เมื่อฟังจากเสียงฝีเท้าแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสตรีแต่ก็มิใช่ซูเซียงซูเซียงกำลังตั้งครรภ์ ส่วนคนผู้นี้มีฝีเท้าเบากว่าลั่วชิงยวนใจเต้นระรัวฉีเสวี่ยเวย!ในขณะที่คิดอยู่นั้น กลิ่นอายสังหารพลันแผ่ซ่านเข้ามาลั่วชิงยวนลืมตาโพลงก็เห็นกริชพุ่งตรงมาที่คอนางแต่ในขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะลงมือ กลับมีมือหนึ่งจับมือนางไว้เสียก่อนฉีเสวี่ยเวยตกตะลึงเพราะพวกเขาอีกครั้ง“พวกเจ้าเสแสร้งอีกแล้ว!”มิได้สลบ!ทั้งยังมิได้ถูกมัดด้วยฉีเสวี่ยเวยตระหนักได้ว่าต้องเป็นฝีมือของซูเซียง ในใจนางแอบด่าซูเซียงว่าเป็นคนสารเลวที่ทำลายแผนการของนางฉีเสวี่ยเวยมิกล้าลงมือต่อ รีบทิ้งกริชแล้ววิ่งตรงไปยังนอกห้องคนใบ้พลิกตัวลุกขึ้น รีบไล่ตามไปลั่วชิงยวนก็รีบตามไปเช่นกันแต่คาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะมีวรยุทธ์มิเลว นางหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอยทันทีเมื่อลั่วชิงยวนตามไปก็มิเห็นแม้แต่เงาของฉีเสวี่ยเวยแล้วแม้แต่คนใบ้ก็หยุดฝีเท้าลงลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากนางไปฟ้องถูหมิง ซูเซียงอาจเป็นอันตราย”“ไปเถิด พวกเราก็ไปที่นั่นด้วย”จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำพุร้อนเมื่อไปถึง ฉีเสวี่ยเวย
ฉีเสวี่ยเวยกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าเองก็มิรู้ว่านางกล่าวเช่นนั้นหมายถึงอะไรกันแน่”ถูหมิงขมวดคิ้ว คิดว่าคนที่เข้าไปข้างในต้องตายเป็นแน่จากนั้นก็มองไปยังฉีเสวี่ยเวยด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อถึงยามโพล้เพล้ เจ้าต้องเข้าไปเป็นคนแรก!”ฉีเสวี่ยเวยตกใจจนเบิกตากว้างในป่าที่อยู่มิไกล ลั่วชิงยวนมองดูอย่างเงียบเชียบ ฉีเสวี่ยเวยคงมิคาดคิดว่าตนจะกลายเป็นผู้ที่ต้องเข้าไปสำรวจเส้นทางเป็นรายต่อไปเหตุผลที่นางปล่อยให้ฉีเสวี่ยเวยบอกเรื่องนี้แก่ถูหมิง เพราะเมื่อถึงยามโพล้เพล้ เส้นทางนี้ก็มิใช่ว่าจะเดินได้ง่ายด้านหลังดงหนามอาจยังมีอันตรายรออยู่อีกก็เป็นได้ให้ฉีเสวี่ยเวยและคนอื่น ๆ ไปสำรวจเส้นทางเสียก็ดีกลุ่มคนเฝ้ารออยู่ที่เดิม รอคอยให้ยามโพล้เพล้มาเยือนส่วนลั่วชิงยวนและคนใบ้ที่อยู่ในดงหนามก็ค่อนข้างลำบาก พวกเขาเองก็มิสามารถเคลื่อนไหวได้และรู้สึกมิสบายตัวมากในที่สุด ตะวันก็ตกดินริ้วแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้วาดเป็นเส้นโค้งอีกครั้งดังที่คาดไว้“บัดนี้ถึงเวลาหรือยัง?” ถูหมิงถามฉีเสวี่ยเวยพยักหน้า “น่าจะถึงแล้ว”“เช่นนั้นเจ้าเดินไปข้างหน้า หากปลอดภัยก็ส่งเสียงออกมา!” ถูหมิงคว้าตัวฉีเสวี่ยเวย แล้วผล
