หากพวกนางไม่ได้เข้ามาช่วยกันประคอง ตอนนี้ฮองเฮาอาจจะล้มลงกับพื้นไปแล้วนางหันกลับมาด้วยใบหน้าซีดเซียว ทำให้ฮ่องเต้เฒ่าเห็นรอยฝ่ามืออีกสองสามรอยบนใบหน้าของฮองเฮาซึ่งเป็นสีแดงและบวม ผมของนางยุ่งเหยิง ความสง่าและความงดงามในอดีตนั้นไม่มีให้เห็นเลยเขาเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ใครก็ได้บอกข้าทีซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?”ทันใดนั้น นางกำนัลคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายกุ้ยเฟยก็ก้าวออกมา“ทูลฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงให้ความเป็นธรรมแก่พระสนมด้วยเพคะ หม่อมฉันเห็นด้วยตาตนเองว่าทางฝั่งของฮองเฮาเป็นฝ่ายลงมือก่อน ฮองเฮาทรงทราบดีว่าตอนนี้พระสนมกำลังตั้งครรภ์ แต่พระนางกลับไม่สนพระทัย เห็นได้ชัดว่ามีความผิดฐานทำร้ายทายาทราชวงศ์เพคะ!”คำกล่าวหาที่เกินความจริงนี้ แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่สามารถรับผิดชอบไหวฮองเฮารู้ว่าคราวนี้ตนกระทำการวู่ว่ามจึงพูดด้วยดวงตาเศร้าหมอง “หม่อมฉันรู้ดีว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานกุ้ยเฟย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเคารพกฎเกณฑ์ของวังหลัง หม่อมฉันคือฮองเฮาและเป็นเจ้าของหกตำหนักฝ่ายใน กุ้ยเฟยเจอหน้าหม่อมฉันแต่ไม่ทำความเคารพก็ไม่เป็นไร ทว่ากลับมาพูดจาเหน็บแนมยั่วยุหม่อมฉัน หากไม่ลงโทษนาง หม่อมฉันที่เป็นฮ
“พระสนม ข้างในอันตราย อย่าเข้าไปตามใจชอบนะเพคะ!”กุ้ยเฟยกังวลมากจนอยากจะบุกเข้าไป แต่ก็ถูกนางกำนัลอาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ ห้ามเอาไว้ดวงตาของนางแดงก่ำ แม้แต่ตอนที่ถูกทำร้ายเมื่อครู่ก็ยังไม่โมโหเท่านี้ฮ่องเต้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับกุ้ยเฟยฮ่องเต้เฒ่าเดินมาอยู่ข้าง ๆ นางพลางพูดปลอบใจ “กุ้ยเฟย เจ้าเป็นอะไรไป?”กุ้ยเฟยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสิ่งเหล่านั้นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หากฮ่องเต้ได้ยินเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น เขาก็จะต้องอยากได้มันอย่างแน่นอนพูดออกมาก็เท่ากับทำให้คนอื่นเกิดความโลภใบหน้าของกุ้ยเฟยซีดหมองราวกับกระดาษ ดวงตาของนางแดงก่ำ พลางสะอึกสะอื้น “หม่อมฉันมีของล้ำค่าอยู่ข้างในและนำออกมาไม่ได้เพคะ…”“ของล้ำค่าอะไรหรือ? อย่าเศร้าไปเลย ไว้ข้าจะชดเชยให้เจ้าทีหลังเป็นอย่างไร?”สิ่งของเช่นนั้นมันชดเชยกันได้ที่ไหนเล่า?หัวใจของกุ้ยเฟยสั่นเทาด้วยความโกรธ แต่นางก็ทำได้เพียงพยักหน้า “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”ฮ่องเต้เฒ่าเงยหน้ามองตำหนักที่กลายเป็นซากปรักหักพังเขาถามว่า “มีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ เนื่องด้วยตอนที่เกิดเพลิงไหม้เมื
ฮองเฮาเป็นคนแรกที่ตอบสนองเมื่อได้ยินว่าโอรสของนางได้รับการช่วยเหลือออกมาแล้ว นางก็อดทนต่อความเจ็บปวดและเดินไป“ลูกเอ๋ย ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”ฮองเฮามองโอรสของนางที่ดูผ่ายผอมลงไปมากในช่วงเวลาสั้น ๆ และน้ำตาก็ไหลออกมาทันทีองค์รัชทายาทถูกวางลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา และในเวลานี้เขาก็ยังคงสลบอยู่ฮองเฮาทรุดลงนั่งข้าง ๆ พลางร้องไห้ไปเช็ดน้ำตาไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่งแม้นางจะรู้แล้วว่าโอรสของนางถูกสตรีชั่วช้านางนี้ลักพาตัวไป แต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า อารมณ์ความเกลียดชังก็ยิ่งปะทุออกมาเมื่อรู้สึกว่าฮ่องเต้เฒ่ากำลังเข้ามาใกล้ ฮองเฮาจึงพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “ฝ่าบาท บัดนี้พยานและหลักฐานทั้งหมดครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นหรือไม่เพคะ?”ฮ่องเต้เฒ่ามองไปยังองค์รัชทายาทที่ตกอยู่ในสภาพไม่ได้สติ อ่อนแรงและพูดอะไรไม่ได้ มีเพียงหน้าอกที่ยกขึ้นลงตามจังหวะการหายใจกุ้ยเฟยตกตะลึงนางคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเรื่องจริงองค์รัชทายาทถูกคนพามายังห้องลับของนางโดยที่นางไม่ทันได้สังเกตเห็นเมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวทั้ง ๆ ที่มีปรมาจารย์มากมายคอยปกป้องนางอย่
