บทที่ 33 แม่นางผู้นั้น ยามเย็นวันนี้บนโต๊ะอาหารของนางเดิมทีควรจะมีเพียงบิดา มารดา ท่านย่าและพี่น้อง ทว่าบัดนี้กลับเต็มไปด้วยญาติมิตรมากมาย หลังจากที่ท่านย่าได้หีบของกำนัลส่งตรงจากลี่หมิงก็พูดอวยยศเขาไม่หยุด ญาติพี่น้องที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัด จื่อรั่วอิงคอยนั่งฟังแล้วแย้มยิ้มจนเหงือกแห้งด้วยไม่มีคนนอกและญาติทุกคนส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าจึงไม่มีพิธีรีตองมากมายให้ปวดหัวผู้ใดอยากดื่มก็ดื่ม ผู้ใดอยากฟังงิ้วก็ปลีกตัวออกไปฟังงิ้วที่ท่านย่าจ้างคณะงิ้วเลื่องชื่อมาแสดงในสวน เบื้องหน้าคืองานเลี้ยงต้อนรับนางเบื้องหลังคือรวมญาติเพื่อโอ้อวดความร่ำรวย จื่อรั่วอิงเริ่มเบื่อหน่ายคนพวกนี้นอกจากถามงานการของลูกหลานและขิงใส่กันแล้วก็ไม่มีเรื่องสนทนากันอีก ในขณะที่สตรีหลายคนนำโดยมารดาทั้งสี่ของนางก็เอ่ยปากชักชวนเหล่าฮูหยินทั้งหลายไปส่องกระจกเล่นไพ่กันเงียบเชียบในเรือนฮูหยินใหญ่เพื่อผ่อนคลายจื่อรั่วอิงยามนี้ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ท่านแม่เห็นหน้านางแล้วเอ่ยว่า"แม่คิดว่าท่านอ๋องจะทนลูกไม่ไหวเสียแล้ว บุรุษผู้นั้นแข็งแกร่งน่านับถือยิ่งนัก กลับไปครานี้ก็จงทำตัวให้ดีเช่นเดิมจะได้พึ่งพาสามีไปจ
บทที่ 34 สามยอดชายงามแห่งวังหลวงเรื่องราวชักเริ่มดราม่าแล้วสิ จื่อรั่วอิงถอนหายใจมองพี่ชายอย่างขอความช่วยเหลือ จื่อฟ่านเสียนจึงเอ่ยว่า"ซื่อจื่อ ท่านอย่าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีกเลยจะหมางใจกันเปล่า ๆ หากคิดในแง่ดีก็ถือซะว่าท่านรอดพ้นหายนะจากน้องสาวของข้าและให้จวนอ๋องรับช่วงแทนไปเถิด"อาจารย์จิวได้ยินคำนั้นจึงหัวเราะออกมาทันใด จื่อรั่วอิงค้อนพี่ชายใหญ่ตาขวาง ในขณะที่บรรดาน้องสาวและบ่าวรับใช้ก็แอบหัวเราะเช่นกันภาพบุรุษหนุ่มรูปงามทั้งสามซึ่งนับว่าเป็นยอดชายงามของเมืองหลวงอยู่ด้วยกันเช่นนี้ย่อมเป็นภาพที่หายากยิ่งนัก พวกเขาต่างเป็นคนรูปร่างสูงจึงยืนโดดเด่นอยู่กลางตลาด ไม่ว่าใครมองมาก็เห็นดึงดูดฝูงสตรีเข้ามารุมล้อมราวกับบอยแบนด์เกาหลีที่มีชื่อเสียงสักวงจื่อรั่วอิงเห็นท่าไม่ดีแล้วจึงเอ่ยชวนทุกคนไปทานข้าวที่เหลาสุรา นางจับมือน้องสาวสองคนแล้วเดินนำไปอย่างรวดเร็วถังป๋อมองตามสาวงามทั้งสามเอ่ยรำพันเบา ๆ"ฟ่านเสียน น้องสี่ น้องห้า ของเจ้าก็พ้นวัยปักปิ่นแล้วมิใช่หรือ ยิ่งเติบโตยิ่งงดงามไม่แพ้พี่สาวเลย ไม่ทราบว่ามีจวนใดส่งแม่สื่อมาทาบทามหรือไม่"จื่อฟ่านเสียนไม่ตอบ เขาไม่คิดจะนำน้องสาวของตนมาเป็นหัวข