ลั่วชิงยวนหยิบผงไล่งูขวดหนึ่งออกมาทาตัวนางและคนใบ้จากนั้นก็ออกเดินทางต่อเส้นทางขึ้นเขาลำบากมาก พวกเขาจึงมิได้รีบร้อนขึ้นไป หากมีอันตรายใดก็ให้คนของถูหมิงไปสำรวจเสียก่อนหลังจากเดินมาไกลพอสมควร เมื่อเดินผ่านดงหญ้าหนาทึบในป่า ทันใดนั้นก็มีมือซีดขาวยื่นออกมาจากดงหญ้าลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบในดงหญ้ามีชายผู้หนึ่งที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด บาดแผลทั้งหมดเกิดจากการถูกงูกัด แทบไม่มีส่วนใดดีเหลืออยู่เลยเมื่อเห็นว่ายังมีลมหายใจแผ่วเบา ทั้งสองก็ช่วยกันลากชายคนนั้นออกมาจากดงหญ้าแต่เมื่อพลิกร่างมาด้านหน้าเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนั้น ลั่วชิงยวนก็ใจหายวาบ“จวี้ซาน!”แต่ชายคนนั้นหมดสติไปแล้ว ลมหายใจรวยรินเต็มที ริมฝีปากดำคล้ำ มีเลือดไหลซึมออกมาจากปากจมูกและหูประสาทสัมผัสทั้งห้าแตกดับหมดแล้วลั่วชิงยวนร้อนใจ รีบหยิบขวดยาออกมา “เจ้าอดทนไว้ก่อน!”ในขณะที่นางยัดยาถอนพิษเข้าไปในปากของจวี้ซานในชั่วขณะนั้น จวี้ซานก็หยุดหายใจลั่วชิงยวนชะงักนี่คือหนึ่งในสิบวายร้าย จวี้ซานเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าจะมาถึงสถานที่ที่มีแต่งูเร็วกว่าพวกนางนั่
เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวนและคนใบ้ที่ทางเข้าบ่อน้ำพุร้อนแล้วในยามนี้ถูหมิงกลับเกรงว่าพวกเขาจะหนีไป“แล้วจะมัวพูดอะไรกันอีก ข้ามแม่น้ำเสียสิ”ลั่วชิงยวนหันไปสบตากับคนใบ้ “ข้าจะไปทดสอบความลึกของน้ำก่อน”แต่คนใบ้กลับดึงนางไว้จากนั้นก็หยิบโซ่เหล็กยาวออกมาจากกระเป๋าด้านหลังลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยนี่คือโซ่เหล็กที่ใช้สังหารฝูเหมิ่งในคราวนั้น มิคาดคิดว่าเขาจะพกติดตัวมาด้วยคนใบ้ขว้างโซ่เหล็กไปที่ฝั่งตรงข้าม โซ่เหล็กพันเข้ากับต้นไม้ เขาออกแรงดึงเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงเขาผูกปลายอีกด้านหนึ่งไว้กับลำต้นไม้แล้วส่งให้ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนลงน้ำคนแรก ขณะดึงโซ่เหล็กว่ายไปยังฝั่งตรงข้ามลั่วชิงยวนดำลงไปดู พบว่าน้ำลึกมาก ต้องว่ายน้ำข้ามไปเท่านั้นนางขึ้นฝั่งได้อย่างราบรื่นจากนั้นคนใบ้ก็ข้ามตามไปถัดมาคือถูหมิงและคนอื่น ๆแต่เมื่อถึงคราวฉีเสวี่ยเวยและซูเซียงก็มีงูฝูงใหญ่ปรากฏตัวบนกองหญ้าด้านหลังพวกนางแล้วพวกมันกำลังไล่ตามมา“งูมาแล้ว! รีบข้ามแม่น้ำเร็วเข้า พวกเจ้าสองคนข้ามไปด้วยกัน!” ถูหมิงร้องฉีเสวี่ยเวยและซูเซียงลงน้ำอย่างกระวนกระวายแต่ฉี
