นางดึงผ้าห่มด้านนอกออก เผยให้เห็นเพียงตุ๊กตาผ้าที่ดูน่ารักอยู่ข้างในองค์หญิงห้าเป็นคนทำตุ๊กตาตัวนี้ให้เสี่ยวลั่วเออร์ด้วยตัวเอง และครั้งนี้มันก็มีประโยชน์อย่างมากเพื่อให้ทุกอย่างดูสมจริงยิ่งขึ้น ซูชิงอู่จึงทิ้งห่อผ้าที่ห่อลูกสาวของนางไว้ระหว่างทางส่วนคนที่มารับนางไปคือเย่เสวียนถิงที่เดินทางมาช่วยเหลือทุกอย่างถูกดำเนินการด้วยความระมัดระวังซูชิงอู่มองออกไปข้างนอกและเห็นว่าท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้วช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือคือหลังฟ้ามืดเวลาค่อย ๆ ผ่านไปเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงสว่างแล้ว ในที่สุดซูชิงอู่ก็อุ้มห่อผ้าเล็ก ๆ ออกมาจากห้องนางหลบสายตาของทุกคนมายังถนนด้านหลังเขาวัดเหลียงซาน และลงจากภูเขาไปเพียงลำพังเหตุผลที่ซูชิงอู่ทำเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเดือนก่อน นางและเย่เสวียนถิงแอบตามหาคนมีความสามารถที่สามารถรักษาองค์หญิงน้อยได้จากนั้น เมื่อครึ่งเดือนก่อนก็ได้ยินมาว่ามีภิกษุเต๋าชราท่านหนึ่งเปี่ยมความสามารถและได้รักษาเด็กที่เป็นโรคทางสมองแต่กำเนิดมาหลายคนแล้วหลังจากติดต่อกับภิกษุเต๋าท่านนั้นไป ภิกษุเต๋าก็ได้กำชับให้ทั้งสองคนไปหาเขาในวันและเวลาที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ และห้าม
คนเหล่านั้นถืออาวุธแวววาวไว้ในมือและมุ่งหน้าตรงไปทางรถม้าบรรดาองครักษ์ลับที่เตรียมพร้อมสำหรับการถูกลอบโจมตีก็เข้าต่อสู้กับศัตรูทันทีในโสตประสาทมีแต่เสียงก้องของอาวุธโลหะที่ปะทะกันแม้ซูชิงอู่จะเดาเอาไว้แล้วว่าคนจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์จะมา แต่นางก็คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะโหดเหี้ยมกันถึงเพียงนี้ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังลงทุนส่งคนมาถึงสามสิบกว่าคนซูชิงอู่นั่งอยู่ข้างในโดยไม่ขยับเขยื้อนนางหลุบตาลงเล็กน้อย และทันใดนั้นก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นในหูของนาง ราวกับมีลูกธนูกำลังพุ่งมายังที่ที่นางอยู่ปลายลูกธนูได้ทะลุผ่านผนังด้านข้างของรถม้าเข้ามา แต่มีคนคว้าปลายลูกธนูไว้ม่านรถเลิกออกเล็กน้อยเงาร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านนอกใบหน้าของเย่เสวียนถิงยังคงถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้า โดยมีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่โผล่ออกมา“อาอู่ ไม่เป็นไรใช่ไหม”ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหัว“ท่านอ๋องระวังตัวด้วย”เย่เสวียนถิงยิ้มให้นาง และไม่มีร่องรอยของความกังวลใจในดวงตาแม้แต่น้อยดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมแม้แต่ในสนามรบที่มีผู้คนนับแสนก็ไม่สามารถทำให้เขาแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาได้ยิ่งไ
ลูกสมุนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ถูกกดลงกับพื้น พวกเขายังคงมีสิ่งปิดบังใบหน้า ซูชิงอู่เดินไปหาหนึ่งในนั้น พลางยกมือขึ้นแล้วดึงผ้าคลุมบนใบหน้าของเขาออกทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เจือไปด้วยความสงสัย“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดรีบเดินเข้ามาและถามว่า “พระชายา มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ซูชิงอู่กล่าวว่า “พวกเขาดูไม่เหมือนคนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่ดูเหมือนกลุ่มโจร!”“เหตุใดพวกโจรถึงได้มีทักษะการต่อสู้สูงเช่นนี้?”เย่เสวียนถิงก็มาด้วยทันใดนั้น อาวุธชิ้นหนึ่งก็ถูกดึงออกมาจากเอวของหนึ่งในนั้นหลังจากสังเกตไปรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ดูออกว่าคนเหล่านี้เป็นใคร“คนจากยุทธภพ”เขาหลุบตามองไปยังใบหน้าของคนผู้หนึ่ง ซึ่งเขาคือคนที่สั่งให้ทุกคนหนีในตอนแรก“พูดมา พวกเจ้าเป็นใครกันแน่!”เมื่อเห็นชายชุดดำมากมาย คนผู้นั้นก็ตัวสั่นด้วยความกลัว“ท่านจอมยุทธโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกเรา...พวกเราล้วนเป็นกลุ่มผู้ลี้ภัย ได้ยินว่ามีคุณหนูคนหนึ่งจากตระกูลเศรษฐีเดินทางผ่านมาที่นี่ อีกทั้งยังนำเงินมากมายติดตัวมาด้วย ดังนั้นจึงตั้งใจที่จะมา...มาปล้น…”หลายคนมีรอยแผลเป็นมากมายบนใบหน้า ทำให้พวกเขาดูน่ากล
