สนมเหลียงถูกพบตัวที่ตำหนักโย่วหมิงที่ตั้งอยู่ทางเหนือของพระราชวัง ซึ่งปัจจุบันถูกทิ้งร้างไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเดินทางไปที่นั่นได้อย่างไรขณะที่พบตัว ร่างกายของสนมเหลียงสั่นเทาไปทั้งตัวและตามร่างกายสกปรกมอมแมมราวกับเกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมสนมเหลียงถูกนำตัวเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ทว่าร่างกายของนางยังคงสั่นเทิ้มและไม่กล่าวคำใดเมื่อองค์จักรพรรดิเห็นนางในสภาพเช่นนั้น ในฐานะสามี เขาก็อดไม่ได้ที่จะเจ้าไปสวมกอดและปลอบใจนาง พลางถาม “สนมเหลียง เจ้าจำข้าได้หรือไม่?”สนมเหลียงเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะกำแขนเสื้อแน่นด้วยความไม่สบายใจ“สนมเหลียง นี่คือองค์จักรพรรดิ จำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ลู่กงกงก้มลงถามนางเบา ๆสนมเหลียงมององค์จักรพรรดิด้วยท่าทีสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ นางก็กรีดร้องออกมาด้วยความสะเทือนใจ “ฝ่าบาท ได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันรู้ตัวว่าทำผิดไปแล้ว กุ้ยไท่เฟยและท่านพ่อต้องการทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันยังไม่อยากตาย!”ใบหน้าขององค์จักรพรรดิพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ขณะที่จุดแดงบนใบหน้าชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าคว
องค์จักรพรรดิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน ส่วนเรื่องกรมอาญาให้พวกเขารอไปก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแก้ไขคดีมือสังหาร ส่วนเรื่องกุ้ยไท่เฟยให้ส่งสุราชั้นดีให้นางสักหนึ่งไห แล้วรอดูท่าทีของนาง”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งเดี๋ยวนี้”หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ลู่กงกงก็กลับมารายงานแก่องค์จักรพรรดิ “ฝ่าบาท กระหม่อมส่งสุราไปเป็นของกำนัลแล้ว แต่กุ้ยไท่เฟยกลับทำมันหลุดมือโดยไม่ได้ตั้งใจพ่ะย่ะค่ะ”“ทำมันหลุดมือโดยไม่ได้ตั้งใจรึ?” องค์จักรพรรดิยิ้มเยาะพลางโบกมือ “เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน”“พ่ะย่ะค่ะ!” ลู่กงกงก้าวถอยหลังออกไปในยามบ่าย จื่ออันเข้ามาตรวจชีพจรของเขาข้างริมฝีปากขององค์จักรพรรดิมีตุ่มใสขึ้นมากกว่าเดิม ยามดื่มยาเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก นอกจากนี้เขาก็ไม่สามารถรับประทานอาหารอย่างอื่นได้เลย จื่ออันจึงแนะนำว่า “ฝ่าบาท ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพของโอรสสวรรค์หรอกนะเพคะ ทุกสิ่งจะต้องได้รับการพิจารณาในหลากหลายด้าน”องค์จักรพรรดิมองนางพลางกล่าว “พระชายา เจ้ากำลังกล่าวโทษข้าอยู่ในใจใช่หรือไม่?”จื่ออันคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ถึงถามเช่นนี้?
