นางยืนขึ้นและส่งฮ่องเต้เฒ่าออกไปด้วยตนเอง จากนั้นปิดประตูแล้วมองดูคนสองคนที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ในห้องซูเฟยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าดูเศร้าสร้อยเล็กน้อยนางช่วยซูชิงอู่นั่งบนเก้าอี้ทันที“ชิงอู่ เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต่อไปเวลาเข้าวังอยากได้ทำพิธีการไร้สาระพวกนี้อีก สุขภาพของเจ้าสำคัญที่สุด”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ขอบพระทัยซูเฟยที่ทรงเป็นห่วงเพคะ”ซูเฟยโบกมือให้เย่เสวียนถิง "เอาล่ะ เสวียนถิงเราเองก็มานั่งด้วยสิ"เย่เสวียนถิงพยักหน้าและนั่งลงที่ด้านข้างของซูชิงอู่ดูเหมือนว่าชั้นน้ำแข็งจะควบแน่นภายในม่านตาสีเข้มของเขา และมือของเขาก็กำแน่นไม่ยอมคลายซูเฟยเห็นว่าทั้งสองคนได้แต่เงียบและบรรยากาศก็มึนตึงเล็กน้อย นางเทน้ำใส่แก้วให้ซูชิงอู่ทันทีและพูดว่า "เดิมทีนี่เป็นข่าวดี แต่กลายเป็นเรื่องไม่น่าพอใจไปเสียได้ ฝ่าบาทนี่ก็จริง ๆ เลย ไม่รู้เหตุใดเขาถึงหยิบเรื่องแบบนี้ขึ้นมาพูด”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้น "เพราะเสด็จพ่อมั่นใจมากว่ากระหม่อมจะมอบจุดอ่อนให้เขาด้วยมือของกระหม่อมเอง""นี่…"ซูเฟยรู้สึกประหลาดใจ มองดูเย่เสวียนถิงแล้วพูดว่า "หากไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น ฝ่าบาทจะทรงสามารถนั่งในตำแหน่งนี้ได้อีกเ
จุดประสงค์ของเจียวกุ้ยเฟยที่นำผู้คนมาที่นี่ ล้วนชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วแม้ว่านางจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ดวงตาของนางก็เย็นชาความเป็นพันธมิตรระหว่างสองฝ่ายกำลังตกอยู่ในอันตรายซูชิงอู่ไม่แยแสต่อความกังวลของเจียวกุ้ยเฟย ท้ายที่สุด นี่คือพันธมิตรที่เจียวกุ้ยเฟยร้องขอหมอหลวงซุนวางผ้าเช็ดหน้าบนข้อมือของซูชิงอู่ จากนั้นจึงคลำดูอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หยุดและพูดว่า "ชายาเสวียนมีชีพจรครรภ์จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ อาจมีอายุครรภ์มากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว"แม้ว่านางจะทราบผลลัพธ์อยู่ก่อนแล้ว แต่ซูเฟยก็ยังคงมีความสุขในดวงตา เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยของหมอหลวงซุนนางยิ้มแล้วพูดว่า "นั่นหมายความว่าข้าจะมีหลานชายในเดือนตุลาคมปีนี้ใช่หรือไม่?""ขอแสดงความยินดีกับซูเฟย ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"หมอหลวงซุนลุกขึ้นและประสานมือซูชิงอู่ตอบกลับ "ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องลำบาก หมอหลวงซุน"นางกะพริบตาแล้วถามว่า "ทารกในครรภ์มีอะไรน่าห่วงหรือไม่?"หมอหลวงซุนพยักหน้า "อย่าได้กังวลไปพะยะค่ะ พระชายา ท่านร่างกายสุขภาพแข็งแรงดี และเด็กในครรภ์ของท่านก็สบายดีเช่นกัน"นางจงใจถามให้เย่เสวียนถ
