ตัวของเซียวเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่า เจียงอีอีจะคุกเข่าขอร้องต่อหน้าของเขารวดเร็วขนาดนี้เพื่อช่วยเจียงหลิวแล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอจะยอมทุ่มเทขนาดนี้เจียงอีอีหยิ่งยโสขนาดไหน เซียวเฉินรู้ดีเขาเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจ“เป็นพี่น้องที่รักกันมากจริง ๆ” เซียวเฉินพูดด้วยความเหน็บแนมเล็กน้อยเขาอยู่ที่สกุลเจียงมาสิบกว่าปี รับใช้ห้าพี่น้องมาตลอด อย่างกับคนรับใช้ความทุ่มเทแบบนั้น กลับไม่เคยถูกมองตรง ๆ เลยสักครั้งเจียงหลิวเพิ่งถูกตามตัวกลับมาได้ไม่นาน เจียงอีอีก็ยอมโยนศักดิ์ศรีทิ้งคุกเข่าขอร้องตนเองเพื่อเขาแล้ว“คนที่ทุ่มเทให้สกุลเจียงของเธอมาสิบกว่าปีกับญาติที่สนิทพึ่งเจอหน้ากันครั้งแรกคนหนึ่ง แตกต่างกันมากขนาดนี้เลยเหรอ?” เซียวเฉินพูดเพียงประโยคเดียวเจียงอีอีไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมหมอเทวดาถึงได้พูดจาแบบนี้หรือว่าเขารู้จักเซียวเฉิน?“ต่อให้คนนอกทุ่มเทมากขนาดไหน ก็เป็นเพียงคนนอก ญาติสนิทต่อให้เป็นคนแปลกหน้า ก็มีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่! ทั้งสองคนไม่สามารถเอามาเปรียบกันได้เลยแม้แต่น้อย!” เธอพูดอย่างจริงจังเซียวเฉินรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งนี่ก็คือแนวความคิดของพี่น้องสกุลเจียงอย่างน
“เป็นยังไงบ้าง?”เจียงซือซือเพิ่งกลับมาถึงสกุลเจียง พี่น้องทุกคนก็รีบถามเธอ“ไอ้เซียวเฉินนี่พูดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง! ให้ตายยังไงมันก็ไม่ยอมบอกวิธีการรักษาน้องเล็ก!” เจียงซือซือพูดด้วยความแค้นเคือง“นี่คือการเอาคืนสกุลเจียงของมันเหรอ? น่าตลกจริง ๆ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกแต่ไม่ยอมให้พวกเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหรอ?” เจียงเสี่ยวอู่แค่นหัวเราะติด ๆ กัน“ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันไปตายซะ” เจียงอีอีพูดเสียงราบเรียบ“เวลานี้ หลินเทาน่าจะพาคนไปที่สกุลถังแล้ว...บนโลกใบนี้ มีคนมากมายที่สามารถจัดการมันได้!”......กลางดึก ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้ามือของหลินเทาพันด้วยผ้าพันแผล มือข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่หน้าอก นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถที่ขับนำหน้า สีหน้าอึมครึมเขาคือคุณชายใหญ่ของสกุลหลินแห่งเจียงเป่ย เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศเซี่ย ตอนหลังได้เป็นศิษย์ของแพทย์ชื่อดังเข้าศึกษาความรู้ทางด้านแพทยศาสตร์เพิ่มเติมครั้งนี้ติดตามอาจารย์มายังเมืองหนานเฉิง ก็เพราะหวังว่าจะได้เห็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ทางด้านแพทยศาสตร์ อยากจะได้รับคำชี้แนะของเขา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงออกหน้าแทนเจียงซื
เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นท่ามกลางความมืดยามราตรีมีคนล้มลงบนพื้น สูญเสียชีวิตไปตลอดกาลหลินเทาเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาให้เห็นนับตั้งแต่องครักษ์ชุดดำสกุลหลินถูกสร้างมา แทบจะไม่เคยพ่ายแพ้พวกเขาคือนักฆ่าอันทรงพลังในสายตาของคนทั่วไป พละกำลังน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งแต่วันนี้ องครักษ์ชุดดำเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงการปะทะกันแค่อึดใจเดียว บนพื้นก็มีศพขององครักษ์ชุดดำนอนอยู่เจ็ดแปดศพแล้วหลินเทาสูญเสียความเย่อหยิ่งและความมั่นใจ ภายในใจเกิดความตกใจอย่างรุนแรงคิดไม่ถึงว่าองครักษ์ชุดดำจะพ่ายแพ้แล้ว!ภายในชั่วพริบตาเดียวก็สูญเสียจำนวนคนเกือบหนึ่งในสาม...ทว่าคนพวกนั้นของเซียวเฉิน ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว!หลินเทาแทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเองคนของเซียวเฉิน เรียกได้ว่าไม่เหมือนคนเลย!รูปร่างของพวกเขาเหมือนปีศาจร้าย แรงอาฆาตที่รุนแรงระเบิดออกมา เขาตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่างนี่มันกลุ่มคนแบบไหนกัน?แต่ละคนราวกับฆ่าคนนับไม่ถ้วน สีหน้าท่าทางดุร้าย เหมือนกับเทพแห่งการสังหาร ไม่ใช่คนที่องครักษ์ชุดดำจะเปรียบได้เลยสักนิดเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน!องครักษ์ชุดดำไม่สามารถต่
“สืบได้เหรอยัง?”ในสกุลเจียง เจียงอีอีขมวดคิ้วหลังจากทราบเรื่องของขบวนรถสกุลหลิน เธอก็รีบส่งคนไปสืบทันที“อะไรนะ? ยังสืบไม่ได้? พวกแกมัวทำบ้าอะไรกันอยู่?” หลังจากได้ยินว่าคนที่ส่งตัวไปไม่มีความคืบหน้า เธอจึงโมโหมากคุณชายใหญ่แห่งสกุลหลินพาองครักษ์ชุดดำไปหาเรื่องเซียวเฉิน แต่กลับหายสาบสูญไประหว่างทาง สืบไม่เจอผลลัพธ์ใด ๆ“เซียวเฉินละ? ที่สกุลถังมีความเคลื่อนไหวอะไรไหม?” เธอถามอีก“ยังไม่ได้ออกจากบ้าน อยู่ในบ้านตลอด” ลูกน้องรายงาน“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”พี่น้องสกุลเจียงคิดยังไงก็ไม่เข้าใจสกุลหลินเป็นตระกูลร่ำรวยแห่งเจียงเป่ย องครักษ์ชุดดำก็แข็งแกร่งมาก สรุปว่าเป็นใครกันแน่ถึงสามารถทำให้พวกเขาหายไปได้อย่างเงียบเชียบแบบนี้?“ไอ้เซียวเฉินนี่ มันโชคดีจริง ๆ!” เจียงเสี่ยวอู่พูดอย่างเคียดแค้น“ถือว่ามันดวงดี!”ตอนที่พวกเธอกำลังโมโห เจียงอีอีก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง“คุณแม่ คุณแม่กลับมาแล้ว!” เธอพูดด้วยความประหลาดใจพี่น้องสกุลเจียงทุกคนรู้สึกตื่นเต้นกันขึ้นมานายหญิงตัวจริงแห่งสกุลเจียง ไปบ้านแม่ที่เมืองหลวงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเจียงอีอีกับพี่น้องทั้งสี่คนรีบลุกขึ้น เต
