เซียวเฟิงโอบประคองเมริสาพาเดินไปเรื่อย ๆ โดยที่ริมฝีปากของทั้งสองไม่แยกจากกันเลย ระหว่างทางก็ชนสิ่งของสะเปะสะปะ เขาหยุดตรึงร่างบางกับผนังจูบอย่างเร่าร้อน แล้วพาเดินต่อจนกระทั่งถึงห้องนอน
ภายในห้องนอนของเมริสา สายตาคมกล้ากำลังชื่นชมเรือนร่างแสนงดงามของหญิงสาวอย่างไม่วางตา คนถูกมองรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว เกิดเป็นความซ่านสยิวในท้องน้อยที่ทำให้ขนอ่อนลุกชันไปทั้งตัว ปลายถันหดเกร็ง
“ฉันต้องทำยังไงต่อ” ความประหม่าทำให้เธอเปิดปากถามเสียงเบาด้วยความเก้อเขิน
“ทำยังไงต่อ?” รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา จากนั้นเขาก็ดึงกางเกงลง คราวนี้ถอดมันออกทั้งหมด แก่นกายชี้โด่ท้าทายสายตาจนเมริสาลอบกลืนน้ำลาย เขากำมือรอบท่อนลำใหญ่ ชักรูดเบา ๆ คล้ายปลอบให้มันสงบนิ่ง
ความรู้สึกปั่นปวนมวนท้องของเมริสารทวีความรุนแรงขึ้น
“นั่งลงสิครับ”
เมริสาค่อย ๆ นั่งลงที่ขอบเตียง แล้วชายหนุ่มก็มาคุกเข่าตรงหน้า
บางทีถ้าเขาวิ่งให้เร็วพอบนลู่วิ่งนี้ เขาอาจจะวิ่งหนีความรู้สึกผิดในใจไปได้ บางทีเขาอาจจะหลอกตัวเองได้ว่าช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมามันลบลืมไปได้ มันไม่ใช่ความผิดพลาด และเขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขกว่าครั้งไหน ๆ ในชีวิตเซียวเฟิงรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์จะมีความสุข เขากำลังฉวยโอกาสจากเมริสา และสุดท้ายเธอจะคิดเรื่องนี้ได้เองเท้าของเขากระทบกับลู่วิ่งเป็นจังหวะ เหงื่อไหลซึมลงตามต้นคอและแผงอก เขากำลังลงโทษตัวเอง และเขาก็ตระหนักรู้เรื่องนี้ดี แต่ไม่มีทางที่จะหยุดเป็นอันขาด เพราะเขาสมควรได้รับมัน ในเมื่อสิ่งที่เขามอบให้เธอนั้นยังน้อยกว่าที่เธอสมควรได้รับเมริสาไม่เคยรู้ว่าอนาคตของตัวเองได้ถูกวางแผนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอกำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความฝัน เมื่อความจริงปรากฏ เขาไม่รู้ว่าเธอจะรับมันได้มากแค่ไหน เธอจะเสียใจและแตกสลายมากแค่ไหน เขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะกล้าพอที่จะยืนหยัดเคียงข้างเธอเมื่อถึงวันนั้นได้รึเปล่าเขาบอกตัวเองอยู่ทุกวันว่าให้จบเรื่องทุ
เมริสาไม่คิดว่ามือไม้จะสั่นได้ขนาดนี้ ตอนแรกเธอไม่คิดกังวลว่าพ่อจะรู้เรื่องของเธอกับเซียวเฟิง แต่พอเอาเข้าจริงเธอกลับกลัวมากจนคิดอะไรไม่ออก“รับสายสิครับ นายท่านจะเป็นห่วงถ้าคุณหนูไม่รับสาย”เสียงทุ้มที่เอ่ยเตือนเรียกสติของเมริสาให้กลับมา เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจ แล้วค่อยกดรับ“ฮัลโหล” เธอฉีกยิ้มและกรอกเสียงใสแม้ใบหน้าจะยังคงเป็นกังวล ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าให้ ยืนยันว่าเธอทำได้ดี“เป็นยังไงบ้างเหมย เอ๊ะ! มีเรื่องอะไรดี ๆ รึเปล่า เสียงหนูฟังดูมีความสุข”“ทำไมถามแบบนั้นล่ะคะ หนูจะไม่มีความสุขได้ยังไง แล้วพ่อล่ะคะเป็นยังไงบ้าง”“ก็เหมือนเดิม” เสียงที่ตอบเจือแววผิดหวังจนเมริสาสงสัย“พ่อดูแลตัวเองบ้างรึเปล่าคะ ยังโหมงานหนักเหมือนเดิมแน่ ๆ คงจะไม่ได้ไปงานเลี้ยงกลับค่ำ ๆ มืด ๆ อีกหรอกนะคะ”เสียงปลายสายหัวเราะชอบใจ “ก็ไม่ได้