หมอหลวงพลันตื่นตระหนก “ฝ่าบาท ข้าน้อยและคนอื่น ๆ ไร้ความสามารถ จึงทำให้พระองค์ทุกข์ทรมานจากโรคภัย”“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก บางทีข้าอาจทำชั่วมามากก็ได้” องค์จักรพรรดิกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าสีหน้าของเขาแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงทำชั่ว? แม้องค์จักรพรรดิจะพูดคำนั้นออกมา แต่คนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถคาดเดาอย่างส่งเดชได้“เจ้าคิดว่าข้ามีโอกาสหายหรือไม่?” องค์จักรพรรดิถามหมอหลวงหมอหลวงตอบ “พระองค์จะต้องอายุยืนยาว...”“ข้าไม่อยากได้คำเยินยอ ข้าอยากได้ความจริง”หมอหลวงลอบคิดในใจ ‘พระองค์ยังไม่รู้ตัวจริง ๆ หรือ?’“ตอบมา!” องค์จักรพรรดิกล่าวเสียงดัง ขณะใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมหมอหลวงรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ตามคำบอกเล่าของพระชายาแล้ว ตอนนี้อาการของฝ่าบาทยังสามารถควบคุมได้ ตราบใดที่พระองค์ยังเสวยยาที่นางจัดให้และฝังเข็มอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”“ฝังเข็มอย่างต่อเนื่องงั้นรึ?” องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว “พวกเจ้าเห็นนางฝังเข็มให้ข้ามาก็หลายครั้งแล้ว แต่เหตุใดถึงยังทำตามไม่ได้อีก?”“การฝังเข็มเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งยิ่งนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจได้เพีย
จักรพรรดิยิ้มและกล่าวว่า “ดีมาก เช่นนั้นเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป หากเจ้ามีเวลาว่าง จงสอนหมอหลวงให้รู้วิธีการฝังเข็มทอง ทักษะทางการแพทย์ของหมอทั้งหลายในต้าโจวนั้นล้าหลังเกินไป นั่นเป็นเพราะว่าหมอชื่อดังต่างก็ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตน ว่าทักษะทางการแพทย์ไม่สามารถถ่ายทอดให้คนนอกได้”เมื่อจักรพรรดิกล่าวเช่นนี้ เขาก็จ้องมองไปที่จื่ออันโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ จื่ออันไม่ลังเลเลย กล่าวว่า “นี่ถือเป็นเรื่องดีทีเดียวเพคะ ตราบใดที่เหล่าหมอหลวงเต็มใจที่จะเรียนรู้วิชา หม่อมฉันสามารถสอนพวกเขาได้โดยไม่เลือกความแตกต่าง”จักรพรรดิมองนาง “เจ้าไม่กลัวว่าการสอนพวกเขาจะเป็นการคุกคามอาชีพของเจ้าหรือ?”“เรื่องนี้จะคุกคามหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ? หม่อมฉันเปล่าพึ่งพาการรักษาพยาบาลเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเองเสียหน่อย อีกทั้งยังกินเบี้ยเลี้ยงจากราชสำนักมิใช่หรือ?” จื่ออันหัวเราะ ราวกับว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นไร้สาระอย่างยิ่งถ้อยคำเหล่านี้เปรียบเสมือนการเยาะเย้ยจักรพรรดิที่ตัดสินผู้อื่นอย่างฉาบฉวยเมื่อจักรพรรดิเห็นว่านางยอมตกลงทันที สีหน้าของเขาก็ผิดธรรมชาติเล็กน้อย “อืม เช่นนั้นก็ดี เจ้าออกไปเถอะ”“เพคะ!” จื่
จ้วงจ้วงเองก็รับรู้ตัวตนของคนเหล่านี้ นางกล่าวกับอ๋องเยี่ย “พวกเขาฆ่าคนบริสุทธิ์ไปมากมาย หากพวกเขาเอาชีวิตรอดออกมาจากการปิดล้อมได้จริง ๆ เราจำเป็นต้องให้ยาแก้พิษและปล่อยพวกเขาไปจริง ๆ หรือ? หากปล่อยพวกเขาไปแล้ว พวกเขากลับมาทำร้ายราษฎรอีกจะเป็นอย่างไร? นี่ไม่เท่ากับปล่อยเสือกลับภูเขาหรอกหรือ?”ทหารจำนวนมากถูกสังหารในระหว่างปราบปรามโจรยามปกติ แต่ตอนนี้พวกโจรตกอยู่ใต้บังคับบัญชาจากหอเซี่ยฮั่นและหอซูเยวี่ย ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถหลบหนีไปได้อ๋องเยี่ยเหลือบมองจ้วงจ้วงจากด้านข้าง “ท่านน้า ท่านนี่ไม่ซื่อสัตย์เลยจริง ๆ เราต้องรักษาคำพูด อย่ากังวลไปเลย แม้ว่าเราจะให้ยาแก้พิษแก่พวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามารถทำชั่วได้อีกต่อไป”“จริงรึ?”