ฮองเฮายินดีอย่างยิ่งและตะโกนอย่างรวดเร็ว "ลูกแม่ฟื้นแล้ว!"ทว่าทันทีที่องค์รัชทายาทลืมตา ฮองเฮาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติดวงตาขององค์รัชทายาทว่างเปล่า ไม่มีการจดจ่อกับสิ่งใด สีหน้าเหม่อลอยราวกับคนไร้สติแม้จะเห็นฮองเฮา แต่เขาก็หัวเราะใส่นางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย"ฮิฮิ...ฮิฮิฮิ..."เมื่อเห็นท่าทางขององค์รัชทายาท สีหน้าของฮองเฮาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ขาของนางอ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งกับพื้นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกกลับมาแล้วแต่กลับกลายเป็นคนเสียสติไม่มีทางที่จะได้ความจริงจากปากของเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่องค์รัชทายาทถูกนำตัวกลับมายังตำหนักบูรพา หลังจากทราบข่าวชายารัชทายาทก็รีบออกไปต้อนรับ แต่เมื่อนางเห็นองค์รัชทายาทมีท่าทางเหม่อลอยไร้สติ สีหน้าของนางก็แข็งค้างทันทีนางถามฮองเฮาที่มาด้วยว่า “ฮองเฮา องค์รัชทายาททรง...กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ?”สีหน้าของฮองเฮาโกรธเกรี้ยว "ฝีมือของนางสารเลวนั่นอย่างไรเล่า องค์รัชทายาทถูกนางจับตัวไปขังไว้ในห้องลับใต้ตำหนักของนาง ไม่แปลกใจที่เวลาผ่านไปนานเพียงนี้ แม้จะพลิกแผ่นดิน แต่ก็หาลูกข้าไม่พบ"ในใจของชายารัชทายาทมีลางสังหรณ์ที่อธิ
“ความคิดของชายารัชทายาทนั้นค่อนข้างไร้เดียงสาเกินไป ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดกุ้ยเฟยถึงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมาหลายปี?”"เพราะเหตุใดรึ?"ชายารัชทายาทมีสีหน้าสับสนแม้นางจะมาจากตระกูลใหญ่ แต่หลายปีมานี้นางก็ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น และสถานะของนางก็สร้างความสะดวกสบายให้กับนางนับไม่ถ้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้นางแทบไม่พบเจอกับความล้มเหลวเลย“เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับกุ้ยเฟยไม่ใช่เป็นแค่การได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เท่านั้น แต่มีการทำข้อตกลงกันด้วย”“ข้อตกลงอะไร?”ซูชิงอู่พูดต่อจากคำพูดของชายารัชทายาท "ตอนกลางวันข้าเองก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองว่าง ได้ทำการตรวจสอบในพระราชวังและได้รู้สิ่งที่น่าสนใจบางอย่าง..."คำพูดของนางทำให้ชายารัชทายาทตกตะลึงไปชั่วขณะซูชิงอู่พูดอย่างไม่รีบร้อน “สิบปีก่อนฮ่องเต้เฒ่าต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการป่วยร้ายแรง จนถึงจุดที่ไม่มียาหรือหมอคนไหนสามารถรักษาได้ ทว่าหลังจากการมาถึงของกุ้ยเฟย อาการของเขากลับดีขึ้น พระชายาเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่?”ชายารัชทายาทฉางเหลียนพยักหน้าเล็กน้อย "มีหลายคนที่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องลับอะไรในวัง"ซูซิงอู่พยักหน้า "ทักษ