เซียวเฟิงนอนลืมตาท่ามกลางความมืดโดยมีเมริสาอยู่ในอ้อมแขน แต่สำหรับคืนนี้ในหัวเขาไม่ได้เกิดความคิดวอกแวกใด ๆ ขึ้นเลยเพราะกินมื้อค่ำฝีมือเธอจนอิ่มแปล้แทบขยับตัวไม่ได้ เธอเองก็เช่นกัน หลังจากดูหนังเสร็จก็เข้านอนพร้อมกันความรู้สึกอึดอัดทำให้เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนชุดแล้วลงไปที่ยิมด้านล่าง เขาไม่ได้ตั้งใจจะออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างทุกครั้ง คิดว่าแค่จะเดินเบา ๆ บนลู่วิ่งให้อาหารย่อยระหว่างที่กำลังออกกำลังกายอยู่นั้น จู่ ๆ ก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัว เขาควรจะทำอย่างไรกับเธอ เขาควรจะทำอย่างไรกับตัวเอง แล้วเขาจะจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อเธออย่างไรเพื่อไม่ให้กระทบกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งมันหมายถึงสิ่งเลี้ยงชีพของเขาทุกอย่างมันง่ายกว่านี้มากตอนที่เขายังไม่รู้จักเธอจริง ๆ เพราะมันง่ายที่จะต้องการเธอแต่ก็โกรธเกลียดเธอไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่แล้วการที่เขาแสดงออกว่าเกลียดเธอเป็นเพราะเขาต้องการเธอเหลือเกิน แต่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางได้ครอบครองเธอส่วนในตอนนี้
เมริสาตื่นขึ้นมาคนเดียวเป็นคืนที่สี่ติดต่อกัน เธอไม่สามารถทำเป็นไม่รู้สึกอะไรได้อีกต่อไป มีคนหลายหคนที่สามารถนอนหลับลึกทุกคืน พวกเขาขึ้นเตียง หลับตา แล้วก็หลับไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาอีกจนกว่าเสียงนาฬิกาปลุกจะดัง หรือแปลกไปกว่านั้น พวกเขาตื่นเองโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งใดเลยแต่เธอไม่ใช่คนจำพวกนั้น เป็นเหตุว่าทำไมเธอจึงรู้สึกตัวตื่นเมื่อชายหนุ่มที่โอบกอดเธอทั้งคืนลุกออกไปจากเตียง เธออดทนรอจนกระทั่งคืนนี้ แต่เธอเผลอหลับไปเสียก่อน พอตื่นมาอีกทีคนตัวโตก็กลับมานอนตามเดิมแล้วเธอนั่งตัวตรงและหยิบโทรศัพท์มาดู ตอนนี้เป็นเวลาตีสามสี่สิบห้า และเธอก็ไม่รู้เลยว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนตั้งแต่เขาออกไป เธอไม่รู้ว่าเขามีปัญหานอนไม่หลับหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยพูดถึง หรือว่าอันที่จริงเขาอาจมีปัญหาอะไรบางอย่างที่ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอมีค่ำคืนอันแสนวิเศษร่วมกัน กินข้าว ดูหนัง แล้วก็เข้านอน แม้ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่ารู้สึกดีมากทว่าในตอนเช้า ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเปลี่ย