บทที่ 35 ลงโทษนางอย่างหนักจื่อรั่วอิงสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าของตนเองแผ่วเบา นางยังอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษผู้หนึ่งและยังมีกลิ่นที่คุ้นเคย นางขยับตัวขยุกขยิกไปมา รู้สึกเหมือนตนเองจะหายใจไม่ออกจนต้องตื่นขึ้นมา กระทั่งได้โอกาสสูดลมหายใจเล็กน้อยจึงรับรู้ว่าบัดนี้ปากของนางมีริมฝีปากของคนผู้หนึ่งประกบจูบนางอย่างโหยหาใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดปกคลุมขยับลงมาที่ลำคอของนางทั้งดอมดมความหอมหวานช้า ๆ ปากของเขาอ้าออกแล้วดึงดูดเนื้อขาวโดยไม่ปล่อยให้เกิดพื้นที่ว่าง มือข้างหนึ่งยังอดไม่ได้ที่จะขยำหน้าอกขนาดเท่าหัวเด็กอันเป็นสัญลักษณ์ของนางที่ทำให้เขาจดจำได้ริมฝีปากของเขาบัดนี้ยังไต่มาจูบที่เปลือกตา ปลายจมูก ไล้ไปตามกรอบหน้าเนียนสวยและเฝ้าวนเวียนจุมพิตปลายหูเล็ก ๆ ของนาง ทั้งยังเพิ่มแรงของมือที่ขยำหน้าอกของนางให้มากขึ้นจื่อรั่วอิงพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากรู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกใครคนหนึ่งลวนลาม นางขมวดคิ้วจนเป็นปมแล้วหัวเราะเบา ๆ เมื่อรู้สึกจั๊กจี้เพราะมีเส้นขนครูดไปตามลำคอ คงเพราะสุราที่ดื่มเข้าไปมากจึงรู้สึกคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นเช่นนี้ ทว่าเมื่อสูดลมหายใจเข้าไปเต็ม ๆ กลิ่นอันคุ้นเคยขอ
บทที่ 36 เข้าวังถวายพระพรเมื่อตื่นขึ้นมาจื่อรั่วอิงมีอาการปวดหัวอย่างหนักจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ เวลานี้สิ่งที่นางคิดถึงที่สุดก็คงคือยาพาราสักหลายแผง ให้ตายเถอะเมื่อคืนเพราะเจ้าซื่อจื่อคนนั้นที่เอาแต่ท้าทายจนนางไม่อาจยอมได้จึงได้ซัดเหล้าเข้าไปมากเพียงนั้นบัดนี้นางยังพบว่าภายในเรือนของนางเต็มไปด้วยกลิ่นกำยานคละคลุ้ง ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บศพที่ต้องอาศัยกลิ่นกำยานกลบกลิ่นเหม็นเน่าของซากมนุษย์จื่อรั่วอิงไอจนใบหน้าแดงเมื่อสูดกลิ่นพวกนั้นเข้าไปเต็ม ๆ สองมือจับศีรษะตนเองแล้วตะโกนเรียกเสี่ยวหยุนทันใดเสี่ยวหยุนได้ยินเสียงนายหญิงของตนเองจึงรีบสั่งให้บ่าวยกน้ำอุ่นเข้ามาเทลงถังที่เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้วด้วยใบหน้าตื่นตระหนก"คุณหนูในที่สุดท่านก็ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ""ใช่น่ะสิ ปวดหัวชะมัดยาด นี่เสี่ยวหยุนหายามาให้ข้ากินที น้ำแกงแก้เมาอะไรพวกนั้นรีบเอามา ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว"เสี่ยวหยุนรีบยกยาแก้ปวดหัวให้นางดื่ม จื่อรั่วอิงดื่มเข้าไปเต็มคำทว่าเกือบจะพ่นยาออกมาด้วยเพราะมันทั้งขมทั้งเหม็น ทว่ามือของเสี่ยวหยุนว่องไวจึงบีบปากของคุณหนูเอาไว้แล้วบังคับให้นางกลืนเข้าไป"คุณหนูคายไม่ได้เจ้าค่ะ
