั้งอันของห้องโถงหลักกำลังเลื่อนขึ้นไป มันถูกเกี่ยวให้ลอยขึ้นไปแล้ว มองไปกลางท้องฟ้า เพียงปราดเดียวก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดึงเพดานโถงหลักของพรรคชิงออกไป ฉับพลันทันใดนั้น ก็มีเฮลิคอปเตอร์จู่โจมหลายสิบลำกำลังลอยนิ่ง ๆ อยู่เหนือศีรษะของพวกคนพรรคชิง อาวุธหนักที่ติดบนเฮลิคอปเตอร์เล็งเป้าลงมาด้านล่างแล้ว “ปึง!” ทันใดกั้นก็มีกระบอกปืนทะลุเข้ามา เมื่อมองให้ดีแล้ว นั่นคือรถถัง ซึ่งจอดเรียงกันเป็นแนวยาว อยู่ด้านหลังเซียวเฉิน ปลายกระบอกปืนสีดำมืดเล็งเป้าไปยังจุดที่เบื้องบนของพรรคชิงนั่งอยู่ หากมองทะลุรอยแยกเล็ก ๆ ออกไป ก็จะเห็นว่าที่แม่น้ำด้านนอกสำนักงานใหญ่พรรคชิง มีเรือสงครามจอดรอคำสั่งอยู่ ทั้งทางน้ำ บนบก และอากาศ ปิดล้อมพรรคชิงไว้ได้อย่างสมบูรณ์ “นะ…นี่มัน…”
สำนักงานใหญ่ของพรรคชิงตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองหนานเฉิง ตอนที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอดนอกสำนักงานใหญ่พรรคชิง เจียงอู๋ซวงถูกเซียวเฉินโยนออกไปด้านนอก เธอกลิ้งกระเด็นกระดอนจนเศษดินเศษฝุ่นเปรอะเต็มหน้า “ไอ้บ้า! แกมันบ้าไปแล้ว!” เธอตะคอกเสียงแข็งด้วยความโกรธและอับอาย เซียวเฉินปลิดชีวิตทูตยมโลกแล้ว มิหนำซ้ำยังบังคับให้เธอขึ้นเฮลิคอปเตอร์ แล้วพามาที่สำนักงานใหญ่พรรคชิงจริง ๆ พรรคชิงครองอำนาจอิทธิพลครอบคลุมทุกพื้นที่ ภายในสำนักงานใหญ่ย่อมซ่อนเสือซ่อนมังกรไว้เสมือนเป็นถ้ำเสือรังมังกร… เซียวเฉินกล้าดีอย่างไร? อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะลุยเดี่ยวเข้าไปในที่แบบนี้! “ใคร?” คนของพรรคชิงเดินเข้ามา ถือปืนไว้ในมือพร้อมยิงทุกเมื่อ เจียงอู๋ซวงกลัวจนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้น “เขาคือเซียวเฉิน ฆ่าทูตยมโลกกับนายท่านสามสกุลสวีของพรรคไปแล้ว รีบเข้าไปจับตัวมันไว้ซะสิ!” เธอตะโกนด้วยความขลาดกลัว “อะไรนะ? ฆ่าทูตยมโลกไปแล้ว?” คนของพรรคชิงตะลึงงัน ทูตยมโลกคือนักฆ่ายอดฝีมือของพรรคชิง แข็งแกร่งเก่งกาจเป็นที่สุด จะถูกฆ่าง่าย ๆ ได้อย่างไร? “กล้าหาญนัก ตายซะเถอะ!” ปากปืนสิบกว่ากระบอกเล็งเป้ามาที่เซียวเฉิน เ
เซียวเฉินผุดยิ้มบาง ๆ “ใช่ ฝีมือของฉันเอง” เสียงของเขาราบเรียบ ทูตยมโลกหรี่ตา เจียงอู๋ซวงสีหน้านิ่งชะงักงันไป สองคนต่างคิดไม่ถึงว่าเซียวเฉินจะยอมรับได้เต็มปากเต็มคำขนาดนั้น “แกทำได้อย่างไร?” ทูตยมโลกเค้นถาม “แค่ฆ่าคน จมเรือทิ้ง แค่นี้เรื่องง่าย ๆ” เซียวเฉินเอ่ยยิ้ม ๆ รอยยิ้มนั้นดูเรียบง่าย เหมือนกับสิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปเรื่องหนึ่ง ทูตยมโลกหรี่ตาอีกครั้ง “บนเรือลำนั้นมีคนมากกว่าสองร้อยชีวิต แกฆ่าทิ้งทั้งหมดเลยเหรอ? แกคิดว่าแกเป็นใครกัน?” เจียงอู๋ซวงพ่นลมออกทางจมูกทันใด ในสายตาของคนสกุลเจียง เซียวเฉินก็เป็นแค่สวะไร้ค่าคนหนึ่ง ไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย เขาจะทำเรื่องน่าตกใจแบบนี้ได้อย่างไร? สีหน้าของเจียงอู๋ซวงฉายประกายดูแคลนออกมาอย่างถึงที่สุด “แกฆ่าคนได้ยังไง? แล้วจมเรือทิ้งได้ยังไง?” ทูตยมโลกเค้นถามต่อด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “แกก็ลองไปถามพวกเขาเองสิ” เซียวเฉินเอ่ยอย่างเฉยเมย ทูตยมโลกสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาทันใด “เซียวเฉิน แกมันอวดดีนัก! กล้าดียังไงถึงมาหยามทูตยมโลกแบบนี้!” เจียงอู๋ซวงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “หุบปาก!” ทูตยมโลกตะคอกด้วยเสียงเย็
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? เพราะอะไรกัน?” ในห้องแต่งตัว เจียงอู๋ซวงบันดาลโทสะอาละวาดโวยวายอีกครั้ง ไปออดิชันครั้งนี้ กลับทำให้เธอต้องอับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่แค่ถูกทีมผู้กำกับชักสีหน้าพูดจาดูถูกดูแคลน แต่ยังต้องพ่ายแพ้ให้ยัยเด็กหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการครั้งแรก แม้แต่บทสมทบยังไม่เคยแสดงเลยด้วยซ้ำ ด้วยอีโก้ของเธอที่สูงลิ่วปานนั้น มีหรือจะทำใจยอมรับความจริงได้? ยิ่งคิดถึงคำพูดที่เซียวเฉินมันทิ้งไว้ก่อนจะออกไป ไฟโทสะในใจเธอก็ยิ่งเดือดดาล “อีกไม่เกินสามเดือน นอกจากเธอจะตกกระป๋อง แม้แต่บทตัวประกอบก็ไม่มีใครอยากให้เธอแสดงแล้ว” “ฉันน่ะเป็นเทพีรางวัลดอกไม้ทองคำเชียวนะ แม้แต่บทตัวประกอบก็ไม่มีให้เล่นเหรอ? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” เจียงอู๋ซวงใบหน้ากระตุกพูดบอกกับตัวเอง “คุณคือเจียงอู๋ซวงสินะ?” พลันมีเสียงดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เจียงอู๋ซวงตกใจสะดุ้งโหยง ถึงได้ค้นพบว่าภายในห้องแต่งตัวตอนนี้มีอีกคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ “คุณเป็นใคร?” เจียงอู๋ซวงซักถามด้วยความระแวงอย่างถึงที่สุด “ทูตยมโลกแห่งพรรคชิง” ผู้มาใหม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สีหน้าของเจียงอู๋ซ