ไม่รู้ว่ามีพิษชนิดใดอยู่บนเข็มเงิน แต่ก็ทำให้นางรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาในทันทีเมื่อคิดจะสะบัดให้หลุดก็สายเกินไป สุดท้ายนางก็ล้มลงกับพื้นไฟในห้องสว่างจ้าขึ้นมาหรงหย่าปัดฝุ่นแล้วลุกขึ้นยืน พลางโบกมือเรียกนางกำนัลอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ“เอาล่ะ จับคนได้แล้ว เจ้ารีบลุกขึ้นมาเถิด”หลังจากได้ยินเช่นนั้น นางกำนัลผู้น้อยอีกคนก็รีบลุกขึ้นจากพื้นและพัดควันที่อยู่ในอากาศ“แม่นางหรง ท่านนี่สุดยอดจริง ๆ เป็นเพราะท่านให้ซ่อนยาถอนพิษไว้ใต้โคนลิ้น จึงทำให้ไม่เวียนหัวจนสลบจากควันพิษ”หรงหย่าหัวเราะเบา ๆ “ไม่หรอก ๆ มันเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่าไปสนใจเลย จริงสิ เสียงร้องไห้ที่เจ้าทำเมื่อครู่คล้ายกับเสียงร้องของเด็กมากจนข้าเองก็ยังตกใจ”แก้มของนางกำนัลผู้น้อยแดงขึ้นมา จากนั้นนางก็ก้มหน้าพูดอย่างถ่อมตัว “มันเป็นเพียงทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าเคยเรียนรู้มาก็เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมอะไรหรอก”“ขอแค่มันมีประโยชน์ ก็ถือว่าเจ้าได้ทำผลงานใหญ่หลวง เจ้าออกไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจัดการคนผู้นี้เอง”“เจ้าค่ะแม่นางหรง”ตอนนี้หรงหย่าคอยติดตามซูไทเฮาเพื่อดูแลเด็ก ๆ ทุกคนทั้งตำหนักจึงคุ้นเคยกับนางนางลุกขึ้นจับน
เมื่อเจียงเฟยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น นางก็แทบจะหัวเราะด้วยความโกรธเมื่อยี่สิบปีก่อน นางเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงในภูเขาศักดิ์สิทธิ์!“ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็เป็นคนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์”หรงหย่าเลิกคิ้ว “ข้าโตมาในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีคนมากมายเคยเจอข้า หากเจ้าไม่เคยเจอข้า ก็แสดงว่าเจ้ามีสถานะต่ำต้อยและไม่มีอะไรให้พูดถึง”แน่นอนว่านางกำลังยั่วยุอีกฝ่ายสีหน้าของเจียงเฟยเอ๋อร์บิดเบี้ยว และนางพูดขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เจ้าเป็นใครกันแน่ รู้หรือไม่ว่าในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ข้ามีตำแหน่งอะไร?”ดวงตาของหรงหย่าเป็นประกายขึ้นมาทันทีรอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏที่มุมปากของนาง “ที่แท้ ก็จับปลาตัวใหญ่ได้หรอกรึนี่!”“เจ้า…”นางประมาทเกินไปจนมองแผนยั่วยุง่าย ๆ ไม่ออกเป็นเพราะความผิดพลาดนี้เองที่ทำให้นางจิตใจว้าวุ่นและสับสนไปโดยสิ้นเชิงแต่แม้นางจะถูกอีกฝ่ายหลอก แต่นั่นไม่สำคัญเลย แต่หากรอให้ซูชิงอู่กลับมา อีกฝ่ายจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางอย่างแน่นอนต้องหนี!เจียงเฟยเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ พลางมองไปทางหรงหย่า และจู่ ๆ นางก็ลดเสียงลงและพูดว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ในเ