บทที่ 37 หาทางกลั่นแกล้ง ใบหน้างามของลี่ไท่เฟยในยามนี้ดูแข็งกร้าวไม่มองผู้ใด พระนางนั่งอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าไทฮองไทเฮาเพียงเล็กน้อย ในขณะที่จื่อรั่วอิงยืนเคียงข้างลี่หมิงที่โถงกลาง ทั้งสองทำความเคารพไทฮองไทเฮาอย่างพร้อมเพรียงกัน"ลี่หมิงถวายพระพรไทฮองไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพระเจริญพันปี พัน พันปี"จื่อรั่วอิงพูดตามสามี นางย่อมคุ้นเคยกับประเพณีปฏิบัติในวังเพราะช่วงที่พี่สาวแต่งให้ฝ่าบาทช่วงแรกก็เป็นนางที่เข้าวังหลวงมาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวในยามนั้นนางยังมีเรื่องกับองค์หญิงสิบเก้าหลานสาวคนเล็กของไทฮองไทเฮาซึ่งนับเป็นน้องสาวของฝ่าบาทเพราะเรื่องไร้สาระคือองค์หญิงสิบเก้าไม่ชอบพี่สาวของนางก็เท่านั้น เนื่องจากองค์หญิงสิบเก้าถือหางกุ้ยเฟยอีกคนที่เป็นญาติผู้พี่ของนางจึงคอยหาเรื่องจื่อเว่ยพี่สาวของจื่อรั่วอิงเป็นประจำในอดีตเคยเกิดเรื่องระหว่างจื่อรั่วอิงและองค์หญิงสิบเก้าจนเกิดความเคียดแค้น เมื่อพวกนางถึงกับตบตีกับจนเลือดออกในยามนั้นองค์หญิงสิบเก้ามาที่ตำหนักของกุ้ยเฟยคนใหม่ และได้พบจื่อรั่วอิงเข้าคนสองคนมีปากเสียงกัน องค์หญิงสิบเก้าเห็นว่าจื่อรั่วอิงเป็นเพียงสามัญชนจึงไม่เกรงกลัว ยังพูดจาดูถู
บทที่ 38 ใครเก่งกว่ารอดลี่หมิงอ๋องสั่งให้คนรีบไปตามฝ่าบาทมาที่นี่ ฝ่าบาทเสด็จมาพร้อมกับจื่อกุ้ยเฟยอย่างเร่งรีบ จื่อกุ้ยเฟยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก จื่อรั่วอิงรู้สึกผิดที่ทำให้พี่สาวของนางเป็นห่วงอีกแล้วหลังหมอหลวงตรวจโดยละเอียด แน่นอนว่าไทฮองไทเฮาไม่ได้รับผลกระทบอันใด เพราะกระโปรงหนาหลายชั้นทว่าหมอหลวงกลับกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ว่า"ทูลฝ่าบาท ไทฮองไทเฮาถูกน้ำร้อนลวกจนเกิดแผลแดงค่อนข้างลึก กระหม่อมได้ถวายโอสถทาเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อน และยังได้จัดเทียบยาถวายแล้วพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรแผลก็ต้องคอยระวังไม่อาจให้โดนน้ำได้พ่ะย่ะค่ะ"จื่อรั่วอิงขมวดคิ้วคิดในใจให้ตายเถอะกระโปรงหนาขนาดนั้นและนางยังยกน้ำชาออกมาทัน คงเพียงแค่หกเลอะกระโปรงไทฮองไทเฮาเล็กน้อย ไยหมอหลวงจึงพูดจาใส่ร้ายใส่โตเช่นนี้ และแน่นอนว่าคนแก่คนนั้นก็ต้องเป็นคนสั่งหมอหลวงให้พูดเช่นนี้ ทุกคนรวมทั้งฝ่าบาทต่างหันมามองจื่อรั่วอิง ความผิดนี้มิใช่นางที่ต้องแบกรับ แต่เป็นจวนลี่อ๋องที่ต้องเสียหน้า จื่อรั่วอิงย่อมไม่อาจยอมได้ลี่หมิงคิดรับผิดแทนนางเขาเอ่ยเสียงเบา"เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง อย่างไรฝ่าบาทก็ทรงเห็นแก่หน้าข้าไม่เอาผิดเจ้า"จื่อรั่วอิ