“ผมในตอนนี้ ไม่ติดค้างอะไรกับคนสกุลเจียง”เซียวเฉินทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง เดินออกจากประตูบ้านสกุลเจียงอย่างสบายใจเขายุติเรื่องราวในอดีต บุญคุณและความแค้นต่อจากนี้คิดต่างหากหวังฮุ่ยหรูไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว มองดูเซียวเฉินที่เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ“คุณแม่ ไอ้เซียวเฉินนี่กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว! ปล่อยมันไปไม่ได้!”“ใช่ค่ะ น้องเล็กยังกำลังทุกข์ทรมานอยู่ มีเพียงเขาที่สามารถแก้ไขได้!”“พวกเราจะต้องจับตัวมันเอาไว้ ดูว่ามันจะทนรับความทรมานได้ไหม!”ทันทีที่เซียวเฉินเดินออกไป พี่น้องทั้งห้าก็ส่งเสียงโหวกเหวก“มันถึงคราวที่พวกแกจะมาสั่งสอนฉันแล้วเหรอ?” หวังฮุ่ยหรูถามด้วยสีหน้าเย็นชาทุกคนไม่กล้าส่งเสียงออกมาทันทีหวังฮุ่ยหรูโบกมือ“สวบ!”เงาดำเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้นทันที คุกเข่าลงข้างหนึ่งที่ใต้เท้าเธอ“ซาอิ่งเบอร์หนึ่ง นายหญิงโปรดออกคำสั่ง!” เงาดำนั่นพูดด้วยความนอบน้อม“ซาอิ่ง!”พี่น้องสกุลเจียงสีหน้าประหลาดใจพวกเธอเคยได้ยินเพียงว่า ซาอิ่งเป็นกองกำลังลับของสกุลเจียง เชื่อฟังเพียงคำสั่งของหัวหน้าตระกูลเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นจริง ๆที่แท้หลังจากที่หัวหน้าตระกูลสกุลเจียงจากไป กองกำ
ค่อนข้างสงบเงียบอยู่หลายวันเซียวเฉินได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขที่หาได้ยากอยู่หลายวัน สกุลเจียงก็ไม่มีใครมาหาเขาอีกถึงแม้จะไม่รู้ว่าทางด้านสกุลเจียงกำลังวางแผนอะไร แต่ว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังยุ่งอยู่กับการดูแลเจียงหลิว ไม่มีเวลามาจัดการเขาเซียวเฉินก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นกันวันนี้เป็นวันที่ต้องออกไปทำงานข้างนอกเป็นเพื่อนถังซินเวยทั้งวันเนื่องจากบริษัทของสกุลถังกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งเพราะได้รับการช่วยเหลือจากเซิ่งหรงกรุ๊ป แต่ยังมีธุระอีกมากมายที่ต้องพึ่งพาสกุลถังของตนตอนนี้ถังซินเวยเป็นถึงประธานถัง เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบริษัท ย่อมต้องจัดการเล็กใหญ่ทั้งหมดให้เรียบร้อยด้วยตนเองทุกวันเซียวเฉินจะช่วยเป็นลูกมือให้เธอ แต่ก็มีความที่ได้ทำแบบนั้นเมื่อก่อนนี้คุ้นชินกับการใช้ชีวิตเสี่ยงตาย ทุ่มเทให้กับสกุลเจียงทุกวี่วัน การใช้ชีวิตแบบนี้สำหรับเขาถือว่าค่อนข้างสงบสุข ให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลายหลังจากยุ่งมาทั้งวัน...“ไปรับถังโยวกัน จากนั้นก็กลับบ้านไปกินข้าวเย็น!” ถังซินเวยพูดพร้อมยิ้มตาหยีตอนนี้เธอมีพลังเต็มเปี่ยม มีเซียวเฉินคอยอยู่ข้าง ๆ ทำอะไรก็รู้สึกไม่เ