เมริสาเป็นคนหัวไว ไม่ใช่เฉพาะกับเรื่องอย่างว่าที่เธอเรียนรู้ได้เร็วมาก แต่มันคนละเรื่องกับการเรียนการต่อสู้ที่ทั้งทรมานและบางครั้งยังต้องเจ็บตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเขาเองตอนที่เริ่มเรียนก็เช่นกัน แต่เขาจะไม่มีวันยอมรับต่อหน้าเธอหรอกเซียวเฟิงต้องการให้หญิงสาวทุ่มเทเต็มที่กับทุกสิ่งที่เขาสอน แต่การได้ยินเสียงโอดครวญตอนเธอล้มลง หรือทำหน้าเบ้เมื่อเธอเห็นรอยฟกช้ำตามร่างกาย เขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยแต่ถ้าหากมีคนคิดจะทำร้ายเธอ แน่นอนว่ามันย่อมไม่ปราณีเธอแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปให้เธอจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น“บอกผมซิว่าคราวนี้เหมยได้เรียนรู้อะไรบ้าง”“ห้ามมีเรื่องกับพี่เซียวเฟิงเด็ดขาด”เมริสาค่อย ๆ ลุกขึ้น พลางหมุนไหล่ไปมา พวกเขาฝึกกันมาเกือบชั่วโมงแล้ว เห็นว่าเธอเริ่มอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัด“อย่าทำเป็นเล่นสิครับ เหมยจะต้องตั้งใจกว่านี้”“
“คิดว่าตัวเองเป็นใครกันหา เหมย!” เสียงทุ้มตวาดกร้าวทันที่ที่ประตูปิดลงโดยไม่คิดที่จะตั้งระบบสัญญาณเตือนใหม่เหมือนทุกครั้งที่ทำเมื่อกลับมาถึงเพนต์เฮาส์ “มาสั่งผมว่าต้องทำหรือไม่ทำอะไร ผมไม่ใช่ใครก็ตามที่จะมาชี้นิ้วสั่งกันได้ง่าย ๆ”เซียวเฟิงระเบิดอารมณ์ใส่หญิงสาวหลังจากที่เงียบมานานตั้งแต่ระหว่างทางกลับจากร้านอาหาร“แล้วพี่เซียวเฟิงคิดว่าตัวเองเป็นใคร” เมริสาย้อน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง หัวใจเต้นแรงด้วยความโมโหสุดจะกลั้น “คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหม ทำตัวป่าเถื่อนชอบหาเรื่องชกต่อยกับคนอื่น พี่ต้องปกป้องเหมย ไม่ใช่สร้างเรื่องให้เป็นจุดสนใจมากกว่าเดิม”“อ้อ เหมยห่วงว่ากลัวตัวเองจะเสียภาพพจน์สินะ”“พี่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าเหมยเป็นห่วงอะไร พี่เคยคิดมั้ยว่าเหมยจะรู้สึกยังไงที่พี่มีเรื่องกับคนอื่นเพราะเหมย เคยคิดมั้ยว่าเหมยจะรู้สึกแย่แค่ไหนที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ”“งั้นจะให้ผมทนดูเฉย ๆ งั้นเหรอ” เขาโน้มตัวเข้าใกล้จนร่างกา
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนบ่ายเมริสากับเพื่อนสนิทของเธอซึ่งก็คือผิงซินและซูซี่ชวนกันไปชอปปิ้ง หลังจากนั้นก็ไปกินข้าวกันโดยมีตี้หยางมาร่วมด้วยตอนที่ลองเสื้อผ้ากันอยู่นั้นผิงซินกับซูซี่เห็นรอยฟกช้ำที่ตัวของเมริสา เกิดเข้าใจว่าเธอถูกเซียวเฟิงทำร้าย แม้ว่าเมริสาจะบอกไปแล้วว่าเธอกำลังเรียนการต่อสู้ แต่เพื่อนของเธอไม่เชื่อ คิดว่าเธอถูกชายหนุ่มขู่บังคับไม่ให้พูดความจริง เธอเองก็น้ำท่วมปาก จะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบอดี้การ์ดหนุ่มที่เปลี่ยนไปก็ไม่ได้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงตอนที่เธอไปเข้าห้องน้ำ แล้วออกมาพบว่าเซียวเฟิงกับตี้หยางกำลังมีเรื่องกันอยู่เพราะซูซี่ดันปากพล่อยเล่าให้เขาฟังว่าเธอถูกเซียวเฟิงทำร้าย ชายหนุ่มไม่ยอมจึงเข้าไปหาเรื่องชายหนุ่มสองคนกำลังยืนประจันหน้ากัน“ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็หุบปากไปซะไอ้หนู” เซียวเฟิงเตือนเสียงต่ำท่าทีคุกคามเต็มที่ตี้หยางมีสีหน้าเรียบนิ่งแต่ดวงตาวาบวับหาเรื่อง