บทที่ 39 คุกเข่าให้ข้าจื่อรั่วอิงยามนี้มายืนอยู่ด้านข้างลี่ไท่เฟยแล้ว ลี่ไท่เฟยมองนางแล้วเอ่ยเสียงเย็น"คิดว่าตนเองเก่งนักหรือ สามารถเอาชนะนังหนูนั่นได้ ก็แค่เด็กเล่นขายของกันเท่านั้นอย่าทะนงตนนักเลย"จื่อรั่วอิงย่อมไม่สนใจคำของแม่สามี นางคิดทำดีด้วยสักครั้งเพื่อเอาใจคนก็เท่านั้น นางจึงได้คุกเข่ากระซิบกับลี่ไท่เฟยเสียงเบาที่สุด"เสด็จแม่เพคะ ทรงคิดอยากเอาคืนคนบ้างหรือไม่ หากหม่อมฉันพลาดวันนี้จวนอ๋องคงต้องขายหน้า เห็นชัดเจนว่าเป็นแผนของไทฮองไทเฮา""ข้าไม่ได้ตาบอด นางตั้งใจทำให้ข้าขายหน้าข้าย่อมรู้"จื่อรั่วอิงจึงเอ่ยว่า"เช่นนั้นก็มาเอาคืนกันเถิดเพคะ"ลี่ไท่เฟยยังคงงงว่าจื่อรั่วอิงจะเอาคืนอย่างไร จื่อรั่วอิงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงดัง "ฝ่าบาท ขอบพระทัยเพคะที่ทรงมอบความเป็นธรรมให้หม่อมฉัน ทรงเป็นกษัตริย์ที่ปรีชาที่สุดในใต้หล้าแล้วเพคะ แต่หม่อมฉันอยากขอร้องฝ่าบาทอีกเรื่องหนึ่งเพคะ"ฝ่าบาทอมยิ้มแล้วตรัสว่า"ความผิดของเจ้านับว่าไม่มีแล้วจื่อรั่วอิงคือผู้บริสุทธิ์และเก่งกาจจนสามารถแก้ต่างให้ตนเองได้เช่นนี้ แล้วยังมีสิ่งใดที่อยากจะขอข้าอีกก็พูดมาเถิด""ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันยังห่วงไทฮ
บทที่ 40 ชานมไข่มุกเวลาผ่านมานับเดือนตั้งแต่กลับมาจากวังหลวงวันนั้นดูเหมือนว่าลี่ไท่เฟยจะมองจื่อรั่วอิงแตกต่างจากเดิมและยอมพูดคุยกับนางดี ๆ อีกหลายประโยคในยามที่นางไปถวายน้ำชาปรนนิบัติในยามเช้าพร้อมท่านอ๋องที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมาเป็นเพื่อนนางในทุกวันทว่าเมื่อตกเย็นนางกลับไม่เคยได้เห็นหน้าเขาอีกเลย แน่นอนว่านานนับเดือนแล้วที่นางได้แต่นอนกอดหมอนด้วยหัวใจที่ชีช้ำโดยไม่รู้ว่าสามีของตนเองอยู่ที่ใดเพราะไม่เห็นหน้าเขาเลยวันนี้จื่อรั่วอิงจึงไปหาเขาถึงเรือน ทว่าพบเพียงบ่าวของเขาที่รีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ"อาฟง ท่านอ๋องเล่า""ท่านอ๋องไม่อยู่ขอรับ ออกไปกับองครักษ์ซีห่าวขอรับ""ไปที่ใด""บ่าวไม่ทราบขอรับ"จื่อรั่วอิงเบื่อหน่ายสามีของตนเองเหลือทน จะมีบุรุษตาบอดคนใดบ้างที่ออกไปนอกจวนได้ทุกคืนเช่นเขา นางเดินเข้าไปในเรือนของเขาโดยที่อาฟงเองก็ไม่ได้ห้ามปรามแล้วจื่อรั่วอิงเดินสำรวจเรือนของลี่หมิงอ๋อง เรือนหลังนี้ไม่ได้ตกแต่งด้วยข้าวของล้ำค่า มีเพียงเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าต่าง ตรงกลางเรือนมีโต๊ะกลมและเก้าอี้เพียงสองตัวตัวหนึ่งคงสำหรับลี่หมิงอ๋อง อีกตัวหนึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นของซีห่าว นอกจ
“กวนเกอร์เอ๋อร์ วาดอะไรอยู่หรือ”เด็กน้อยตัวอวบอ้วนวัยสามขวบเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษที่อยู่ตรงหน้า มือเล็กยังถือพู่กันเอาไว้พร้อมกับเอ่ยว่า“วาดภูเขาพ่ะย่ะค่ะ”จื่อรั่วอิงเดินท้องโย้เข้ามาใกล้บุตรชาย โดยมีเสี่ยวหยุนคอยประคอง“ไหนเอามาให้แม่ดูหน่อย”เด็กน้อยส่งกระดาษให้ผู้เป็นมารดาดู พร้อมกับมองตาแป๋ว“ลูกวาดเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”จื่อรั่วอิงเห็นว่าภูเขาของบุตรชายประหลาดนัก ทว่าก็ได้แต่อมยิ้มแล้วพยักหน้าช้า ๆ“งามมาก