“แน่นอน!” อ๋องเยี่ยกล่าวเบา ๆ “ข้ากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดต้นตอของปัญหา”จ้วงจ้วงหัวเราะเยาะ “เหตุใดข้าถึงได้ชอบเจ้ากันนะ?”“ข้าดูดีอย่างไรล่ะ!” อ๋องเยี่ยเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง“เจ้าน่ะหรือ?” จ้วงจ้วงตะคอก“หรือในสายตาท่าน ผู้ที่ดูดีมีเพียงน้าเขยเพียงผู้เดียว?” อ๋องเยี่ยได้ทีกล่าวต่อ “ท่านน้าอย่าได้ตำหนิหลานชายที่บังอาจอยากรู้อยากเห็น ท่านไม่เคยคิดที่จะ
“ข้า...ข้าก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนโง่เหมือนกัน”ซุนฟางเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “กล้าบอกด้วยว่าตนไม่ใช่คนโง่ มีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะบอกว่าตนเองไม่ใช่คนโง่”“เช่นนั้นเจ้าเป็นคนโง่หรือไม่ล่ะ?” เซี่ยหลินถามซุนฟางเอ๋อร์ถึงกับชะงัก “เจ้า…”เซี่ยหลินกล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านเป็นคนสวย เหตุใดถึงพูดจาไม่ดีล่ะ? แม่ของข้าเคยสอนว่าไม่ควรล้อเลียนข้อบกพร่องของคนอื่น เพราะพวกเขาจะรู้สึกไม่ดี”ซุนฟางเอ๋อร์เห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายทั้งสดใสและอ่อนโยน หากไม่พูดอะไรโง่ ๆ ออกมา นางคงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นคนโง่“ก็ได้ ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรเรียกเจ้าว่าคนโง่” ซุนฟางเอ๋อร์ขอโทษเซี่ยหลินยิ้มทั้งที่คิ้วยังขมวด “ข้ายกโทษให้ท่าน”ซุนฟางเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นเขายิ้มอย่างไร้เดียงสาและเป็นธรรมชาติเซี่ยหลินเดินออกไป เมื่อจื่ออันกลับมา ทุกคนก็เริ่มทานอาหาร เนื่องจากสถานการณ์พิเศษในคืนนี้ จ้วงจ้วงจึงเรียกให้เสี่ยวซุน ตาวเหล่าต้า ฉินจือ และฉยงหวามากินข้าวด้วยกันทั้งหมดมื้อนี้ถูกกำหนดไว้ว่าการรับประทานจะไม่เป็นไปอย่างสงบหลังจากกินไปครึ่งทาง ก็มีเสียงอาวุธปะทะกันดังขึ้นจากด้านนอกพระราชวังเซี่ยหลินและเ
ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์ของจื่ออัน ซุนฟางเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย หลังจากที่นางได้ยินเสียงโลหะดังขึ้น ก็รู้ได้ว่ามือสังหารมาแล้ว นางหยิบขลุ่ยเลาเล็กออกมาจากแขนเสื้อ และเริ่มเป่ามันขึ้นมาเพียงชั่วครู่ ทั้งประตู หน้าต่าง และบนหลังคาห้องของนางก็ปกคลุมไปด้วยงูพิษหลากสีละลานตา คอยปกป้องเรือนปีกเอาไว้อย่างแน่นหนาวังซีเหวยไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะอ๋องเยี่ยให้ความสำคัญกับการปกป้องวังซีเหวย นอกจากทหารรักษาพระราชวังแล้ว ก็ยังส่งคนของหอเซี่ยฮั่นมาอารักขาที่นี่ด้วยวังซีเหวยไม่ได้อยู่ในขอบเขตการเคลื่อนไหวของกุ้ยไท่เฟย ดังนั้น “นักฆ่า” เหล่านี้จริง ๆ แล้วจึงเป็นโจรที่ฆ่าคนเป็นผักปลา พวกนั้นที่หอเซี่ยฮั่นกับหอซู่เยวี่ยจับตัวกลับมาแต่ถึงแม้จะมีการป้องกันอย่างดีเยี่ยม องค์จักรพรรดิก็ยังตื่นตระหนกอย่างมากแม้ว่าเขาจะคาดไว้ว่ากุ้ยไท่เฟยจะมีการเคลื่อนไหวบ้างในสองวันนี้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมาลอบสังหารถึงวังซีเหวยแต่ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ อ๋องเยี่ยกับอ๋องเหลียงล้วนไม่อยู่ในวัง ต่างฝ่ายต่างกลับจวนของตนไปแล้วแน่นอนว่า กลับจวนไปก็ไม่มีอะไรให้ทำ จึงกำลังรอมือสังหารอยู่ที่หน้าประตูด้วยเ