วันนี้เป็นวันที่เมริสาเดินทางกลับบ้าน เธอนั่งอยู่เบาะหลัง กำลังแชทคุยกับผิงซินและเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ และเมื่อมาถึงตี้หยาง เขาส่งข้อความถามว่าเธอถึงบ้านหรือยัง เธอจึงถามกลับ เขาบอกว่าถึงแล้วและกำลังจะไปพบใครบางคน แน่นอนว่าเป็นผู้หญิง เมริสาอดกลั้นขำไม่ได้ที่เขาจงใจบอกให้รู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงเพียงคนเดียวในโลก แต่เธอไม่ใส่ใจหรอก“ข้างหลังโอเคมั้ยนั่น” เซียวเฟิงถามขณะมองเมริสาผ่านกระจก ถึงแม้เธอจะมองไม่เห็นใบหน้าเขาทั้งหมด แต่ก็รู้ได้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่จากแววตาอ่อนแสงที่สะท้อนอยู่แม้เธอจะชอบแววตาและรอยยิ้มแบบนี้ของเขาแค่ไหน แต่หากเขามองเธอแบบนี้ต่อไปอาจจะเกิดปัญหาได้“พี่เซียวเฟิงห้ามยิ้มแบบนี้ให้เหมยเวลาอยู่ที่บ้านเด็ดขาดเลยนะ พี่จะต้องกลับไปทำหน้าถมึงทึงเป็นยักษ์แบบเมื่อก่อน” เธอบอกทั้งยังแกล้งเลียนแบบสีหน้าเขาเซียวเฟิงกลอกตาก่อนที่จะขยับแว่นที่คาดหัวไว้ลงมาปิดตา “ผมว่าแบบนี้ดีกว่าไหม”“ไม่ดี ยังไม่พอ” เมริสาแกล้งบอก
อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากภายในระยะเวลาอันสั้น เมริสาแทบไม่อยากเชื่อเมื่อเธอมองย้อนกลับไปยังช่วงเทอมที่ผ่านมา เธอเคยรู้สึกประหม่าเหลือเกิน เมื่อคิดว่าทุกคนกำลังจ้องมองเธออยู่ และคุยเรื่องของเธอกับเซียวเฟิงอย่างสนุกปาก เธอเคยกังวลกับเรื่องนั้นมากส่วนในตอนนี้ ไม่มีอะไรให้สงสัยอีกแล้ว ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องรู้เรื่องของเธอเมื่อเปิดเรียนอีกครั้ง เมริสากับบอดี้การ์ดพ่วงด้วยสถานะคนรักของเธอได้ย้ายกลับไปอยู่ที่คอนโด แน่นอนว่าประตูถูกซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว และพ่อของเธอก็ยังจัดการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เธอไม่ต้องเห็นหรือสัมผัสสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับตี้หยางและค่ำคืนอันเลวร้ายนั้นอีก และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวอร์ชั่นปรับปรุงแล้วก็แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่งเวลาที่เมริสาเดินเคียงข้างเซียวเฟิงในมหาวิทยาลัย เธอรู้ดีว่าทุกคนต่างคิดถึงเรื่องเดียวกัน เซียวเฟิงช่วยชีวิตเธอไว้ ตี้หยางเกือบจะฆ่าเธอ หรืออาจฆ่าทั้งคู่ พวกเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าทำ