เมื่อจัดวางทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับมายังลานโล่งมองหาบริเวณที่มีหินใหญ่สองสามก้อน ซึ่งพอดีกับที่ใช้แบ่งชายหญิงให้แยกกันได้จากนั้นสร้างโครงจากท่อนไม้ แล้วถอดเสื้อคลุมนอกออกมาคลุมเพื่อบังสายตาจากนั้นก็ก่อไฟผึ่งอาภรณ์ให้แห้งลั่วชิงยวนช่วยประคองซูเซียงให้นอนลง ก่อนกล่าวว่า “เจ้าถอดอาภรณ์ออกก่อน ผึ่งให้แห้งแล้วค่อยใส่เถิด”ซูเซียงถอดอาภรณ์ออกอย่างยากลำบาก ลั่วชิงยวนส่งยาให้นางพลางกล่าวว่า “โอสถนี้ช่วยขับไล่ความหนาวเย็นได้”“ที่นี่ไม่มีสมุนไพรอื่น เจ้าจะทนได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนมองซูเซียงด้วยความเป็นห่วงซูเซียงพยักหน้า“ข้าทนได้”ใบหน้าของซูเซียงซีดเผือด เห็นได้ชัดว่านางใกล้จะหมดแรงแล้ว ความอดทนของนางช่างน่าชื่นชม“สภาพแวดล้อมบนเขาลูกนี้ยากลำบาก มีอันตรายมากเกินไป ลูกในครรภ์ของเจ้าอาจมิรอด” ลั่วชิงยวนจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้รู้ล่วงหน้าเนื่องจากเมื่อครู่ต้องหลบหนีอยู่นาน ทั้งยังลงไปในแม่น้ำ เป็นการใช้กำลังมาก แม้แต่คนทั่วไปก็ยังเหนื่อยล้า นับประสาอะไรกับซูเซียงแต่ซูเซียงกลับหัวเราะเบา ๆ ทั้งน้ำตา “ข้ารู้”“แต่ว่า… หากลูกคนนี้มิอยู่แล้วก็มิเป็นอะไรหรอก”ลั่วช
เสียงนั้นดังชัดเจนในยามราตรีที่เงียบสงัดลั่วชิงยวนก็มิเข้าใจว่าเหตุใดต้องใช้กลอุบายเช่นนั้นเพื่อพึ่งพาชายเหล่านั้นด้วยไม่มีผู้ใดชื่นชอบนางอย่างแท้จริง คนเหล่านั้นมองนางเป็นเพียงของเล่นบนเขาลูกนี้มีอันตรายมากมาย หากถึงยามคับขันจะมีผู้ใดเต็มใจช่วยชีวิตนางบ้างกันนางยังคงหลับตาพักผ่อนต่อไปแต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกคราวนี้คนที่เข้าไปเป็นถูหมิงลั่วชิงยวนปิดหูด้วยความรำคาญรอจนอาภรณ์ชั้นในแห้งนางก็รีบสวมใส่ทันทีแต่ในขณะนั้นเอง ลมยามค่ำคืนก็พัดแรงขึ้นดูเหมือนจะมีสิ่งใดเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วในความมืดมิด คนใบ้กำกระบี่แน่นด้วยความตึงเครียดลั่วชิงยวนก็ระแวดระวังรอบข้างอย่างกังวลทันใดนั้นเงาดำก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า พุ่งเข้ากระแทกลั่วชิงยวนกลิ่นคาวเลือดโชยมาในทันทีลั่วชิงยวนดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่มิอาจสลัดหลุด อีกฝ่ายมีพละกำลังมหาศาลเพียงแค่อ้อมแขนที่โอบกอดนางไว้ นางก็จำได้แล้วฝูเหมิ่ง!เป็นฝูเหมิ่งจริง ๆ!ทันใดนั้นเอง คนใบ้ก็พุ่งเข้าไปเตะเขาอย่างแรง และช่วยลั่วชิงยวนออกมาเขาฉีกเสื้อคลุมมาห่มร่างนางในความมืดมิด ฝูเหมิ่งเงยหน้าขึ้น ใบหน้าท
นางมิอาจปล่อยให้คนใบ้ตายได้!คนใบ้กอดนางไว้แน่น ลั่วชิงยวนขยับเขยื้อนมิได้แม้แต่น้อย นางรีบตะโกน “ปล่อยข้า! ปล่อย!”“ข้าจะหยิบของ มิเช่นนั้นพวกเราจะต้องตายที่นี่”คนใบ้จึงคลายอ้อมกอดลั่วชิงยวนรีบหยิบเข็มทิศออกมา จากนั้นกัดนิ้ววาดอักขระบนกระบี่ห้วงสวรรค์ในเมื่อกินโอสถศพเข้าไป ในยามนี้ฝูเหมิ่งจึงเป็นเพียงซากศพ! มีพลังอื่นควบคุมเขาอยู่ภายในคนใบ้พยุงร่างมาได้นานเต็มทีจึงทนมิไหวอีกต่อไปแล้ว แผ่นหลังแทบทั้งหมดของเขาฉีกขาดจนเลือดโชกไปหมดลั่วชิงยวนมองเขาอย่างแน่วแน่ “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม เจ้าจงหลีกไป!”