องค์ชายเจ็ดลุกขึ้นถาม “จริงหรือ?”“ใช่แล้ว เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าจะพาเจ้าออกจากวัง ตอนนี้คนของข้าบุกเข้าไปในวังแล้ว รอจนพวกเขาสังหารเสด็จพ่อของเจ้าแล้ว ก็จะต้อนรับเจ้ากลับเข้าวังในฐานะจักรพรรดิ”ที่ตำหนักสีอัน ในช่วงที่จัดวางกำลังป้องกันไม่นานมานี้ ล้วนถูกแทนที่ด้วยคนของนางไว้หมดแล้วในยามนี้มือสังหารกำลังก่อความโกลาหลในวัง นางจึงต้องใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายเพื่อหนีออกไป ไม่เช่นนั้น หากองค์จักรพรรดิคลี่คลายความวุ่ยวายได้ นางก็ไม่อาจหนีไปไหนได้อีกหนีไปเสียตอนนี้ หากตนชนะและสังหารองค์จักรพรรดิได้ ก็จะสามารถกลับเข้าวังได้อย่างสมเกียรติถึงกระนั้น แม้ว่ากุ้ยไท่เฟยจะพยายามเค้นสมองคิดอย่างสุดกำลัง ก็ไม่อาจคาดถึงผลที่จะตามมาในภายหลังได้เลยการกวาดล้างมือสังหารกินเวลาไปทั้งค่ำคืน ทั้งอ๋องเยี่ยและอ๋องเหลียงต่างได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าเป็นเพียงการบาดเจ็บเล็กน้อย นี่เป็นแผนทรมานร่างกายตัวเองเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือจื่ออันและจ้วงจ้วงนั้นปลอดภัยดี แต่เพราะเกิดความตื่นตระหนกมากเกินไป องค์หญิงจึงล้มป่วยด้วยความกลัวในการกวาดล้างครั้งนี้ อ๋องเยี่ยได้ระดมกำลังคนทั้งหมดห้าพันคนจากกองทหารรักษาพระ
ร่างกายของแม่ทัพเฒ่าฉินสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้าสาปแช่งปู่รึ เจ้าเคยคำนึงถึงญาติพี่น้องหรือไม่?”เมื่อหมอหลวงมาถึง กลับไม่มีคนในตระกูลฉินคอยเฝ้าเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นจึงมีเพียงแต่บ่าวรับใช้หลังจากตรวจสอบอาการเสร็จ หมอหลวงก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านแม่ทัพเฒ่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านได้ไปที่ใดมา? แล้วท่านเคยเข้าไปในพื้นที่โรคระบาดหรือไม่?” “ไม่เคย ข้าไม่เคยไปที่นั่น” สีหน้าของแม่ทัพเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง “ท่านกำลังสงสัยว่าข้าติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่?”“อาการช่างคล้ายคลึงกันยิ่งนัก” หมอกลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพเฒ่าฉินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก “ท่านวินิจฉัยผิดหรือไม่?”“ข้าจะจัดยาให้ท่านสองชนิดก่อน หากดื่มยาเหล่านี้แล้วไม่ได้ผล เช่นนั้นไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วขอรับ” หมอหลวงกล่าวแม่ทัพเฒ่าฉินกล่าวด้วยความลนลาน “ฉินโจวบังคับให้ท่านพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?”หมอหลวงรู้สึกประหลาดใจ “แม่ทัพเฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดแม่ทัพฉินถึงต้องบังคับให้ข้าพูดเช่นนี้?”หมอหลวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแล้วโพล่งถาม “ท่านเคยพูดคุยกับองค์ชายเ
นางสามารถเสียสละได้ แต่จะไม่มีทางทรยศต่อประชาชนเป่ยโม่เด็ดขาดสำหรับความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ นางจะต้องรักประชาชนก่อน จึงจะสามารถภักดีต่อองค์จักรพรรดิได้ฉินโจวกล่าวคำเบา “ข้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงแล้ว ท่านปู่พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อย”ดวงตาของแม่ทัพเฒ่าฉินอัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อระงับมันฉินโจวเดินออกจากห้อง และเห็นว่าฉินเป้าน้องชายของตนนั่งอยู่ที่สวน เมื่อเห็นนางเดินออกมา เขาก็ถามว่า “ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง?”