เซียวเฟิงกำลังรออยู่ในห้องพักส่วนตัวอย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าจะเชื่อใจในเมริสาแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่จัดกระเป๋าเตรียมไว้ เธออาจจะมองว่าเขากลายเป็นคนขี้ขลาด แต่เขาไม่ได้ปัญญาอ่อนที่จะอยู่รอความตาย ถ้าหากจะหนี เขาจะต้องเตรียมความพร้อมบางทีเขาควรจะบอกเมริสาก่อนที่พวกเขาจะนั่งลงคุยกับพ่อของเธอว่า เขาได้รับคำสัญญาว่าเขาจะขออะไรก็ได้ตามใจ และทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ความคิดของเขาก็พุ่งตรงไปที่เธอทันทีเธอคือสิ่งเดียวที่เขาต้องการ สิ่งเดียวที่ดีและจริงแท้ที่สุดในชีวิตที่เขาเคยรู้จักเขาไม่มีโอกาสได้บอกเธอเรื่องทั้งหมดนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน ทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตึก และเพื่อนบ้านที่ตกใจสุดขีดเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขายังไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าเขารักเธอ ก่อนที่พวกเขาจะถูกแยกตัวไปสอบปากคำ เขามีเวลาเพียงพอแค่นัดแนะเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อ
หลิวเจี้ยนหัวเราะเสียงดัง “นายล้อเล่นใช่ไหม”“ไม่ครับ ผมต้องการคุณหนู” เซียวเฟิงตอบเสียงจริงจัง หันไปมองเมริสาแล้วดึงมือเธอมากุมเพื่อยืนยัน “ผมรักเธอ คุณหนูเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ที่ผมไปช่วยคุณหนูไม่ใช่เพราะคำสั่งนายท่าน แต่ผมไปเพราะผมอยากช่วยให้คุณหนูปลอดภัย ผมต้องการคุณหนู”เมริสาเบิกตาโตมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่ เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าเขาบอกว่ารักเธอ ต่อหน้าพ่อเธอ ทั้งที่เขาไม่เคยบอกกับเธอมาก่อนใช่แล้ว เธอเองก็รักเขา เธออาจจะปฏิเสธว่าไม่ได้รักเขา แต่เธอรู้ตัวดี ต่อให้ปฏิเสธอย่างไรก็ตาม หัวใจเธอก็เป็นของเขาอยู่ดี แต่พ่อเธออาจเอาชีวิตเขาได้หลิวเจี้ยนขรึมลงในฉับพลัน กำลังข่มอารมณ์อยากฆ่าคนอย่างถึงขีดสุด “ฉันจะทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”“นายท่านครับ...”“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น ในเมื่อนายเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ว่าอยากได้ลูกสาวของฉัน” หลิวเจี้ยนลุกข
เพราะได้ยินเสียงร้องเตือนของเมริสา เซียวเฟิงจึงหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว กดหลังชิดกับผนังข้างประตูที่กำลังถูกเปิดออก เสียงกระสุนดังลั่นกระทบผนังฝั่งตรงข้ามในจุดที่เขาเคยยืนอยู่ มันคงเจาะทะลุร่างเขาไปแล้วถ้าเขาไม่หลบทันเขาหมุนตัวกลับมา ขึ้นไกปืนและเล็งเข้าไปในห้อง สายตาเฉียบคมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวภายในทันทีแต่คราวนี้ไอ้บ้าตี้หยางไม่ได้เล็งปืนมาที่เขา มันกลับเอาปืนจ่อหัวเมริสาและยังล็อกตัวเธอไว้ด้านหน้า“ฉันน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าแกก็ได้แต่หลบอยู่หลังผู้หญิง ฉันบอกแกแล้วว่านี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับนาย เหมยไม่เกี่ยว ปล่อยเธอไปซะ แล้วเราค่อยมาตกลงกันอย่างลูกผู้ชาย”“ไม่เกี่ยวยังไง” มือหยาบกร้านลูบไล้ที่อกอวบ มันน่าขยะแขยงมากจนเมริสาขนลุก ก่อนที่มันจะบีบขยำเต็มแรง “เป็นไง ความรู้สึกที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ฉันจะเอานั่งนี่ต่อหน้าแก ฮ่า ๆ ๆ”“ไม่มีวัน เพราะฉันจะฆ่าแกก่อน”“ถ้าฉันลั่นไกจะเป็นยังไงน