คนใบ้ลังเลเล็กน้อย“เชื่อมั่นในตัวข้า!” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นคนใบ้พยักหน้าแขนของเขาอ่อนแรง เป็นสัญญาณว่ามิอาจต้านทานได้อีกต่อไปลั่วชิงยวนนับ “หนึ่ง! สอง! สาม!”ทันใดนั้นคนใบ้ก็กลิ้งหลบไปด้านข้างฝูเหมิ่งพุ่งกระแทกลั่วชิงยวนพอดีดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา กระบี่ห้วงสวรรค์ในมือที่วาดอักขระไว้แทงทะลุร่างของฝูเหมิ่งอย่างแรงฝูเหมิ่งร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาบาดแผลส่งเสียงซู่ซ่าเหมือนถูกเผาไหม้ขณะเดียวกัน ลั่วชิงยวนก็ยกเข็มทิศในมือขึ้นส่อง แสงสีทองเปล่งปร
เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินคำพูดของฉีเสวี่ยเวย แววตาของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชานางสร้างอาคมลวงตาไว้ที่นี่ มิใช่เพียงป้องกันงูแต่เพื่อป้องกันคนด้วยแม้ฝูเหมิ่งจะกลายร่างเป็นศพแล้วก็มิน่าจะเข้ามาง่ายดายเช่นนี้......ในป่าอันมืดมิดซูเซียงพิงต้นไม้ด้วยความเหนื่อยล้ามีเสียงดังกรอบแกรบดังมาจากเบื้องหน้า เมื่อนางเพ่งมองจึงเห็นงู!นางตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วหันหลังวิ่งหนีไปแต่จู่ ๆ กลับหยุดเท้าลง นัยน์ตาฉายแววเหี้ยมโหด นางก้มตัวคว้าจับงูพิษที่กำลังเลื้อยเข้ามา ให้กัดข้อเท้าของตนอย่างแรงงูพิษงับข้อเท้าของนาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านนางเตะงูออกไป แล้ววิ่งโซเซกลับมายังค่ายพัก......ลั่วชิงยวนกำลังคิดว่าจะหาสมุนไพรมากำจัดกลุ่มคนของถูหมิงให้พ้นทางได้อย่างไรทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินโซเซมาจากในป่าลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นร่างนั้น ปรากฏว่าเป็นซูเซียงซูเซียงวิ่งมาได้มิกี่ก้าวก็ล้มลงบนพื้น ร่างกายหมดเรี่ยวแรงอาภรณ์ใต้ร่างนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดลั่วชิงยวนตกใจ รีบเดินเข้าไปหา แล้วเห็นว่าริมฝีปากของซูเซียงดำคล้ำ แสดงว่าถูกพิษเมื่อจับชีพจรก็ยิ่งตกใจนางถู
ลั่วชิงยวนจ้องมองพวกเขาด้วยความระแวดระวัง ในมือซ่อนเตี่ยฉุยไว้ในยามนี้นางอ่อนแอเกินไป ได้แต่พึ่งพาเตี่ยฉุยหวังเพียงจะพาทั้งสองหนีออกไปแต่ในขณะนั้นเอง คนใบ้กลับเดินมายืนอยู่เบื้องหน้าลั่วชิงยวน มองพวกเขาด้วยเจตนามุ่งสังหารถูหมิงและคนอื่น ๆ มิทราบถึงความแข็งแกร่งของคนใบ้ ในเมื่อเขาสังหารฝูเหมิ่งได้ย่อมมิอ่อนแอ จึงไม่มีใครกล้าลงมือโดยพลการแต่เมื่อได้ยินเสียงงูในป่าถูหมิงจึงตัดสินใจเสี่ยง“ลุย!”