ฉินโจวจำคำพูดของท่านปู่ได้อย่างแม่นยำ จึงเมินเฉยต่อเขาและตอบอย่างใจเย็น “เข้าไปดูด้วยตนเองสิ”ฉินเป้าคลี่ยิ้ม แต่มันกลับดูอ้างว้างอย่างยิ่ง “ข้าได้ยินสิ่งที่ท่านปู่พูดกับท่านแล้ว ข้าไม่อยากเข้าไป”ฉินโจวตกตะลึง “เพราะเหตุใด เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับหารวางแผนเพื่อเจ้า เจ้าควรขอบคุณท่านปู่สิ”ฉินเป้าหัวเราะเยาะ “จริงรึ? หากเขาทอดทิ้งท่านเพื่อตระกูลได้ ในอนาคตเขาจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ? ข้าไม่ต้องการชื่อเสียงหรือความดีงามใด ๆ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย”ฉินโจวดูถูกน้องชายมาโดยตลอด เพราะเขาไม่ได
ทั้งสองคนเดินออกไปและหยุดอยู่บนทางเดิน หมอมองฉินโจวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านแม่ทัพ ข้ากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพเฒ่าจะป่วยด้วยโรคระบาดขอรับ”ฉินโจวตกตะลึง “โรคระบาด? เป็นไปได้อย่างไร? ปู่ของข้าไม่เคยออกไปข้างนอก และไม่เคยติดต่อกับผู้ป่วยโรคนี้เลย แล้วเขาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร?”“ข้าเคยรักษาผู้ป่วยโรคระบาดมาก่อน ซึ่งอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอ ตาแดง หายใจเร็วขึ้น เมื่อเกิดอาการเหล่านี้พร้อมกันจะอันตรายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นโรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดขอรับ” หมอกล่าว“เป็นไปไม่ได้ หากจะติดเชื้อโรคระบาดก็ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่แล้ว แต่ท่านปู่ของข้าไม่เคยใกล้ชิดคนเหล่านั้นเลย แล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร?” ฉินโจวยังคงไม่เชื่อหมอประสานหมัด “ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของข้า หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อ ก็สามารถขอให้หมอคนอื่นมาตรวจดูได้ หรือท่านจะพาเขาไปที่พระราชวัง และขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการ ข้าไร้ความสามารถ จึงอาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ลาก่อนขอรับ ๆ!”สิ้นคำ หมอก็หยิบกล่องยาแล้วออกไปโดยไม่เขียนใบสั่งยาด้วยซ้ำฉินโจวสับสนไม่น้อย ท่านปู่ติดเชื้อโร
หัวใจของฉินโจวเย็นเยียบราวกับน้ำ “ใช่ ตราบใดที่ข้าตายในสนามรบ ตระกูลฉินก็ยังจะเป็นผู้กล้า และเป็นขุนนางผู้มีเกียรติ”แม่ทัพเฒ่าฉินเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวคำเบา “ในฐานะหลานสาวตระกูลฉิน มันเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องเสียสละเพื่อชื่อเสียง และรากฐานของตระกูล”ฉินโจวกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้ายังทำไม่พออีกหรือ? ตอนนี้มีใครในตระกูลฉินบ้างที่ไม่เกาะกินเลือดนี้ของข้า?”แม่ทัพเฒ่าฉินลุกยืนขึ้นพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง ข้าให้คำมั่นกับฮองเฮาเฉาแล้ว ว่าวันนี้เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อทูลขอรับคำสั่ง หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะรับคำสั่งและออกรบด้วยตนเอง”“ท่าน...” ฉินโจวมองเขาด้วยสายตาโศกเศร้า “ท่านปู่ ข้าก็เป็นหลานสาวของท่านเหมือนกัน ท่านไม่สงสารข้าบ้างหรือ?”