นางวางสร้อยข้อมือไว้บนมือของซูชิงอู่ทว่าทันทีที่ข้อมือของซูชิงอู่สัมผัสกับสร้อยข้อมือ นางก็ขมวดคิ้วทันทีแต่มีคนนอกห้อมล้อมอยู่ ซูชิงอู่จึงหดแขนกลับอย่างใจเย็นแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “หม่อมฉันชอบมาก ขอบพระทัยสำหรับความรักและความเมตตาของเสด็จแม่เพคะ”เมื่อเห็นว่าสร้อยข้อมือตกไปอยู่ในมือของซูชิงอู่ กุ้ยเฟยก็รู้สึกโล่งใจนางยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่เป็นของดีนะ ว่ากันว่าหยกช่วยหล่อเลี้ยงผู้คน บุตรที่พระชายาเสวียนจะให้กำเนิดในภายภาคหน้าก็จะงดงามเช่นกัน”นางทิ้งท้ายไว้แล้วพาคนจากไปหลังจากเดินมาไม่ไกลนัก เจียวกุ้ยเฟยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมานางกำนัลอาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ ถามด้วยความสับสนว่า “กุ้ยเฟยมีเรื่องอะไรน่ายินดีหรือเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปาก “ไม่มีอะไร ข้าแค่เห็นบางอย่างที่น่าสนใจ”เห็นได้ชัดว่าซูเฟยและคนอื่น ๆ ไม่พอใจกับการมาถึงอย่างกะทันหันของเจียวกุ้ยเฟยทว่าในวังหลังแห่งนี้ หากก้มหน้าก็ไม่เจอ หากเงยหน้าเป็นต้องเจอ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากจะต้องพบหน้ากันซูชิงอู่สัมผัสสร้อยข้อมือบนมือของตน จากนั้นก็เงยหน้ามองซูเฟย“พระสนม ใครให้สร้อยข้อมือเส้นนี้แก่ท่านหรือเพคะ
พระสนมซูเฟยเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้นจู่ ๆ นางก็รู้สึกเสียใจ“เป็นความผิดของข้าเอง ไม่ควรเรียกชิงอู่เข้ามาในวังตอนนี้เลย”ซูชิงอู่ส่ายหัว “แม้ท่านจะไม่เรียกหม่อมฉัน แต่ฮ่องเต้ก็ต้องมีรับสั่งอยู่ดี ไม่ต่างกันหรอกเพคะ”ซูเฟยเดินไปที่ประตูแล้วพูดว่า “ไปทูลว่าชิงอู่ไม่สบายและกำลังพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะพานางไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยตัวเอง”นางกำนัลกำลังจะนำความไปกราบทูล แต่ซูชิงอู่ก็ห้ามไว้“พระสนมไม่ต้องเป็นห่วงชิงอู่หรอกเพคะ ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถปฏิเสธรับสั่งของไทเฮาได้”ซูเฟยกังวลเล็กน้อย “แต่…”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ “กระหม่อมจะไปกับอาอู่เองพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ตรวจสอบชิ้นส่วนของสร้อยข้อมือและตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างในก่อนที่จะสั่งให้คนเก็บกวาดออกไปทั้งหมดสิ่งของเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้ข้ามปีไทเฮาทรงประทับที่ตำหนักฉืออัน เนื่องจากทรงสักการะพระพุทธองค์ตลอดทั้งปี จึงมีวิหารเล็ก ๆ อยู่ในสวนหลังตำหนักทั่วทั้งตำหนักฉืออันค่อนข้างเงียบสงบ ผู้คนในตำหนักต่างก้มหน้าเวลาเดินและพยายามไม่ส่งเสียงดังตอนนี้นางกำนัลอาวุโสนำทางทั้งสองมาที่ประตูตำหนักฉืออัน ไทเฮากำลั