เมื่อได้ยินคำสั่ง หลายคนก็พุ่งเข้ามาถูหมิงก็ยกดาบขึ้นฟันเช่นกันเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารการต่อสู้ใกล้ปะทุขึ้นลั่วชิงยวนและคนใบ้ร่วมมือกันต้านทานคนเหล่านี้นางและคนใบ้ทาผงไล่งูไว้บนตัวแล้ว ในยามนี้จึงมิเกรงกลัวว่างูจะเข้ามาล้อมโจมตีทันใดนั้นเอง ก็มีฟ้าแลบหลายครั้งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรีแสงสว่างวาบไปทั่วบริเวณในความสว่างชั่วครู่ของสายฟ้านั้นปรากฏร่างในชุดสีแดงขึ้นในสายตาของทุกคนมีคนร้องอุทานออกมา สายตาจับจ้องไปที่ความมืด “เมื่อครู่นี้อะไรกัน!”คนอื่น ๆ กลืนน้ำลายลงคอด้วยความตกใจลั่วชิงยวนเหลียวมอง จึงเห็นสตรีชุดแดงแวบผ่านไปนางโผล่มาอีกแล้วเมื่อสายฟ้าแลบขึ้นอีกครั้
เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินคำพูดของฉีเสวี่ยเวย แววตาของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชานางสร้างอาคมลวงตาไว้ที่นี่ มิใช่เพียงป้องกันงูแต่เพื่อป้องกันคนด้วยแม้ฝูเหมิ่งจะกลายร่างเป็นศพแล้วก็มิน่าจะเข้ามาง่ายดายเช่นนี้......ในป่าอันมืดมิดซูเซียงพิงต้นไม้ด้วยความเหนื่อยล้ามีเสียงดังกรอบแกรบดังมาจากเบื้องหน้า เมื่อนางเพ่งมองจึงเห็นงู!นางตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วหันหลังวิ่งหนีไปแต่จู่ ๆ กลับหยุดเท้าลง นัยน์ตาฉายแววเหี้ยมโหด นางก้มตัวคว้าจับงูพิษที่กำลังเลื้อยเข้ามา ให้กัดข้อเท้าของตนอย่างแรงงูพิษงับข้อเท้าของนาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านนางเตะงูออกไป แล้ววิ่งโซเซกลับมายังค่ายพัก......ลั่วชิงยวนกำลังคิดว่าจะหาสมุนไพรมากำจัดกลุ่มคนของถูหมิงให้พ้นทางได้อย่างไรทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินโซเซมาจากในป่าลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นร่างนั้น ปรากฏว่าเป็นซูเซียงซูเซียงวิ่งมาได้มิกี่ก้าวก็ล้มลงบนพื้น ร่างกายหมดเรี่ยวแรงอาภรณ์ใต้ร่างนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดลั่วชิงยวนตกใจ รีบเดินเข้าไปหา แล้วเห็นว่าริมฝีปากของซูเซียงดำคล้ำ แสดงว่าถูกพิษเมื่อจับชีพจรก็ยิ่งตกใจนางถู
นางมิอาจปล่อยให้คนใบ้ตายได้!คนใบ้กอดนางไว้แน่น ลั่วชิงยวนขยับเขยื้อนมิได้แม้แต่น้อย นางรีบตะโกน “ปล่อยข้า! ปล่อย!”“ข้าจะหยิบของ มิเช่นนั้นพวกเราจะต้องตายที่นี่”คนใบ้จึงคลายอ้อมกอดลั่วชิงยวนรีบหยิบเข็มทิศออกมา จากนั้นกัดนิ้ววาดอักขระบนกระบี่ห้วงสวรรค์ในเมื่อกินโอสถศพเข้าไป ในยามนี้ฝูเหมิ่งจึงเป็นเพียงซากศพ! มีพลังอื่นควบคุมเขาอยู่ภายในคนใบ้พยุงร่างมาได้นานเต็มทีจึงทนมิไหวอีกต่อไปแล้ว แผ่นหลังแทบทั้งหมดของเขาฉีกขาดจนเลือดโชกไปหมดลั่วชิงยวนมองเขาอย่างแน่วแน่ “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม เจ้าจงหลีกไป!”คนใบ้ลังเลเล็กน้อย“เชื่อมั่นในตัวข้า!” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นคนใบ้พยักหน้าแขนของเขาอ่อนแรง เป็นสัญญาณว่ามิอาจต้านทานได้อีกต่อไปลั่วชิงยวนนับ “หนึ่ง! สอง! สาม!”ทันใดนั้นคนใบ้ก็กลิ้งหลบไปด้านข้างฝูเหมิ่งพุ่งกระแทกลั่วชิงยวนพอดีดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา กระบี่ห้วงสวรรค์ในมือที่วาดอักขระไว้แทงทะลุร่างของฝูเหมิ่งอย่างแรงฝูเหมิ่งร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาบาดแผลส่งเสียงซู่ซ่าเหมือนถูกเผาไหม้ขณะเดียวกัน ลั่วชิงยวนก็ยกเข็มทิศในมือขึ้นส่อง แสงสีทองเปล่งปร
เสียงนั้นดังชัดเจนในยามราตรีที่เงียบสงัดลั่วชิงยวนก็มิเข้าใจว่าเหตุใดต้องใช้กลอุบายเช่นนั้นเพื่อพึ่งพาชายเหล่านั้นด้วยไม่มีผู้ใดชื่นชอบนางอย่างแท้จริง คนเหล่านั้นมองนางเป็นเพียงของเล่นบนเขาลูกนี้มีอันตรายมากมาย หากถึงยามคับขันจะมีผู้ใดเต็มใจช่วยชีวิตนางบ้างกันนางยังคงหลับตาพักผ่อนต่อไปแต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกคราวนี้คนที่เข้าไปเป็นถูหมิงลั่วชิงยวนปิดหูด้วยความรำคาญรอจนอาภรณ์ชั้นในแห้งนางก็รีบสวมใส่ทันทีแต่ในขณะนั้นเอง ลมยามค่ำคืนก็พัดแรงขึ้นดูเหมือนจะมีสิ่งใดเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วในความมืดมิด คนใบ้กำกระบี่แน่นด้วยความตึงเครียดลั่วชิงยวนก็ระแวดระวังรอบข้างอย่างกังวลทันใดนั้นเงาดำก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า พุ่งเข้ากระแทกลั่วชิงยวนกลิ่นคาวเลือดโชยมาในทันทีลั่วชิงยวนดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่มิอาจสลัดหลุด อีกฝ่ายมีพละกำลังมหาศาลเพียงแค่อ้อมแขนที่โอบกอดนางไว้ นางก็จำได้แล้วฝูเหมิ่ง!เป็นฝูเหมิ่งจริง ๆ!ทันใดนั้นเอง คนใบ้ก็พุ่งเข้าไปเตะเขาอย่างแรง และช่วยลั่วชิงยวนออกมาเขาฉีกเสื้อคลุมมาห่มร่างนางในความมืดมิด ฝูเหมิ่งเงยหน้าขึ้น ใบหน้าท
เมื่อจัดวางทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับมายังลานโล่งมองหาบริเวณที่มีหินใหญ่สองสามก้อน ซึ่งพอดีกับที่ใช้แบ่งชายหญิงให้แยกกันได้จากนั้นสร้างโครงจากท่อนไม้ แล้วถอดเสื้อคลุมนอกออกมาคลุมเพื่อบังสายตาจากนั้นก็ก่อไฟผึ่งอาภรณ์ให้แห้งลั่วชิงยวนช่วยประคองซูเซียงให้นอนลง ก่อนกล่าวว่า “เจ้าถอดอาภรณ์ออกก่อน ผึ่งให้แห้งแล้วค่อยใส่เถิด”ซูเซียงถอดอาภรณ์ออกอย่างยากลำบาก ลั่วชิงยวนส่งยาให้นางพลางกล่าวว่า “โอสถนี้ช่วยขับไล่ความหนาวเย็นได้”“ที่นี่ไม่มีสมุนไพรอื่น เจ้าจะทนได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนมองซูเซียงด้วยความเป็นห่วงซูเซียงพยักหน้า“ข้าทนได้”ใบหน้าของซูเซียงซีดเผือด เห็นได้ชัดว่านางใกล้จะหมดแรงแล้ว ความอดทนของนางช่างน่าชื่นชม“สภาพแวดล้อมบนเขาลูกนี้ยากลำบาก มีอันตรายมากเกินไป ลูกในครรภ์ของเจ้าอาจมิรอด” ลั่วชิงยวนจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้รู้ล่วงหน้าเนื่องจากเมื่อครู่ต้องหลบหนีอยู่นาน ทั้งยังลงไปในแม่น้ำ เป็นการใช้กำลังมาก แม้แต่คนทั่วไปก็ยังเหนื่อยล้า นับประสาอะไรกับซูเซียงแต่ซูเซียงกลับหัวเราะเบา ๆ ทั้งน้ำตา “ข้ารู้”“แต่ว่า… หากลูกคนนี้มิอยู่แล้วก็มิเป็นอะไรหรอก”ลั่วช
เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวนและคนใบ้ที่ทางเข้าบ่อน้ำพุร้อนแล้วในยามนี้ถูหมิงกลับเกรงว่าพวกเขาจะหนีไป“แล้วจะมัวพูดอะไรกันอีก ข้ามแม่น้ำเสียสิ”ลั่วชิงยวนหันไปสบตากับคนใบ้ “ข้าจะไปทดสอบความลึกของน้ำก่อน”แต่คนใบ้กลับดึงนางไว้จากนั้นก็หยิบโซ่เหล็กยาวออกมาจากกระเป๋าด้านหลังลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยนี่คือโซ่เหล็กที่ใช้สังหารฝูเหมิ่งในคราวนั้น มิคาดคิดว่าเขาจะพกติดตัวมาด้วยคนใบ้ขว้างโซ่เหล็กไปที่ฝั่งตรงข้าม โซ่เหล็กพันเข้ากับต้นไม้ เขาออกแรงดึงเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงเขาผูกปลายอีกด้านหนึ่งไว้กับลำต้นไม้แล้วส่งให้ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนลงน้ำคนแรก ขณะดึงโซ่เหล็กว่ายไปยังฝั่งตรงข้ามลั่วชิงยวนดำลงไปดู พบว่าน้ำลึกมาก ต้องว่ายน้ำข้ามไปเท่านั้นนางขึ้นฝั่งได้อย่างราบรื่นจากนั้นคนใบ้ก็ข้ามตามไปถัดมาคือถูหมิงและคนอื่น ๆแต่เมื่อถึงคราวฉีเสวี่ยเวยและซูเซียงก็มีงูฝูงใหญ่ปรากฏตัวบนกองหญ้าด้านหลังพวกนางแล้วพวกมันกำลังไล่ตามมา“งูมาแล้ว! รีบข้ามแม่น้ำเร็วเข้า พวกเจ้าสองคนข้ามไปด้วยกัน!” ถูหมิงร้องฉีเสวี่ยเวยและซูเซียงลงน้ำอย่างกระวนกระวายแต่ฉี
ลั่วชิงยวนหยิบผงไล่งูขวดหนึ่งออกมาทาตัวนางและคนใบ้จากนั้นก็ออกเดินทางต่อเส้นทางขึ้นเขาลำบากมาก พวกเขาจึงมิได้รีบร้อนขึ้นไป หากมีอันตรายใดก็ให้คนของถูหมิงไปสำรวจเสียก่อนหลังจากเดินมาไกลพอสมควร เมื่อเดินผ่านดงหญ้าหนาทึบในป่า ทันใดนั้นก็มีมือซีดขาวยื่นออกมาจากดงหญ้าลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบในดงหญ้ามีชายผู้หนึ่งที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด บาดแผลทั้งหมดเกิดจากการถูกงูกัด แทบไม่มีส่วนใดดีเหลืออยู่เลยเมื่อเห็นว่ายังมีลมหายใจแผ่วเบา ทั้งสองก็ช่วยกันลากชายคนนั้นออกมาจากดงหญ้าแต่เมื่อพลิกร่างมาด้านหน้าเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนั้น ลั่วชิงยวนก็ใจหายวาบ“จวี้ซาน!”แต่ชายคนนั้นหมดสติไปแล้ว ลมหายใจรวยรินเต็มที ริมฝีปากดำคล้ำ มีเลือดไหลซึมออกมาจากปากจมูกและหูประสาทสัมผัสทั้งห้าแตกดับหมดแล้วลั่วชิงยวนร้อนใจ รีบหยิบขวดยาออกมา “เจ้าอดทนไว้ก่อน!”ในขณะที่นางยัดยาถอนพิษเข้าไปในปากของจวี้ซานในชั่วขณะนั้น จวี้ซานก็หยุดหายใจลั่วชิงยวนชะงักนี่คือหนึ่งในสิบวายร้าย จวี้ซานเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าจะมาถึงสถานที่ที่มีแต่งูเร็วกว่าพวกนางนั่