“ปู่สงสารเจ้าสิ แต่ภารกิจหน้าที่ของตระกูลฉินจะต้องถูกส่งต่อ ตอนนี้น้องชายของเจ้าโตพอแล้ว เจ้าจะต้องพาเขาไปสร้างความสำเร็จทางการทหารด้วย และเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งของน้องเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉินก็จะได้ผู้สืบทอดคนใหม่”ฉินโจวผงะไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินโจว แม่ทัพเฒ่าฉินก็โมโหมากจนเคราสั่นสะท้าน “อาโจว อะไรจะสำคัญไปกว่าการบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่? องค์จักรพรรดิเพียงต้องการขยายอาณาเขตของแคว้น เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเรายึดครองต้าโจวสำเร็จ เป่ยโม่จะมีพื้นที่เพิ่มมากกว่าครึ่งหนึ่ง และมันจะเป็นความดีความชอบของตระกูลฉิน ทำให้ตระกูลของเราถูกจดจำไปหลายชั่วอายุคน! นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการมาตลอดรึ? เจ้าไม่ต้องการบอกคนทั้งโลก ว่าแม้ฉินโจวจะเป็นสตรี แต่นางก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างผ่าเผยหรือ?”ฉินโจวมองดูใบหน้าที่ฉายแววตื่นเต้นปนโกรธเกรี้ยวของปู่ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติถูกต้อง มันคือความต้องการของนาง แต่ความสำเร็จของนางจะต้องไม่แลกกับการเหยียบย่ำกระดูกของประชาชนชาวเป่ยโม่นางรักเป่ยโม่และหวังที่จะขยายอาณาเขตของแคว้น นอกจากนี้นางยังต้องการเสาะหาดินแดนอุดมสมบูรณ์เพื่อประชาชน เพราะหวังว่าพวกเขาจะสามารถอยู่อาศัยและทำกินอย่างสงบสุข และพึงพอใจโดยไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดถิ่นอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้หากต้องการบรรลุอำนาจ นางจำต้องสละชีวิตประชาชนจำนวนมาก และนำเงินภาษีของทุกคนมาใช้ในการทำสงคราม ทำให้โรคร
มือสังหารเหล่านั้นแต่งกายคล้ายกับชาวต้าโจวและสวมหน้ากากผ้าสีดำ กลุ่มคนนิรนามราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากท้องฟ้ากลางวันแสก ๆ ทันทีที่เท้าของคนเหล่านั้นแตะพื้น พวกมันก็เริ่มโจมตีอย่างดุดันฉินโจวเห็นมือสังหารคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระบี่ยาว จากนั้นร่ายรำอยู่หลายกระบวนท่าราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้ ขณะแสงแดดตกกระทบกระบี่ส่องกระจายไปทั่วเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าไปร่วมวงต่อสู้อย่างรวดเร็วหลังจากประดาบกันไปกว่าร้อยครั้ง มือสังหารก็ถูกบีบบังคับให้ล่าถอย ฉินโจวจ่อกระบี่ไปที่คอของหนึ่งในมือสังหาร พลางถามเสียงเข้ม “ตอบข้า ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”มือสังหารตอบอย่างเย็นชา “ฆ่าไอ้หมารับใช้เป่ยโม่ให้หมด!”“หมารับใช้เป่ยโม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนเป่ยโม่ พวกเจ้ามาจากต้าโจวใช่หรือไม่?” ฉินโจวโมโหอย่างมาก ขณะชี้ดาบไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย “ไอ้เลวมู่หรงเจี๋ยส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่?”“หญิงเลวอย่าเจ้ากล้าเอ่ยชื่อของท่านอ๋อง ทำให้พระองค์มัวหมองได้อย่างไร?” มือสังหารตะโกนฉินโจวชักดาบกลับพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “กลับไปซะ!”มือสังหารตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าฉินโจวจะปล่อยตัวเขาไป”เ
ฉินโจวกล่าวด้วยความโมโห “ข้าหลอกลวงเจ้าเมื่อไร?”“ไม่งั้นรึ? เจ้าและอ๋องฉีเอ่ยปากว่า หากจื่ออันตกลงเดินทางมาที่เป่ยโม่ พวกเจ้าจะส่งองค์ชายรัชทายาทไปที่ต้าโจวเป็นองค์ประกัน แล้วพวกเจ้าทำตามที่พูดแล้วหรือไม่?”“องค์ชายรัชทายาทเดินทางไปยังต้าโจวแล้ว!”