เช่นเดียวกับสถานการณ์ที่มีคนกินเห็ดพิษโดยไม่ทันระวัง สารพิษที่นางใช้ก็เป็นชนิดเดียวกันทำให้เกิดอาการเพ้อในช่วงระยะเวลาสั้น ๆเมื่อชายารัชทายาทได้ยามาอยู่ในมือก็ผ่อนคลายลง“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ารีบออกไปโดยเร็วเถิด พวกเจ้าช่วยข้าจัดการกับกุ้ยเฟยแล้ว ข้าก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก”พูดจบ นางก็ยืนขึ้นและกำลังจะออกจากศาลาจู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็เกร็งตัวขึ้นและโยนจานรองชาออกไปทันใดนั้นก็มีเสียงร้องดังมาจากด้านหลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล"อ๊าก!"ซูชิงอู่หันควับไปมองก็เห็นขันทีผู้น้อยตกลงมาจากหลังต้นไม้จากระยะไกลสีหน้าของชายารัชทายาทแข็งค้างในทันทีนางมองไปยังทิศทางนั้น จากนั้นก็หันหน้ามามองซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงทันทีก่อนที่นางจะได้พูดอะไร ซูชิงอู่ก็เข้ามาข้างหลังนาง แล้วหยิบมีดออกมาจ่อที่คอของนาง "พระชายา หักหลังกันรึ"เมื่อซูชิงอู่พูดจบ ท้องฟ้าที่อยู่ไม่ไกลก็ดูเหมือนจะสว่างขึ้นในขณะนี้ทิวทัศน์ที่มืดมิดรอบตัวสว่างวาบราวกับกลางวันมีคบเพลิงกระจายออกมาจากเส้นทางโดยรอบ และองครักษ์ในชุดเกราะสีเงินก็ล้อมรอบทะเลสาบเล็ก ๆ โดยยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบคนสามคนที่ยืนอยู่ในศาลาถ
หลายคนตกใจจนเกินจะบรรยายอ๋องเสวียนแห่งแคว้นหนานเย่ไม่ใช่ว่านำกองกำลังไปสู้รบที่ชายแดนหรือ?แล้วมายังแคว้นอู๋ตะวันตกตั้งแต่เมื่อไร...ซ้ำยังตรงเข้ามาในพระราชวังอีกด้วยเขาพาผู้หญิงของตัวเองมาด้วยได้อย่างไร...หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปคงจะเป็นที่เหนือความคาดหมายอีกทั้ง ณ สถานที่แห่งนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขายหน้ายิ่งนัก!ฮ่องเต้เฒ่าแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกมีแววตาเศร้าหมอง หลังจากเห็นคนทั้งสองเดินเข้ามา เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า แต่กลับเอ่ยอย่างสุภาพ"หลีกทาง และจงไปพระที่นั่งชิงอวิ๋นเพื่อเตรียมอาหารเย็น!"“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”คนในวังรีบเคลื่อนไหวทันที โดยมีฮ่องเต้เฒ่าเดินนำ ตามมาด้วยปรมาจารย์หลายคนเห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างกลัวเย่เสวียนถิง“หากท่านทั้งสองต้องการเข้าไปในพระราชวัง ก็สามารถบอกอย่างเปิดเผยได้ ข้าจะปฏิบัติต่อพวกท่านในฐานะแขกผู้มีเกียรติอย่างแน่นอน แต่พวกท่านกลับลอบเข้ามาในพระราชวังแห่งคแว้นอู๋ตะวันตกของข้าเพื่อลอบพบกับชายารัชทายาทในยามวิกาล เช่นนี้มัน...ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ?”เมื่อยามได้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ ย่อมไม่มีโอกาสให้ซูชิงอู่ได้พูดอีกอย่างนางก็ไม่อยากจ
ฮ่องเต้เฒ่าแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขารีบหันไปมองบุรุษที่เดินมาด้วยกันเย่เสวียนถิงสวมชุดสีดำ พลางยืนหลังตรงและเอามือไพล่หลัง แม้จะอยู่คนเดียวในค่ายศัตรู แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดได้ราวกับว่ามีกองทหารม้านับพันอยู่ข้างหลังมุมปากของฮ่องเต้เฒ่ากระตุก "อ๋องเสวียน!"เย่เสวียนถิงมองไปที่ใบหน้าของฮ่องเต้แห่งแคว้นอู๋ตะวันตกที่เกือบจะบิดเบี้ยว ดวงตาของเขาสงบราวกับบ่อน้ำโบราณ“ข้าก็แค่ส่งคนล่วงหน้าไปบอกพวกเขาว่าจะมีเสบียงอาหารมากมายเท่านั้นเอง ใครจะไปคิดว่าคนจะมากันเยอะถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าราษฎรของพระองค์จะเข้าตาจนเสียแล้ว ถึงได้บังอาจปล้นเสบียงของกองทัพ”"เจ้า…"ฮ่องเต้แห่งแคว้นอู๋ตะวันตกคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสิ่งต่าง ๆ จะดำเนินมาถึงจุดที่ว่านี้ที่อยู่นอกการควบคุมราษฎรธรรมดาที่ไหนจะกล้าปล้นเสบียง เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอะไรแน่หากไม่ใช่เย่เสวียนถิงส่งคนไปแฝงตัวยุยงปลุกปั่นให้ราษฎรสร้างความวุ่นวาย เช่นนั้นพวกเขาก็คงจงใจล้างสมองชักจูงราษฎรให้ทำเช่นนั้น!ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ได้บอกเขาว่ากำลังเสริมคงจะไปไม่ถึง อีกทั้งไม่มีเสบียงเหลือแล้ว และเห
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้