บทละครไม่น่าจะเป็นแบบนี้เจียงอู๋ซวงใช้ถังโยวหญิงสาวคนหนึ่งมาระบายอารมณ์ แก้แค้นเซียวเฉินถังโยวน้ำตาไหลพราก เจียงอู๋ซวงกลับยกมือจะตบอีกครั้งแต่ฝ่ามือยังไม่ได้ฟาดลงไปอีก เพราะเซียวเฉินได้จับมือของเจียงอู๋ซวงเอาไว้แล้ว“เซียวเฉิน แกกล้าดียังไง! ละครเรื่องนี้มีนายท่านสามสกุลสวีแห่งพรรคชิงดูแลอยู่!” เจียงอู๋ซวงตะคอกพรรคชิง นั่นเป็นถึงพรรคใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในตอนนี้ของประเทศเซี่ย...เมืองหนานเฉิงสิ่งที่สมาคมชิงหลงจะสามารถเทียบได้ มีความยิ่งใหญ่กว่ามาก อิทธิพลก็กว้างใหญ่มากเช่นกันนายท่านสามสกุลสวีแห่งพรรคชิง เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวงการ บารมียิ่งใหญ่หากชื่อของเขาถูกเอ่ยออกมา ทั้งวงการขาวและดำต่างก็ต้องให้เกียรติเจียงอู๋ซวงคิดว่าเซียวเฉินจะกลัวทว่า เซียวเฉินไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย“ถังโยว มานี่” เขาพูดกับถังโยว“พี่เซียวเฉิน ฉันกำลัง...”ถังโยวพูดเสียงเบา“เจียงอู๋ซวงตบหน้าเธอหนึ่งที ฉันต้องการให้ตบเธอคืนหนึ่งที!” เซียวเฉินพูดออกมาประโยคหนึ่ง ทั้งกองถ่ายต่างพากันตกใจ“เธอกล้าเหรอ?” เจียงอู๋ซวงแค่นหัวเราะออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “แค่ตัวประกอบเล็ก ๆ คน
“เฮอะ ๆ ๆ...” เหมือนกับเจียงอู๋ซวงได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก“นอกจากตำนานเฉินเฟยเรื่องนี้แล้ว คิวงานภายในสองปีนี้ก็เต็มหมดแล้ว นักลงทุนและผู้กำกับมากมายขอร้องให้ฉันรับเล่นละครของพวกเขา บริษัทใหญ่หลายแห่งก็เสนอราคาสูงเพื่อให้ฉันเป็นพรีเซนเตอร์...แกว่า ฉันจะดับไหม?”“เซียวเฉินเอ๊ยเซียวเฉิน แกนี่มันช่างเพ้อเจ้อจริง ๆ คำพูดแบบนี้ก็กล้าพูดออกมาได้”เธอมองถังโยวแวบหนึ่ง ยิ้มบางอย่าง ๆ ดูถูก“ฉันพูดแค่ประโยคเดียว นังเด็กนี่ก็เข้ากองถ่ายละครไหนไม่ได้อีก ต่อไปเธอก็คงเป็นไม่ได้แม้แต่เป็นตัวประกอบ แกว่ามา ว่าเธอจะดังได้ยังไง?ถังโยวได้ยินสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา เต็มไปด้วยความกังวลเซียวเฉินไม่ได้พูดอะไรเขาปล่อยมือจากเจียงอู๋ซวง หันหลังกลับไปแล้วดึงถังโยวออกจากฉากถ่ายทำละคร“ถังโยว ละคนแบบนี้มีอะไรน่าแสดง? เราไม่เล่น ฉันจะแนะนำละครเรื่องอื่นให้เธอ” เขาพูดอย่างอ่อนโยนถังโยวพยักหน้าอย่างว่าง่ายแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเชื่อว่าเซียวเฉินจะมีความสามารถแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ออกหน้าแทนเธอ เธอจะทำให้เซียวเฉินขายหน้าไม่ได้“ก็มีแค่ความสามารถพูดจาโอ้อวดหลอกลวงเด็กสาวเท่านั้น” เจียงอู๋ซวงหัวเราะ
จ้าวเทียนอีแผดเสียงร้องโหยหวนออกมาราวกับปอดจะฉีก เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส “พูดไม่พูด?” “อยากรู้เหรอ? ฝันไปเถอะ!” จ้าวเทียนอีคำรามเสียงดังสนั่น เซียวเฉินเหยียบลงไปที่แขนอีกข้างหนึ่งของเขาอีกครั้ง แขนสองข้างถูกเหยียบจนหัก จ้าวเทียนอีเจ็บปวดจนแทบตายไปตรงนั้น ความเคียดแค้นต่อเซียวเฉินที่อยู่ในใจพุ่งสูงถึงขีดสุดแล้ว ถังซินเวยมองดูสถานการณ์จนอกสั่นขวัญแขวน