“ผู้ที่เดินทางไปยังต้าโจวคือองค์ชายเจ็ด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท องค์ชายเจ็ดไม่ได้เป็นที่โปรดปราน ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยโม่จะส่งเขาไปสังเวยเมื่อใดก็ได้”“เป็นไปไม่ได้!” ฉินโจวประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เดินทางไปคือองค์ชายรัชทายาท เพราะองค์จักรพรรดิทรงตรัสด้วยตนเองว่าจะส่งเขาไปที่ต้าโจว“เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้ทั้งสองแคว้นตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก หลังจากการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง แต่เจ้ากลับวางแผนโจมตีพวกเราในขณะที่ข้ายังอยู่ที่เป่ยโม่ เจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?” มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งเครียดฉินโจวตอบ “ผิดแล้ว เป็นเพราะต้าโจวที่เคลื่อนทัพโจมตีทหารฝั่งขวาของเราก่อน และสังหารทหารของเราไปกว่าร้อยคน ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ เพื่อบีบบังคับให้พวกเจ้าถอยกลับ”“ไร้สาระ กองทัพของเราหยุดเคลื่อนท
อย่างไรก็ตาม การจัดหาเสบียงอาหารสำหรับพื้นที่ภัยพิบัติยังไม่เพียงพอ และยังขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์ นอกจากนี้หลังจากที่พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาถึงเป่ยโม่ ก็ยังไม่ได้รับใบสั่งยาแม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นความอดทนของประชาชนจึงค่อย ๆ หมดลง แต่ความโกรธและความขุ่นเคืองกลับยิ่งมากขึ้นทันทีที่ข่าวลือแพร่สะพัด ก็เป็นเสมือนเป็นการขว้างเปลวไฟใส่ ‘ระเบิด’ หนึ่งหมื่นตุน ทำให้มันระเบิดออกอย่างรวดเร็วผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฉินโจวลงจากภูเขา นางก็พบว่าองค์จักรพรรดิทำอะไรกับทหารม้า และทหารเจ็ดหมื่นนายที่ประจำการที่เมืองหลวง ซึ่งเขาออกคำสั่งให้ทหารเหล่านั้นขับไล่เหล่าผู้ประสบภัยออกไปนางเห็นด้วยตาตนเองว่าทหารใต้บังคับบัญชาของนางสร้างกำแพงมนุษย์อันแน่นหนา เมื่อผู้ประสภัยเดินทางเข้ามา พวกเขาก็จะโบกหอกเพื่อขับไล่คนเหล่านั้นออกไปผู้ประสบภัยมากกว่าสิบรายได้รับบาดเจ็บจากหอกทหารเหล่านั้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้ฆ่าผู้ใด แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นจะต้องมีการฆ่าแกงกันอย่างแน่นอนฉินโจวโกรธจัดจึงขี่ม้าเข้าไปขวางเอาไว้ “หยุด หยุดเ
ฉินโจวกวาดสายตามองพลางเยาะเย้ยจื่ออันไม่สนใจนาง และพาหลินตานไปยังเขตตะวันตกภายในสองวันนี้มีผู้เสียชีวิตถึงสามคน ซึ่งทั้งหมดถูกหามออกไปหลังจากที่หลินตามเดินเข้ามาเขาหลั่งน้ำตาหลั่งน้ำตาขณะมองดูการเผาศพจื่ออันไม่คิดว่าเขาจะมีความอ่อนไหวมากเพียงนี้ “ท่านหมอหลิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”หลินตานปาดน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าเพียง... คิดถึงครอบครัวขอรับ”“ครอบครัวของท่าน? แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดหรือ?” จื่ออันถาม“ตายหมดแล้วขอรับ ภรรยาและลูกสะใภ้ของข้าตายเพราะเหตุแผ่นดินไหวทั้งคู่ ส่วนลูกชายและหลานชายติดเชื้อโรคระบาดก่อนตายไปเช่นกัน ข้าจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด” หลินตานสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผมสีขาวฉายแววความเศร้าโศกและหดหู่จื่ออันไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจากพื้นที่โรคระบาดเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อย จื่ออันก็ไม่รู้จะปลอบใจเขาเช่นไร จึงได้แต่นิ่งเงียบและอยู่เคียงข้างไม่นานหลินตานก็ถามว่า “ท่านหมอเซี่ย โรคระบาดนี้สามารถรักษาหายได้จริงหรือขอรับ?”ตอนนั้นเองจื่ออันก็นึกได้ว่าเขาเป็นหมอเท้าเปล่า และหลังจากเดินทางพเนจรไปที่ต่าง ๆ เขาอาจรู้จักจินเย่าฉือก็เป็นได้ ดังนั้นจึงรีบถามว