กวนเกอร์เอ๋อร์ของแม่ช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์จริง ๆ วาดภูเขาได้เหมือนมาก แล้วจุดสองจุดตรงภูเขาคืออะไรหรือ”เด็กน้อยเกาศีรษะกลมพร้อมกับส่ายหน้า“ยังไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ ต้องถามเสด็จพ่อ”จื่อรั่วอิงขมวดคิ้ว ด้วยบัดนี้ท่านอ๋องเข้าวัง มีเพียงบ่าวของนางเจ้าอ้วนเป่าที่คอยฝนหมึกให้และบ่าวของท่านอ๋องอาฟงที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ“ไยต้องถามเสด็จพ่อเล่า”“เพราะลูกมีภาพวาดของเสด็จพ่อเป็นต้นแบบ อาฟงบอกลูกว่ายามนั้นเสด็จพ่อตาบอดมองไม่เห็นสิ่งใดยังพากเพียรวาดรูปฝึกปรือฝีมือ ความเพียรนี้สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ”จื่อรั่วอิงนั่งลงข้าง ๆ บุตรชาย นางลูบท้องใหญ่ของตนเองที่บัดนี้ตั้งครรภ์ได้เ
“ทะท่านอ๋อง ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ”จื่อรั่วอิงมือสั่น“นี่เจ้ากล้าเรียกสามีข้าหรือ เจ้าไม่ได้ตายดีแน่”สาวใช้ของคุณหนูผู้นั้นกอดคุณหนูของตนเองเอาไว้แน่น ยังเอ่ยว่า“พระชายา คุณหนูของบ่าวได้รับบาดเจ็บข้อเท้าแพลงไม่อาจขยับได้เพคะ อย่าทำร้ายคุณหนูของข้า นางได้รับบาดเจ็บอยู่นะเพคะ”“เจ็บจริง ๆ หรือไม่ข้าต้องทดสอบ เจ้ารู้หรือไม่หากข้าฟาดแส้ไปที่ใบหน้าของนาง คงต้องเสียโฉมไปตลอดกาลเป็นแน่ อยากลองดีหรือไม่”กล่าวจบจื่อรั่วอิงฟาดแส้ลงมาครั้งหนึ่งลงไปข้างกายของนางผู้นั้น ผู้คนเริ่มมามุงดูกันด้วยความสงสัย ในขณะที่สตรีทั้งสองคนกรีดร้องอย่างหวาดกลัวสาวใช้กลับไม่ยินยอม“ท่านถือดีอย่างไรจึงได้ลงมือตีคนกลางถนนเช่นนี้ คุณหนูของข้าเป็นถึงธิดาของท่านผู้ว่าการศึกษานะเพคะ”จื่อรั่วอิงถลึงตาใส่คนทั้งสอง“ข้าถามหรือว่านางเป็นลูกใคร ได้ไล่ไม่ไปใช่หรือไม่ หากไม่ไปอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ข้าจะตีพวกเจ้าทั้งนายและบ่าวให้ตายไปข้างหนึ่ง”จื่อรั่วอิงเงื้อมือขึ้นเตรียมฟาดแส้ลงมา ไม่น่าเชื่อว่าสตรีที่บ่อน้ำตาแตกท่าทางอ่อนแอนางนั้นบัดนี้จะลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปสุดชีวิต ทว่ากลับไม่ทันเสียแล้ว เมื่อแส้ในมือของนางยังฟาดเข้าท
“กอดข้าหน่อยเพคะ”เขาถอดรองเท้าแล้วสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนนั้นกอดมือใหญ่ดึงร่างเล็กมากอด จื่อรั่วอิงขยับกายมาแนบชิดเกยก่ายร่างตนเองบนร่างกายใหญ่โตของเขาอบอุ่นและหอมกรุ่นยิ่งนักเขาลูบแผ่นหลังของนางอย่างรักใคร่“เหตุใดเอาแต่นอน หากนอนมากจะไม่สบายไม่รู้หรือ”จื่อรั่วอิงส่ายหน้า“ไม่ได้นอนอย่างเดียวเพคะ ยังตื่นขึ้นมากินด้วย”“กินกับนอนไม่กลัวอ้วนหรือ”“ไม่กลัวเพคะ คนเราต้องใช้ชีวิตให้ดีหากชอบกินก็กินเสียก่อนที่จะไม่ได้กิน หม่อมฉันเคยตายมาแล้วของที่อยากได้ก็ไม่ได้ใช้จึงคิดเสียดายยิ่ง