“เธอไม่เอะใจเลยเหรอว่าทำไมฉันถึงไปหาเธอได้เร็วขนาดนั้น ฮ่า ๆ ๆ เธอคงคิดไม่ถึงละสิ ว่าฉันน่ะรออยู่ในโรงแรมใกล ๆ บ้านเธอตั้งนานแล้ว เพราะรู้ว่ายังไงเธอจะต้องโทรมาน่ะสิ เธอน่ะเอาแต่คิดถึงแต่ตัวเอง ต้องโทษว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเธอโง่เอง”เมริสารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาโชว์ความฉลาด สิ่งที่เธอต้องทำคือทำให้ตี้หยางสงบที่สุด ระหว่างทางเขาค่อย ๆ จมดิ่งไปกับความแค้นในอดีต คอยพร่ำพรรณนาบอกว่าเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างไรบ้างหลังจากที่เซียวเฟิงสังหารพ่อของเขาตอนนี้เมริสานั่งอยู่ที่โซฟา วางมือไว้บนหน้าขาเพื่อให้ตี้หยางเห็นได้ถนัดว่าเธอไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ ส่วนเขาเดินไปรอบห้อง บางครั้งก็มองที่ประตูระเบียงแต่ไม่ได้เดินไปที่นั่น เขากำลังรอว่าเมื่อไหร่เซียวเฟิงจะมาเมริสามั่นใจว่าชายหนุ่มต้องมา เขาจะต้องได้รับแจ้งเตือนตอนประตูคอนโดเปิดทางโทรศัพท์ เธอได้แต่ภาวนาในใจให้เขาระวังตัว เธอไม่สนแล้วว่าเขาจะเคยโกหกหลอกลวงเธอ ไม่ว่าเขาจะทำงานอะไรให้พ่อ เธอปรารถนาเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องหนีไปจากที่นี่ใ
“นายแน่ใจว่าเป็นมัน?”“ครับ ผมเช็กเฟซบุ๊กคุณหนูแล้วก็เช็กอีเมล คุณหนูติดต่อกับมันไม่ผิดแน่ คุณหนูนัดกับมันให้ไปรอรับที่ประตูหลัง”“แล้วนายแน่ใจใช่ไหมว่ามันคือคนที่นายคิด”“ผมแฮ็กเข้าบัญชีมัน มีรูปมันกับเฉินเหว่ยที่ถ่ายไว้เมื่อหลายปีก่อนครับนายท่าน ผมเดาว่ามันน่าจะกลับมาใช้สกุลของแม่หรืออาจจะเป็นคนที่อุปการะเลี้ยง”“คิดจะแก้แค้นให้พ่อมัน หึ ฉันจะฆ่ามันไอ้สารเลว เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก”ในที่สุดเซียวเฟิงก็กระจ่างชัด ตลอดเวลาที่ไอ้ตี้หยางมันเข้าหา ไม่ใช่เพราะสนใจในตัวเมริสา แต่เป็นเพราะเขากับหลิวเจี้ยน ด้วยเหตุผลที่เธอไม่มีทางคาดเดาได้เพราะเธอไม่เคยรู้ว่าเขาทำอะไรไปบ้าง ว่าเขาสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น เพียงเพราะพ่อของเธอสั่งให้ทำ เพราะคนคนนั้นกำลังจะให้การเป็นพยานปากสำคัญและต้องถูกปิดปากอย่างถาวรเขาพยายามคิดว่าคืนนั้นได้พลาดอะไรไป ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ เพร