ต่อให้สกุลถังจะอยู่ในช่วงรุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่จะด้านใด ๆ ก็ยังเทียบไม่ได้กับสกุลจ้าว จะยั่วยุล่วงเกินอีกฝ่ายไม่ได้เด็ดขาด เซียวเฉินทำจ้าวเทียนอีบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว เกรงว่าเธอคงจะหมดปัญญาปกป้องแล้ว “ยังไม่บอกอีกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว” เซียวเฉินเห็นจ้าวเทียนอียังคงดื้อรั้นปากแข็ง สีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะยกเท้าขึ้นกระทืบไปบนขาซ้ายของอีกฝ่าย ไม่รอคำตอบ ก็ยกเท้ากระทืบขาขวาของเขาไปอีกครั้ง เพียงพริบตาเดียว แขนขาทั้งสี่ของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้น ทว่าเซียวเฉินก็มิได้ใจอ่อนลงแม้แต่น้อย กล้าดูหมิ่นถังซินเวย เขาไม่มีทางยกโทษให้เด็ดขาด! “ฉันบอก…ฉันบอกก็ได้…” ในที่สุดจ้าวเทียนอีก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ร้องออกมาพร้อ
บอดี้การ์ดสองคนของจ้าวเทียนอีเดินตรงเข้ามาหาเซียวเฉิน ก่อนที่จ้าวเทียนอีจะเข้ามารับช่วงต่อดูแลธุรกิจของตระกูลก็เคยเป็นคุณชายเสเพล ใช้อำนาจอิทธิพลของสกุลจ้าวมาทำตัวโอหังอวดดี บอดี้การ์ดสองคนนี้เขาจ้างมาทำงานด้วยราคาสูง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คอยช่วยเขาจัดการกับคนที่ทำให้เขาไม่พอใจมานักต่อนักแล้ว ผู้ช่วยตัวเล็ก ๆ ท่าทางธรรมดาเหมือนอย่างเซียวเฉิน จ้าวอีเทียนไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา หลังจากออกคำสั่งก็คร้านจะหันกลับไปมองอีก เขาหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมา จิบเบา ๆ ทว่ายังไม่ทันได้กลืน “ปึง ปัง…” ก็ได้ยินเสียงกระแทกหนัก ๆ ดังขึ้นสองครั้ง เขายกยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางเงยหน้ามอง แต่ก็ต้องชะงักไปทันที บอดี้การ์ดที่เขาจ้างมาด้วยเงินสูงลิ่วถูกซัดลอยกระเด็น ก่อนจะล้มฟาดข้างโซฟาทั้งสองข้างอย่างแรง “หือ?” จ้าวเทียนอีขมวดคิ้วขึ้น จ้องมองเซียวเฉินอย่างประหลาดใจ “เหอะ ก็มีฝีมืออยู่บ้างนี่…” เขาดึงหน้าขรึมเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา “แกรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร?” จ้าวเทียนอีวางแก้วไวน์ลง พลางถามอย่างไม่แยแส “ถ้าไม่รู้ แกก็ลองถามถังซินเวยดูสิ” “คนที่กล้าล่วงเกินฉัน มีจุดจบอยู่สองแบบ ไม่ขอโทษด้
“ประธานจ้าว พวกเรามาพบกันสักหน่อยได้ไหมคะ? ฉันอยากจะขอเจรจากับคุณสักหน่อยค่ะ…” ถังซินเวยเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นคุณก็มาที่โรงแรมเยว่เผิงได้หรือเปล่า” น้ำเสียงจากปลายสายเจือด้วยความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ถังซินเวยไม่กล้าล่าช้า รีบขับรถมุ่งตรงไปที่โรงแรมเยว่เผิงทันที เมื่อมาถึง ก็รีบขึ้นลิฟต์อย่างร้อนรนไปยังห้องรับรองส่วนตัวที่อีกฝ่ายพูดถึงทันที ภายในห้องรับรองส่วนตัว มีชายหนุ่มที่ดูวัยรุ่นมาก ๆ คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ข้างกายมีบอดี้การ์ดสองคน และมีอาหารหรูหราวางอยู่เต็มโต๊ะ ระหว่างทางถังซินเวยได้บอกเซียวเฉินแล้วว่า ประธานจ้าวคนนี้ชื่อว่าจ้าวเทียนอี เป็นคุณชายจากสกุลจ้าวซึ่งเป็นตระกูลยิ่งใหญ่มีอิทธิพลในเมืองหนานเฉิง แม้ว่าอายุยังน้อยแต่ก็ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบหน้าที่สำคัญแล้ว เรื่องจัดหาวัสดุ ก็เป็นเขาเองที่ติดต่อกับถังซินเวยมาโดยตรง เห็นถังซินเวยเข้ามา จ้าวเทียนอีก็ผุดยิ้ม ทว่าเห็นด้านหลังของเธอมีเซียวเฉินตามมาด้วยอีกคน สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย “ประธานจ้าว ต้องขออภัยจริง ๆ ค่ะที่ทำให้คุณต้องรอนาน…” ถังซินเวยเข้าไปก็กล่าวขอโทษทันที ด้วยท่าทีอ่อนน้อม จ้าวเ
เจียงอู๋ซวงที่เสียสติถูกส่งตัวกลับบ้านสกุลเจียง เห็นเจียงอู๋ซวงผมเผ้ายุ่งเหยิงสภาพดูอิดโรยน่าสังเวชแบบนั้น พี่น้องสกุลเจียงต่างตกตะลึงหน้าถอดสี “พี่รอง พี่เป็นอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” พวกเธอรีบกรูกันเข้าไปล้อมรอบ “น้องรอง เธอเป็นอะไรไป?” เจียงอีอีขมวดคิ้ว “เธอเป็นดาราสาวตัวท็อป สภาพแบบนี้ถ้าเกิดถูกนักข่าวถ่ายภาพไปได้ ต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ถูกวิจารณ์หนักหน่วงแน่ ชื่อเสียงสกุลเจียงต้องเสื่อมเสียแน่นอน” เจียงอู๋ซวงแววตาเหม่อลอย ไม่มีท่าทีโต้ตอบใด ๆ กับคำตำหนิของเธอ “แย่แล้ว…พวกเราพลาดไปแล้ว…” เธอขยับปากพึมพำ “แย่อะไร? พวกเราทำพลาดอะไรตรงไหนเหรอ?” พี่น้องสกุลเจียงได้ยินก็งุนงงไม่เข้าใจ “ไม่ควรไล่เซียวเฉินออกจากสกุลเจียงเลย พวกเราพลาดไปแล้ว…” เจียงอู๋ซวงพูดออกมาอย่างเหม่อลอย “หุบปาก!” สีหน้าของเจียงอีอีพลันเยือกเย็นลงทันที “เจียงอู๋ซวง นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? ถึงได้กล้ามาสงสัยกับการตัดสินใจของฉัน! พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดนะ!” เธอตวาดด้วยเสียงเย็นชา “คน…ผู้คนมากมาย…ตายไปหมดแล้ว” เจียงอู๋ซวงพลันร้องไห้ออกมา ความหวาดกลัวฉายชัดเต็มใบหน้า “ถูกเขาฆ่าตายหมด ทุกคนถูกเขาฆ่า
นั่นคือจุดสูงสุดที่สกุลเจียงต้องแหงนหน้ามองและไม่อาจเอื้อมถึง… “เซียวเฉิน แกซ่อนตัวได้เนียนนักนะ!” เจียงอู๋ซวงกัดฟันพลางเอ่ย หากว่าเซียวเฉินเผยตัวออกมาว่าไม่ใช่คนธรรมดาเร็วกว่านี้ ใครจะกล้าไล่เขาออกไป? คงจะรีบสอพลอเสียด้วยซ้ำ เจียงอู๋ซวงไม่ได้รู้สึกเสียใจ เพียงแต่รู้สึกว่าเซียวเฉินสมองเพี้ยนไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีตำแหน่งยิ่งใหญ่น่าเหลือเชื่อขนาดนั้นแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นตัวไร้ประโยชน์! “เจียงอู๋ซวง พี่รู้หรือเปล่า ว่าผมตั้งใจก่อตั้งตำหนักมืดขึ้นก็เพื่อสกุลเจียง?” เซียวเฉินหัวเราะเย็นเยียบออกมาด้วยสีหน้าดูถูก “กำลังคิดว่าจะมอบให้สกุลเจียงแท้ ๆ แต่พวกพี่กลับไล่ผมออกจากสกุลเจียง!” เจียงอู๋ซวงเบิกตาโพลง