ชาตินี้จึงคิดว่าหากอยากจะทำอะไรก็จะทำเพคะ”นางมักจะพูดเช่นนี้เสมอว่าตนเองเคยตายมาแล้ว ปกติจื่อรั่วอิงมักพูดจาประหลาดอยู่แล้ว ลี่หมิงอ๋องจึงเคยชินกับคำพูดของนางจึงไม่ได้เอ่ยถามคำใดเขาขยับตัวขึ้นนั่งโดยมีจื่อรั่วอิงพังพาบอยู่บนร่างกายเขา ได้กอดสามีเหมือนกอดเตาอุ่นนางจึงซุกหน้าเข้ากับอกของเขาแล้วถูเบา ๆ“ไม่คิดออกไปข้างนอกหรือ มีข่าวว่ามีของน่าสนใจมากับเรือเทียบท่าลำใหญ่ที่เพิ่งมาถึง”“ไม่ไปเพคะ หนาวข้าไม่ชอบความหนาวอยากนอน”“ไม่ไปจริงหรือ”“จริงเพคะ”แน่นอนว่านอกจากนางจะไม่ไปแล้ว ยังล็อกตัวสามีแน่นหนาไม่ยอมให
ตอนพิเศษ ตอนที่ 1หลังแต่งงานใหม่เข้าจวนอ๋องในฐานะพระชายาได้สองปีกว่าจื่อรั่วอิงก็ไม่ยอมตั้งครรภ์ ด้วยนางยังห่วงความสนุกสนานในชีวิตวัยรุ่นของนางยิ่งนักในแต่ละวันหลังจากท่านอ๋องเข้าวังหลวงไปทำงาน จื่อรั่วอิงก็มักจะกลับไปจวนของตนเองเพื่อไปเยี่ยมท่านย่าและน้องสาวทั้งสองอยู่เสมอโดยขากลับต้องลำบากลี่หมิงอ๋องต้องไปรับนางด้วยตัวเองทุกวันก่อนหน้านี้ท่านย่ามาเยี่ยมที่จวนอ๋อง หลังจากเดินวนชื่นชมความงดงามของจวนพร้อมกับบ่าวคนสนิทและน้องสี่น้องห้าจนเหนื่อยก็ลงมือต้มน้ำแกงให้นางดื่มบำรุงกำลัง“เจ้าสามอย่าหาว่าย่าสั่งสอน อย่างไรเราเป็นสตรีการมีบุตรให้สามีคือหน้าที่ เจ้าแต่งมาสองปีแล้วยังไม่มีวี่แววเช่นนี้นับว่าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว”“ท่านย่าข้าเป็นภรรยาคน ไม่ใช่แม่พันธ์เพาะลูก อายุก็น้อยเพียงนี้จะรีบมีไปทำไม รอข้าพร้อมก่อนจะมีแน่นอนไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”“น้อยได้อย่างไร คนอื่นลูกเขาต่างวิ่งกันได้แล้วดูเจ้าสิอย่าทำตัวเหลวไหลนักเลย ของที่ย่านำมาด้วยดื่มให้เป็นประจำบำรุงร่างกายทั้งนั้น ร่างกายสมบูรณ์จะได้ตั้งครรภ์เสียที”จากนั้นก็หันไปสั่งเสี่ยวหยุน“เสี่ยวหยุนอย่าลืมให้พระชายาดื่มยาบำรุงของข้าทุกวัน ร
บทที่ 51 จบบริบูรณ์วันนี้เป็นวันอันสำคัญที่ฝ่าบาทจัดขึ้นเพื่อลี่หมิงอ๋อง จึงทรงเชิญคนมากมายรวมทั้งคนในครอบครัวของจื่อรั่วอิงมาร่วมงานเลี้ยงฉลอง ท่านย่าของจื่อรั่วอิงตื่นเต้นเป็นอันมาก นางยังได้เชิญญาติ ๆ มาร่วมงานด้วยโดยที่ฝ่าบาทเองก็ไม่ได้ขัดข้องที่เหล่าชนชั้นพ่อค้าเหล่านี้จะเข้าวังร่วมแสดงความยินดี ในขณะที่บิดาและภรรยาทั้งสี่ของเขาต่างก็เข้าร่วมงานด้วยความสำราญใจและยังได้รับการคารวะสุราแทบจะไม่ว่างเว้นจื่อรั่วอิงถึงกับส่ายหน้าเมื่อเห็นท่านย่าแต่งกายด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับสีทองทั้งตัว นางกลัวว่าจะถูกคนในวังตำหนิที่ทำตัวเด่นดังเกินหน้าเกินตาน้องสี่ของนางจึงเอ่ยว่า"ฝ่าบาทพระราชทานให้ท่านย่า เพราะบอกว่าเลี้ยงพี่สามมาดียิ่งทำให้พบคนร้ายที่ทำลายดวงตาท่านอ๋อง ความดีความชอบยกให้ท่านย่าทั้งหมด อีกทั้งเครื่องประดับเหล่านั้นจึงยังเป็นลี่ไท่เฟยที่มอบให้ อีกไม่นานลี่ไท่เฟยจะดำรงตำแหน่งไทฮองไทเฮาแล้ว พระนางจึงมีของมากมาย ของกำนัลเหล่านี้ล้วนเป็นพระนางที่คัดเลือกส่งให้ท่านย่าทั้งหมดเจ้าค่ะ"จื่อรั่วอิงย่อมรู้ว่าแม่สามีตอบรับตำแหน่งไทฮองไทเฮาแล้ว นางดีใจจนเนื้อเต้น ไม่ใช่เพราะแม่สามีจะได้ตำ