ตั้งแต่ขึ้นรถมาได้เมริสาก็หันกลับไปมองข้างหลังตลอด ตี้หยางขับรถเร็วมากจนภาพคฤหาสน์หลังใหญ่หายไปจากครรลองสายตาอย่างรวดเร็ว“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเห็นฉัน” ตี้หยางพ่นลมหายใจออก “ตอนนี้เธอบอกฉันได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงให้ฉันรีบออกมารับแบบนี้ ใครทำอะไรเธอรึเปล่า ไอ้บอดี้การ์ดนั่นทำร้ายเธอใช่ไหม ฉันจะกลับไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้”“ไม่ต้อง! เอ่อ…มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด คือพ่อกับเซียวเฟิงโกหกฉันมาตลอด”“โกหก? เรื่องอะไร?” ตี้หยางชำเลืองมองเมริสาก่อนจะหันกลับไปมองถนนต่อ “เธอเปิดอ่านอีเมลแล้วเหรอ”“อืม ก็นายบอกให้ฉันเช็กอีเมลไม่ใช่เหรอ”“ก็ใช่ แต่ฉันไม่ได้ให้เธอรีบเปิดอ่านเลยเสียหน่อย ฉันไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้”“จะให้ทำยังไงได้ล่ะ”“เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่าพ่อเธอทำอะไร” เสียงของชายหนุ่มสะท้อนความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัดจนเมริสานึกแปลกใจ
เขาถูกเธอเกลียดเข้าแล้วจริง ๆ ก่อนหน้านี้เธอเคยพูดใส่หน้าเขาบ่อย ๆ ว่าเธอเกลียดเขา แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน เธอสามารถทำลายเขาได้เพียงแค่บอกพ่อเธอ แต่เธอไม่ทำ แบบไหนมันเจ็บกว่ากันนะ แน่นอนว่าคำว่าเกลียดมันบาดลึกในใจเขาเหลือเกินปัง!หลิวเจี้ยนตบโต๊ะเสียงดัง“บอกฉันมาซิว่านี่มันเกิดเรื่องห่าอะไรขึ้น นายปล่อยให้ยัยเหมยไปกับผู้ชายได้ยังไง นี่ฉันจะจ้างนายไปทำไม ฉันสั่งไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่ายัยเหมยต้องบริสุทธิ์!”“คุณหนูโกหกครับ”สายตาเซียวเฟิงจ้องอยู่ที่ประตู หากไม่ติดที่หลิวเจี้ยนกำลังระเบิดโทสะอยู่เขาจะต้องรีบตามเมริสาไป เธอสามารถบอกได้ว่าเสียความบริสุทธิ์ให้เขา แต่เธอไม่ การให้ความหวังเขาแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย แต่ถ้าหลิวเจี้ยนกดดันเธอหนักเข้า เธออาจจะพูดออกไป“โกหก?”“ครับ เพราะผมไม่เคยปล่อยให้คุณหนูคลาดสายตา และทุกครั้งที่ประตูคอนโดปิดหรือเปิดผมจะไ
“นี่มันเรื่องอะไรกันเหมย” หลิวเจี้ยนลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหาเมริสา“อย่าเข้ามาค่ะ” เมริสาก้าวถอยหลังด้วยความรู้สึกรังเกียจและรับไม่ได้กับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ เธอสังเกตเห็นเซียวเฟิงที่ในมือถือแก้วบรรจุน้ำสีอำพันอยู่ ทำให้นึกสงสัยว่าพวกเขากำลังสังสรรค์อะไรกันอยู่ เธอหันหน้าไปทางชายหนุ่ม “นายรู้เรื่องนี้และมีส่วนร่วมด้วยใช่มั้ย”ใบหน้าหล่อของเซียวเฟิงถอดสี “เรื่องอะไรครับ ผมไม่...”“ไม่ต้องพูด ฉันไม่อยากฟังคำโกหกอีก” เธอหันกลับไปทางหลิวเจี้ยน “พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง โกหกเหมยมาตลอดตั้งแต่ต้น”“เมื่อกี้นายบอกว่ายัยเหมยจะเสียความรู้สึกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนเลิกคิ้วมองเซียวเฟิง“อ้อ นี่กำลังพูดถึงเหมยกันอยู่ใช่มั้ย กำลังวางแผนกันว่าจะจัดการกับเหมยอย่างไรถ้ารู้ความจริงว่าเงินของพ่อทั้งหมดนี้ได้มาจากอะไร” เมริสาทั้งผิดหวัง เสียใจและโมโหจนตัวสั่นบทความชิ้นที่สามที่ตี้หยางส่งมามีรายละเอียดทุกอย่างเ