ม่านตาสั่นไหว จะบอกว่า พวกเธอทิ้งอำนาจการควบคุมองค์กรอันดับหนึ่งของโลกไปเองกับมืออย่างนั้นเหรอ? ในที่สุดเจียงอู๋ซวงก็นึกเสียดายขึ้นมาแล้ว และยังเป็นความเสียดายที่รุนแรงอย่างถึงที่สุด หากว่าสกุลเจียงสามารถควบคุมตำหนักมืดได้… เจียงอู๋ซวงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสกุลเจียงจะรุ่งเรืองมากขนาดไหน “ท่านเจ้า…เจ้าแห่งความมืด…” หัวหน้าพรรคชิงสีหน้าซีดเซียว ประสานมือคารวะต่อเซียวเฉิน
โถงหลักของพรรคชิงพังทลายแล้ว! คล้ายกับมีกระแสคลื่นคลั่งโหมกระหน่ำเข้ามา ทำลายทุกสิ่งแหลกละเอียด กำแพงถล่มลงมา คนจำนวนมากมายมหาศาลหลั่งไหลกันเข้ามา “โครม …” เสียงแววดังมาจากด้านบนศีรษะ คนของพรรคชิงตะลึงอึ้งงัน ทว่าไม่นานพวกเขาก็เข้าใจแล้ว แสงจากโลกภายนอกส่องเข้ามาจากด้านบน นั่นเป็นเพราะเพดานโถงทั้งอันของห้องโถงหลักกำลังเลื่อนขึ้นไป มันถูกเกี่ยวให้ลอยขึ้นไปแล้ว มองไปกลางท้องฟ้า เพียงปราดเดียวก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดึงเพดานโถงหลักของพรรคชิงออกไป ฉับพลันทันใดนั้น ก็มีเฮลิคอปเตอร์จู่โจมหลายสิบลำกำลังลอยนิ่ง ๆ อยู่เหนือศีรษะของพวกคนพรรคชิง อาวุธหนักที่ติดบนเฮลิคอปเตอร์เล็งเป้าลงมาด้านล่างแล้ว “ปึง!” ทันใดกั้นก็มีกระบอกปืนทะลุเข้ามา เมื่อมองให้ดีแล้ว นั่นคือรถถัง ซึ่งจอดเรียงกันเป็นแนวยาว อยู่ด้านหลังเซียวเฉิน ปลายกระบอกปืนสีดำมืดเล็งเป้าไปยังจุดที่เบื้องบนของพรรคชิงนั่งอยู่ หากมองทะลุรอยแยกเล็ก ๆ ออกไป ก็จะเห็นว่าที่แม่น้ำด้านนอกสำนักงานใหญ่พรรคชิง มีเรือสงครามจอดรอคำสั่งอยู่ ทั้งทางน้ำ บนบก และอากาศ ปิดล้อมพรรคชิงไว้ได้อย่างสมบูรณ์ “นะ…นี่มัน…”
สำนักงานใหญ่ของพรรคชิงตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองหนานเฉิง ตอนที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอดนอกสำนักงานใหญ่พรรคชิง เจียงอู๋ซวงถูกเซียวเฉินโยนออกไปด้านนอก เธอกลิ้งกระเด็นกระดอนจนเศษดินเศษฝุ่นเปรอะเต็มหน้า “ไอ้บ้า! แกมันบ้าไปแล้ว!” เธอตะคอกเสียงแข็งด้วยความโกรธและอับอาย เซียวเฉินปลิดชีวิตทูตยมโลกแล้ว มิหนำซ้ำยังบังคับให้เธอขึ้นเฮลิคอปเตอร์ แล้วพามาที่สำนักงานใหญ่พรรคชิงจริง ๆ พรรคชิงครองอำนาจอิทธิพลครอบคลุมทุกพื้นที่ ภายในสำนักงานใหญ่ย่อมซ่อนเสือซ่อนมังกรไว้เสมือนเป็นถ้ำเสือรังมังกร… เซียวเฉินกล้าดีอย่างไร? อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะลุยเดี่ยวเข้าไปในที่แบบนี้! “ใคร?” คนของพรรคชิงเดินเข้ามา ถือปืนไว้ในมือพร้อมยิงทุกเมื่อ เจียงอู๋ซวงกลัวจนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้น “เขาคือเซียวเฉิน ฆ่าทูตยมโลกกับนายท่านสามสกุลสวีของพรรคไปแล้ว รีบเข้าไปจับตัวมันไว้ซะสิ!” เธอตะโกนด้วยความขลาดกลัว “อะไรนะ? ฆ่าทูตยมโลกไปแล้ว?” คนของพรรคชิงตะลึงงัน ทูตยมโลกคือนักฆ่ายอดฝีมือของพรรคชิง แข็งแกร่งเก่งกาจเป็นที่สุด จะถูกฆ่าง่าย ๆ ได้อย่างไร? “กล้าหาญนัก ตายซะเถอะ!” ปากปืนสิบกว่ากระบอกเล็งเป้ามาที่เซียวเฉิน เ