ซูชิงอู่ฟังไทเฮาตรัสอย่างเงียบ ๆนางหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ทั้งร่างกาย เส้นผม และผิวหนังของหม่อมฉัน ล้วนเป็นท่านพ่อท่านแม่ที่มอบรูปลักษณ์อันมีเสน่ห์ให้หม่อมฉันมา ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นบุญคุณแสนประเสริฐเพคะ”“เจ้ารู้สำนึกในบุญคุณเช่นนี้ ช่างเป็นลูกที่กตัญญูจริง ๆ ”ไทเฮาทรงขมวดคิ้วเบา ๆ ในห้องที่ไม่มีใครอยู่นี้ ดูเหมือนพระนางจะเหม่อลอยคิดอะไรบางอย่างพลางกล่าวว่า “แม่ของเจ้าเป็นสตรีที่งามที่สุดในเมืองหลวงจนชื่อเสียงขจรไกล แม้กระทั่งฝ่าบาทเองก็…”ซูชิงอู่ตกตะลึงและไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ ไทเฮาถึงตรัสเช่นนี้นางเงยหน้ามองเข้าไปในพระเนตรที่ยิ้มแย้มของอีกฝ่าย รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจไทเฮาผู้สูงส่งสักเท่าไร“ตอนนี้เจ้ากลายเป็นแม่คนและตั้งท้องสายเลือดของข้าแล้ว ข้าในฐานะผู้อาวุโสก็ต้องแสดงความยินดีเสียหน่อย ยื่นมือมาสิ”ซูชิงอู่กำลังจะยกข้อมือขึ้น แต่ก็ถูกเย่เสวียนถิงรั้งไว้นางส่ายหัวให้เขาเล็กน้อยถึงอย่างไรไทเฮาก็เป็นผู้อาวุโส ดังนั้นนางจำต้องรับของขวัญเอาไว้เย่เสวียนถิงเม้มปากพลางทำสีหน้าน่ากลัว แต่ในที่สุดก็ยอมปล่อยมือนางดูเหมือนว่าไทเฮาจะไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่
เพื่อระงับความโกรธของตน ซูชิงอู่ยังคงถามอย่างกล้าหาญ “ไทเฮาทรงทราบไหมเพคะว่าใครคือคนที่ฆ่ามารดาของหม่อมฉัน?”ไทเฮาทรงหรี่ตาลง แสงแห่งความคิดก็แวบขึ้นมาในดวงตาที่ชราและพร่ามัวของนาง“ข้านึกว่าเจ้ารู้เรื่องนี้นานแล้ว ข้าเหมือนจะจำได้ว่าเป็นฝีมือของสำนักที่ชื่อหลัวซา…”ซูชิงอู่เบิกตากว้างเป็นคำสองคำที่นางคุ้นเคยมากเพราะเมื่อไม่นานมานี้ นางเพิ่งได้เจอกับคนที่ว่าที่วัดเหลียงซานทันใดนั้นนางก็หันไปหาเย่เสวียนถิงภายนอกเย่เสวียนถิงดูนิ่งสงบ สีหน้าของเขาไม่ไหวติงดูเหมือนว่าเขาจะรู้อยู่แล้วซูชิงอู่หันกลับมา “แต่สำนักหลัวซาเป็นเพียงคนลงมือนี่เพคะ ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง…”ไทเฮาส่ายหัว “ข้ารู้เพียงเท่านี้ พูดถึงสำนักหลัวซา ก็รู้สึกน่ารังเกียจจริง ๆ เมื่อสองวันก่อน พวกเขาสังหารท่านเจ้าอาวาสและราชครูในวัดเหลียงซาน ข้าได้ออกคำสั่งให้ค้นหาทั่วทั้งเมืองเพื่อจับกุมคนชั่วเหล่านั้นแล้ว”เย่เสวียนถิงก้มมองซูชิงอู่ด้วยสายตาที่รู้สึกผิดเล็กน้อยเขาได้ตรวจสอบเบาะแสทั้งหมดแล้ว และเมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับสำนักหลัวซา เขาจะลงมือด้วยตัวเองครั้งล่าสุดที่เขาได้รับบาดเ
ไทเฮาพยักหน้า “พวกเขาทุกคนล้วนทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า จะเทียบกับเจ้าที่สุขุมเป็นผู้ใหญ่กว่า ทั้งยังพูดแต่สิ่งที่ข้าอยากฟังได้อย่างไร?”ซูชิงอู่ยิ้มเยาะอยู่ในใจนางไม่ใช่องค์หญิงหรือองค์ชาย หากนางกล้าอวดดีต่อหน้าไทเฮา คงถูกนางกำนัลอาวุโสรีบพาตัวไปอบรมมารยาทแล้วจู่ ๆ ไทเฮาก็ลูบหน้าผาก ตอนนี้พระนางคงจะเหนื่อยแล้วพระนางโบกมือพลางพูดว่า “รับน้ำใจจากข้าไปเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคงต้องพักผ่อนเสียหน่อย”“ในเมื่อไทเฮาทรงเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นชิงอู่ขอไม่รบกวนการพักผ่อนเพคะ”มือของไทเฮาที่ถือลูกประคำขยับเล็กน้อย นางพยักหน้า “อืม ข้าไม่ส่งเจ้านะ”เย่เสวียนถิงกับซูชิงอู่ออกมาจากตำหนักฉืออันซูชิงอู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและใช้แสงจันทร์เพื่อดูท่าทางของเย่เสวียนถิงให้ชัดเจน ทันใดนั้นใต้ตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง นางยืนเขย่งเท้าและประทับจูบที่ริมฝีปากของเขา“ท่านอ๋อง ขอบคุณนะเจ้าคะ”“ขอบคุณเรื่องอะไร?”เย่เสวียนถิงใช้แขนโอบรอบเอวของซูชิงอู่และจูบนางเบา ๆ ที่หน้าผากด้วยท่าทางอ่อนโยนและสนิทสนมซูชิงอู่พิงเขา ความอบอุ่นในร่างกายของเขาทำให้นางรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ“ขอบคุณที่ปกป้องและดูแลข้ามาห
เพราะเมื่อไม่นานมานี้นางถูกซูชิงอู่จัดการ คราวนี้องค์หญิงสี่สงบเสงี่ยมเป็นอย่างมากพลางสั่งให้กลุ่มของนางแหวกทางให้เมื่อเห็นนางทำตัวสุภาพ ซูชิงอู่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางเหลือบมองนางสายตาคู่นั้นมีความหมายลึกซึ้งองค์หญิงสี่รู้สึกเหมือนกำลังตกเป็นเป้าของงูพิษร่างกายของนางชาวาบ มือและเท้าของนางแข็งทื่อเล็กน้อย จนกระทั่งซูชิงอู่เดินจากไปไกลแล้ว นางจึงค่อย ๆ รู้สึกอุ่นขึ้นเย่หมิงเยว่กัดฟันพูด “เพิ่งจะตั้งท้องไม่ใช่รึ ภูมิใจอะไรนักหนา? ระวังตัวไว้เถอะ เด็กจะไม่ได้ลืมตาดูโลก ถึงเด็กจะได้เกิดมาก็คงไม่สามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัยหรอก!”นางพึมพำกับตัวเอง คำพูดของนางเต็มไปด้วยคำสาปแช่งและความอาฆาตพยาบาทนางก้าวเข้าไปในห้องเห็นไทเฮาเอนกายบนตั่งนุ่ม ๆ โดยกำลังหลับตาตั้งสมาธิ“ไทเฮาเพคะ หมิงเยว่มีเรื่องจะทูล…”ไทเฮาทรงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น แลดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยแต่พระนางก็ยังคงรวบรวมกำลังตรัสขึ้น “ว่ามา มีเรื่องอะไร?”“ท่านราชครูกลับมาแล้วเพคะ แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่ได้ตรงกลับมาที่วัง ทว่าให้คนส่งข่าวมาที่วังแทน หมิงเยว่บังเอิญไปพบกับคนผู้นั้นมา หม่อมฉันจึงเข้ามากราบทูลไทเฮาด้