เมื่อเห็นว่านางไม่สามารถหลอกลวงสตรีที่อยู่ตรงหน้าได้ เจียงเฟยเอ๋อร์ก็แอบทอดถอนใจ“จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”นางตอบอย่างปากแข็ง แต่ในสายตาของนางก็แอบซ่อนความรำคาญใจอย่างสุดซึ้งเอาไว้หรงหย่าเองก็ไม่โง่ “ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!”นางนั่งบนเก้าอี้พลางหาวไปมองอีกฝ่ายไป “ข้าเคยเห็นใบหน้านี้ของคนผู้ในวัง ซึ่งไม่ใช่ของเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าทำอะไรกับเจ้าของใบหน้านี้?”ดวงตาของเจียงเฟยเอ๋อร์ขรึมลง และนางก็นิ่งเงียบนางปลอมตัวมาแทนเจ้าของใบหน้านี้แล้ว ตัวจริงจะกลายเป็นอย่างไร มันไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ?เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง หรงหย่าก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี และนางก็แสดงสีหน้าโกรธเป็นอย่างมาก“เจ้ามันอำมหิตนัก ในสายตาของคนเช่นเจ้า ชีวิตของคนไม่มีค่าอะไรเลยหรือ?”เจียงเฟยเอ๋อร์ยิ้มเยาะ “ในสายตาของข้า ข้าให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองเพียงเท่านั้น แล้วเจ้าเล่า? หรือว่าเจ้าไม่กลัวตาย? ข้ารับปากเจ้าว่าหากวันนี้เจ้าปล่อยข้าไปและมอบเด็กคนนั้นให้ข้า ข้าก็จะหาวิธีทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”“เจ้าหมายความว่าจะใช้เลือดขององค์หญิงน้อยมาช่วยชีวิตข้าหรือ?”ท่าทีของเจียงเฟยเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในท
“ตอนนั้นที่แคว้นอู๋ตะวันตก ข้ามีตาหามีแววไม่ ข้าจึงจำพวกท่านทั้งสองไม่ได้”หากนางรู้ว่าเป็นสองคนนี้ นางคงจะฆ่าพวกเขาทันทีไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!ซูชิงอู่ยิ้มมุมปากเบา ๆ “มาจำกันได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ”นางค่อย ๆ เชิดคางของเจียงเฟยเอ๋อร์ขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น“ในเมื่อกุ้ยเฟยมาเยือนตำหนักของข้าในฐานะแขก ข้าก็จะต้อนรับขับสู้ท่านเป็นอย่างดีแน่นอน”เจียงเฟยเอ๋อร์แสดงท่าทางหวาดกลัวเพราะนางเห็นซูชิงอู่จับคางของนางพร้vมกับยัดแมลงตัวหนึ่งเข้าไปในปาก“กรี๊ด!!!”ครู่ต่อมา นางรู้สึกปวดบิดในช่องท้อง บังเกิดความรู้สึกกลัวว่าอวัยวะภายในของตนเหมือนจะถูกกลืนหายไป ทำให้นางดิ้นจนอยากจะกลิ้งตัวไปกับพื้นน่าเสียดายที่เชือกบนตัวของนางจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไว้เมื่อเห็นนางค่อย ๆ สงบลง ซูชิงอู่ก็รู้ว่านางไม่เจ็บปวดแล้ว“ข้าคงไม่ต้องบอกว่านี่คือหนอนกู่ชนิดใด พูดมาซิว่าเหตุใดท่านถึงมาจับลูกสาวของข้า ใครเป็นคนสั่งให้ท่านมา?”หน้าผากของเจียงเฟยเอ๋อร์เต็มไปด้วยเส้นเลือดดำปูดโปน ดวงตาของนางเกือบจะถลนออกมาเพราะความเจ็บปวดเมื่อครู่ ริมฝีปากของนางสั่นระรัว เสียงของนางแหบแห้ง
“นางเป็นหนึ่งในสตรีของท่านอาจารย์และเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น นางตั้งครรภ์บุตรของท่านอาจารย์และหนีไป...”หนีไป...ซูชิงอู่เดือดพล่านด้วยความโกรธ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด“อาจารย์ของท่านเป็นใคร? เขามีลักษณะอย่างไร?”“ท่านอาจารย์ของข้า...”ทันทีที่เจียงเฟยเอ๋อร์นึกถึงบางอย่าง ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีเลือดแดงก่ำที่ปากและหูของนางเริ่มมีเลือดออก นางกรีดร้องอย่างน่าสังเวชและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดขณะที่ซูชิงอู่กำลังจะก้าวไปหา เย่เสวียนถิงก็ดึงนางไว้และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อาอู่ เจ้าดูที่หน้าของนางสิ!”ซูชิงอู่เห็นว่าเหมือนมีแมลงนับไม่ถ้วนคลานอยู่ใต้ใบหน้าของสตรีนางนั้น ทำให้ผิวหนังบนใบหน้าของนางสั่นสะเทือนมีเลือดสีดำไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของนาง และหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว นางก็สิ้นใจไปอย่างกะทันหัน...ซูชิงอู่ยังมีคำถามมากมายที่อยากถาม แต่สตรีนางนี้ก็เสียชีวิตไปเสียแล้วนางรอกระทั่งสตรีนางนั้นนิ่งสนิท จนหนอนในร่างกายของอีกฝ่ายเริ่มคลานออกมา จากนั้นก็ก้าวไปหยิบมันขึ้นมาหลังจากออกจากร่าง หนอนกู่เหล่านั้นก็แน่นิ่งไปอย่างรวดเร็วซูชิงอู่หรี่ตาเล็กน้อย และดวงตาคู่นั้นก็ฉาย
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้