ฉีเสวี่ยเวยกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าเองก็มิรู้ว่านางกล่าวเช่นนั้นหมายถึงอะไรกันแน่”ถูหมิงขมวดคิ้ว คิดว่าคนที่เข้าไปข้างในต้องตายเป็นแน่จากนั้นก็มองไปยังฉีเสวี่ยเวยด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อถึงยามโพล้เพล้ เจ้าต้องเข้าไปเป็นคนแรก!”ฉีเสวี่ยเวยตกใจจนเบิกตากว้างในป่าที่อยู่มิไกล ลั่วชิงยวนมองดูอย่างเงียบเชียบ ฉีเสวี่ยเวยคงมิคาดคิดว่าตนจะกลายเป็นผู้ที่ต้องเข้าไปสำรวจเส้นทางเป็นรายต่อไปเหตุผลที่นางปล่อยให้ฉีเสวี่ยเวยบอกเรื่องนี้แก่ถูหมิง เพราะเมื่อถึงยามโพล้เพล้ เส้นทางนี้ก็มิใช่ว่าจะเดินได้ง่ายด้านหลังดงหนามอาจยังมีอันตรายรออยู่อีกก็เป็นได้ให้ฉีเสวี่ยเวยและคนอื่น ๆ ไปสำรวจเส้นทางเสียก็ดีกลุ่มคนเฝ้ารออยู่ที่เดิม รอคอยให้ยามโพล้เพล้มาเยือนส่วนลั่วชิงยวนและคนใบ้ที่อยู่ในดงหนามก็ค่อนข้างลำบาก พวกเขาเองก็มิสามารถเคลื่อนไหวได้และรู้สึกมิสบายตัวมากในที่สุด ตะวันก็ตกดินริ้วแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้วาดเป็นเส้นโค้งอีกครั้งดังที่คาดไว้“บัดนี้ถึงเวลาหรือยัง?” ถูหมิงถามฉีเสวี่ยเวยพยักหน้า “น่าจะถึงแล้ว”“เช่นนั้นเจ้าเดินไปข้างหน้า หากปลอดภัยก็ส่งเสียงออกมา!” ถูหมิงคว้าตัวฉีเสวี่ยเวย แล้วผล
เมื่อฟังจากเสียงฝีเท้าแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสตรีแต่ก็มิใช่ซูเซียงซูเซียงกำลังตั้งครรภ์ ส่วนคนผู้นี้มีฝีเท้าเบากว่าลั่วชิงยวนใจเต้นระรัวฉีเสวี่ยเวย!ในขณะที่คิดอยู่นั้น กลิ่นอายสังหารพลันแผ่ซ่านเข้ามาลั่วชิงยวนลืมตาโพลงก็เห็นกริชพุ่งตรงมาที่คอนางแต่ในขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะลงมือ กลับมีมือหนึ่งจับมือนางไว้เสียก่อนฉีเสวี่ยเวยตกตะลึงเพราะพวกเขาอีกครั้ง“พวกเจ้าเสแสร้งอีกแล้ว!”มิได้สลบ!ทั้งยังมิได้ถูกมัดด้วยฉีเสวี่ยเวยตระหนักได้ว่าต้องเป็นฝีมือของซูเซียง ในใจนางแอบด่าซูเซียงว่าเป็นคนสารเลวที่ทำลายแผนการของนางฉีเสวี่ยเวยมิกล้าลงมือต่อ รีบทิ้งกริชแล้ววิ่งตรงไปยังนอกห้องคนใบ้พลิกตัวลุกขึ้น รีบไล่ตามไปลั่วชิงยวนก็รีบตามไปเช่นกันแต่คาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะมีวรยุทธ์มิเลว นางหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอยทันทีเมื่อลั่วชิงยวนตามไปก็มิเห็นแม้แต่เงาของฉีเสวี่ยเวยแล้วแม้แต่คนใบ้ก็หยุดฝีเท้าลงลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากนางไปฟ้องถูหมิง ซูเซียงอาจเป็นอันตราย”“ไปเถิด พวกเราก็ไปที่นั่นด้วย”จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำพุร้อนเมื่อไปถึง ฉีเสวี่ยเวย