บทที่ 50 ผู้ใดทำผิดต้องได้รับการลงโทษเจียวลู่ตามคนผู้นั้นมายังสถานที่หนึ่ง บัดนี้นางคุกเข่าอยู่ต่อหน้าคนผู้นั้นพร้อมกับเอ่ยว่า"จัดการเรียบร้อยแล้วเพคะ พวกเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกต่อไป""เจ้าแน่ใจหรือไม่""เพคะ หม่อมฉันลงมือด้วยตนเอง และก่อนออกจากจวนก็ไปพบพวกเขา ทุกคนล้วนนอนหลับแล้วเพคะ""อืม ดีมาก คงมีเพียงเจ้าที่ไว้ใจได้ เจ้าทำพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง คงนี้คงไม่พลาดอีกใช่หรือไม่""เพคะ ทรงไว้ใจหม่อมฉันได้ ไม่พลาดแน่นอน"สตรีนางนั้นแย้มยิ้ม แล้วยกแขนขึ้นกวักมือเรียกเจียวลู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน"ลูกแม่ มาหาแม่สิ มาใกล้ ๆ แม่"เจียวลู่ขยับเข้าไปใกล้คนผู้นั้น แล้วซบใบหน้าลงบนตัก"เสด็จแม่ยอมรับหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่"สตรีนางนั้นเอ่ยว่า"ไม่ยอมรับได้อย่างไร เจ้าคือลูกแม่มิใช่หรือ หลายปีมานี้ใช้งานเจ้าให้หลบซ่อนตัวในจวนอ๋อง เจ้าทำตามที่แม่สั่งมาเนิ่นนาน สุดท้ายมือของเจ้ายังแปดเปื้อนเลือดคน ทั้งหมดเจ้าแสดงให้เห็นแล้วว่าซื่อสัตย์ต่อแม่เพียงใด แม่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก"เจียวลู่เงยหน้ามองนางผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า"ไยจึงเปลี่ยนพระทัยสังหารไท่เฟยเพคะ นางโดนยาพิษมาหลายปีเพียงนี้อีกไม่นานก็คงล้มป่วยแล้ว"สองมือข
บทที่ 49 วางยาพิษเพราะอาการตาบอดของลี่หมิงหายแล้ว ลี่ไท่เฟยจึงเป็นคนที่ดีใจที่สุด ความจริงอยากจัดงานเลี้ยงใหญ่โตในจวน ทว่าลี่หมิงห้ามเอาไว้ บอกว่าได้หารือกับฝ่าบาทแล้วว่าจะจัดงานที่วังหลวง เชิญข้าราชบริพารมาร่วมงานจัดให้ใหญ่โตคล้ายจัดงานให้ไทฮองไทเฮาเสียอีกลี่ไท่เฟยแย้มยิ้มเอ่ยว่า"จะจัดให้ใหญ่เท่างานวันเกิดจิ้งจอกเฒ่านั้นได้อย่างไร ต้องจัดให้ใหญ่กว่าสิ ท่านอ๋องของแม่เป็นคนสำคัญเพียงใดผู้ใดก็รู้ งานนี้ฝ่าบาทคงให้กลับไปรับราชการกุมอำนาจเช่นเดิมแล้ว นางจิ้งจอกนั่นจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้ววังหลวงไม่ใช่ของนางเลยแม้แต่น้อย ลูกแม่เป็นคนโปรดของฝ่าบาทเพียงนี้คงทำให้นางไม่กล้ากับแม่อีก”ลี่หมิงอ๋องพยักหน้า การต่อสู้ของสตรีชราทั้งสองคงไม่มีวันจบสิ้นเป็นแน่ลี่ไท่เฟยจับมือบุตรชายแล้วเอ่ยพร้อมทอดถอนใจ“ท่านอ๋อง ศึกสงครามสงบแล้วก็ดียิ่งทว่าหากบังเอิญเกิดขึ้นอีก แม่ขอร้องท่านอ๋องอย่าได้ออกรบได้หรือไม่ ที่ผ่านมาเจ้าทุ่มเทมากมายเพียงนั้นจนกระทั่งตาบอด แม่ทำใจไม่ได้หากเห็นเจ้าต้องเข้าสู่สนามรบอีก อย่างไรก็ไม่อาจยอมได้”ลี่หมิงอ๋องเอ่ยว่า"บัดนี้คงไร้สงครามแล้ว ศึกครั้งสุดท้ายได้ทำสัญญาสงบศึกถึงยี่สิบปี