เซียวเฉินผุดยิ้มบาง ๆ “ใช่ ฝีมือของฉันเอง” เสียงของเขาราบเรียบ ทูตยมโลกหรี่ตา เจียงอู๋ซวงสีหน้านิ่งชะงักงันไป สองคนต่างคิดไม่ถึงว่าเซียวเฉินจะยอมรับได้เต็มปากเต็มคำขนาดนั้น “แกทำได้อย่างไร?” ทูตยมโลกเค้นถาม “แค่ฆ่าคน จมเรือทิ้ง แค่นี้เรื่องง่าย ๆ” เซียวเฉินเอ่ยยิ้ม ๆ รอยยิ้มนั้นดูเรียบง่าย เหมือนกับสิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปเรื่องหนึ่ง ทูตยมโลกหรี่ตาอีกครั้ง “บนเรือลำนั้นมีคนมากกว่าสองร้อยชีวิต แกฆ่าทิ้งทั้งหมดเลยเหรอ? แกคิดว่าแกเป็นใครกัน?” เจียงอู๋ซวงพ่นลมออกทางจมูกทันใด ในสายตาของคนสกุลเจียง เซียวเฉินก็เป็นแค่สวะไร้ค่าคนหนึ่ง ไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย เขาจะทำเรื่องน่าตกใจแบบนี้ได้อย่างไร? สีหน้าของเจียงอู๋ซวงฉายประกายดูแคลนออกมาอย่างถึงที่สุด “แกฆ่าคนได้ยังไง? แล้วจมเรือทิ้งได้ยังไง?” ทูตยมโลกเค้นถามต่อด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “แกก็ลองไปถามพวกเขาเองสิ” เซียวเฉินเอ่ยอย่างเฉยเมย ทูตยมโลกสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาทันใด “เซียวเฉิน แกมันอวดดีนัก! กล้าดียังไงถึงมาหยามทูตยมโลกแบบนี้!” เจียงอู๋ซวงตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “หุบปาก!” ทูตยมโลกตะคอกด้วยเสียงเย็
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? เพราะอะไรกัน?” ในห้องแต่งตัว เจียงอู๋ซวงบันดาลโทสะอาละวาดโวยวายอีกครั้ง ไปออดิชันครั้งนี้ กลับทำให้เธอต้องอับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่แค่ถูกทีมผู้กำกับชักสีหน้าพูดจาดูถูกดูแคลน แต่ยังต้องพ่ายแพ้ให้ยัยเด็กหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการครั้งแรก แม้แต่บทสมทบยังไม่เคยแสดงเลยด้วยซ้ำ ด้วยอีโก้ของเธอที่สูงลิ่วปานนั้น มีหรือจะทำใจยอมรับความจริงได้? ยิ่งคิดถึงคำพูดที่เซียวเฉินมันทิ้งไว้ก่อนจะออกไป ไฟโทสะในใจเธอก็ยิ่งเดือดดาล “อีกไม่เกินสามเดือน นอกจากเธอจะตกกระป๋อง แม้แต่บทตัวประกอบก็ไม่มีใครอยากให้เธอแสดงแล้ว” “ฉันน่ะเป็นเทพีรางวัลดอกไม้ทองคำเชียวนะ แม้แต่บทตัวประกอบก็ไม่มีให้เล่นเหรอ? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” เจียงอู๋ซวงใบหน้ากระตุกพูดบอกกับตัวเอง “คุณคือเจียงอู๋ซวงสินะ?” พลันมีเสียงดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เจียงอู๋ซวงตกใจสะดุ้งโหยง ถึงได้ค้นพบว่าภายในห้องแต่งตัวตอนนี้มีอีกคนหนึ่งเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ “คุณเป็นใคร?” เจียงอู๋ซวงซักถามด้วยความระแวงอย่างถึงที่สุด “ทูตยมโลกแห่งพรรคชิง” ผู้มาใหม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ สีหน้าของเจียงอู๋ซ