บทที่ 48 เราหย่ากันเถอะเรื่องดวงตาของท่านอ๋องหายดีแล้วนั้น ก่อนหน้านั้นเขาได้ทูลให้ฝ่าบาททรงทราบเรียบร้อย ฝ่าบาทจึงทรงสั่งให้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองในวังหลวงลี่หมิงอ๋องไม่ปฏิเสธ ยังรับปากแข็งขันว่าจะเข้าร่วม ทั้งยังขอให้ฝ่าบาททรงจัดงานให้ใหญ่ที่สุด เชิญคนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"เสด็จอาพูดจริงหรือ ดูเหมือนไม่ใช่เสด็จอาเลยแม้แต่น้อย หรือว่าเพราะแต่งกับคนสดใสร่าเริงเช่นจื่อรั่วอิงจึงทำให้เปลี่ยนไปได้เพียงนี้"ลี่หมิงอ๋องพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า"ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล เกี่ยวกับสาเหตุที่กระหม่อมตาบอด"ฮ่องเต้ทรงเบิกพระเนตรกว้าง ตรัสถามด้วยความตื่นเต้น"เสด็จอาสืบรู้แล้วหรือ เพียงดวงตามองเห็นก็ทราบทุกอย่างแล้วหรือ"ลี่หมิงอ๋องพยักหน้า "ความจริงหากนึกย้อนไปดี ๆ ก็คงสามารถปะติดปะต่อเรื่องนี้ได้ ทว่าด้วยหลายปีที่ออกศึกจึงมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่าเรื่องนี้ กระหม่อมเองยามนั้นยังเด็กนักจึงไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น กระทั่งบัดนี้เมื่อมองเห็นและได้เห็นใบหน้าคนผู้หนึ่งความทรงจำนั้นจึงกลับมา""เสด็จอาหมายความว่าอย่างไร"ลี่หมิงอ๋องหัวเราะเย็น"ฝ่าบาทความจริงที่สืบได้รวดเร็วทั้งหมดนี้ล้
บทที่ 47 คือท่านซีห่าวมองหน้านางแล้วหันไปมองบุรุษผู้นั้นก่อนจะหันมามองหน้านางอีกที"พระชายารองไม่เห็นท่านอ๋องหรอกหรือ"นางส่ายหน้า "เขาอยู่ที่ใดมิได้อยู่กับท่านหรือ แล้วท่านมาที่นี่ทำไม"ซีห่าวหัวเราะ ในขณะที่มีคนผู้หนึ่งจับมือของนางเอาไว้แล้วหมุนตัวของนางให้หันหลัง ยามนั้นจื่อรั่วอิงใบหน้าจึงปะทะเข้ากับอกกว้าง นางร้องเจ็บออกมาเล็กน้อยแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน คำนินทาก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว พระชายาลี่อ๋องเดินเข้างานพร้อมกับบุรุษหนุ่มสองคน และตอนนี้ก็ยังอยู่ในอ้อมกอดคุณชายสี่ผู้หล่อเหลาที่เพิ่งปรากฎกายนางจะหน้าด้านเกินไปแล้ว มิใช่ว่าบุรุษทุกคนนั้นต่างตกเป็นของจื่อรั่วอิงสตรีแพศยาไปแล้วหรือน่าสงสารและสมเพชเวทนาสามีตาบอดของนางที่ไม่รู้ว่าจื่อรั่วอิงนางนี้ ทำเรื่องน่าอับอายฉาวโฉ่เพียงใดจื่อรั่วอิงคิดจะผลักเขาออกกลับถูกเขาจับมือสองข้างเอาไว้อย่างรู้ทัน นางถอยห่างเล็กน้อยเขาก้มหน้าลงมาเอ่ยเสียงต่ำ"ท่านคือพระชายาลี่อ๋องใช่หรือไม่"จื่อรั่วอิงไม่ตอบทว่ายกเข่าขึ้นทันใดแล้วกระทุ้งเข้าไปตรงกลางร่างกายของเขาอย่างแรง ลี่หมิงอ๋องหน้าเขียวแต่ไม่อาจร้องออกมาได้ ในขณะที่ซีห