หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบ ทว่าหาได้มีทางหลบได้ไม่ เงาดำหลายร่างจับร่างจองนางเหวี่ยงไปมาร่างของนางราวกับใบไม้ที่ถูกลมพัดปลิวไปมา ชนกำแพง ชนประตู ชนต้นไม้จนเลือดไหลออกมาดูน่าเวทนายิ่งนักมีคนหลายคนยืนดูความเคลื่อนไหวในเรือนจากในที่มืดระยะไกล แล้วต่างหัวเราะอย่างพึงพอใจ“คิดว่าจะเก่งแค่ไหนกันเชียว กล้ามาท้าทายจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดารา สุดท้ายก็ได้แค่นี้”“ความจริงนางก็มิได้เก่งหรอก มิรู้ว่าปราบสิบวายร้ายได้อย่างไร”“ส่งไปอีกสองตัว! ทรมานอีกสักรอบ อีกสองวันข้างหน้าเมื่อไปหอรักษ์ดารา นางอาจจะยอมแพ้ไป!”พูดจบ พวกเขาก็เปิดกล่องที่ผนึกด้วยยันต์แปดทิศ และกระดาษยันต์หนึ่งแผ่นก็เริ่มควบคุมสิ่งของในกล่องให้บินออกมาทันใดนั้นก็มีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาเตะกล่องคว่ำสิ่งที่พุ่งออกมาทันทีนั้นส่งเสียงคำรามอันน่าสยดสยอง ทำให้หลายคนตกใจพลันรีบถอยหลังหลบกันไป“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึไร!” หลายคนรีบลุกขึ้นตะโกนใส่อวี๋โหรวที่เตะกล่องคว่ำพวกเขาลุกขึ้นยืน ทุกคนตัวสูงกว่าอวี๋โหรวยิ่งทำให้อวี๋โหรวดูตัวเล็กดูน่ารังแกแต่อวี๋โหรวกลับมองพวกเขาด้วยแววตาเย็นชา “พอได้แล้ว!”“หากทำให้นางตาย ข้าจะดูว่าเ
เวินซินถงเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา เซี่ยหลิงรีบตามหลังไป“ซินถง เจ้าโกรธหรือ?” เซี่ยหลิงรีบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าก็มินึกว่าจะเป็นเช่นนี้”ในที่สุดเวินซินถงก็ทนมิไหว พลันหยุดเดิน“เจ้ามาพูดกับข้าจะมีประโยชน์อันใด? จะแก้ไขอย่างไร เจ้าก็ไปคิดเอง” เวินซินถงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชากล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปเซี่ยหลิงร้อนใจ รีบตามไปด้วยความกังวล “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องโกรธ เจ้าสบายใจได้ ข้าจะมิยอมให้นางคุกคามตำแหน่งของเจ้า!”“ข้าเคยบอกแล้วว่าจะช่วยให้เจ้าได้ครองตำแหน่งนักบวชระดับสูง คำสัญญานี้จะคงอยู่จนกว่าชีวิตจะหาไม่”เซี่ยหลิงแสดงท่าทีจริงจังแต่เวินซินถงกลับขมวดคิ้ว “นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ข้ามิสนใจ”“อย่าคิดว่าช่วยข้าแล้ว ข้าจะสำนึกบุญคุณ เจ้าอย่าหวังจะได้อะไรจากข้า นี่คือสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก”“ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าก็ให้มิได้”เวินซินถงแวบมองเซี่ยหลิงด้วยแววตาลึกซึ้ง“อย่าตามข้ามา ข้ามิชอบ” กล่าวจบ เวินซินถงก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วเซี่ยหลิงมิได้ตามไป ได้แต่มองแผ่นหลังของเวินซินถงด้วยความเศร้าใจ......ลั่วชิงยวนพักผ่อนในห้องหนึ่งวันถึ
แม้แต่นักทำนายก็มิสามารถทำนายเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกลั่วชิงยวนท้าทาย จั๋วฉ่างตงจึงทำอะไรมิถูกไปชั่วขณะ แรงกดดันหายไปหมด“เจ้ารอได้เลย!” จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางอย่างดุดัน แล้วหันหลังเดินจากไปคนอื่น ๆ ก็เดินออกไปด้วยทุกคนต่างรู้สึกสับสน“ช่างแปลกประหลาด เหตุใดนางจึงรู้ทุกอย่าง? บนใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดเก่งกาจปานนั้นกระมัง? มิต้องทำนายก็รู้แล้วน่ะหรือ?”“ใครจะรู้ ดูท่าทางอ่อนแอของนาง มิรู้ว่าสามวันหลังจะเป็นเช่นไร รอดูเรื่องสนุกกันดีกว่า”หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ลั่วชิงยวนก็พยายามพยุงตัวเองเดินเข้าไปในเรือนเมื่อเข้าไปในเรือน ลั่วชิงยวนก็ทนมิไหว พลันทรุดตัวลงกับพื้นนางเป็นฝ่ายท้าทาย กำหนดวันประลองคืออีกสามวัน นางจึงมีเวลาพักสามวันหากให้ประลองตอนนี้ ร่างกายของนางคงทนมิไหวเมื่อนางพักผ่อนได้สักพักแล้ว ก็พยายามลุกขึ้นไปปิดประตูทันใดนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ขวางนางไว้เมื่อเห็นผู้มาเยือน ลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อยอวี๋โหรวถือขวดยามายื่นให้นางอวี๋โหรวเตี้ยกว่านาง ตัวเล็ก หน้าตาน่ารักอ่อนโยน“รับไปเถิด ข้าจะมิทำร้ายเจ้า”“ข้ารู้” ลั่วชิง
ลั่วชิงยวนมองทุกคนด้วยแววตาเย็นชา ถึงแม้ภายนอกจะดูอ่อนแอ แต่แววตากลับดุร้ายราวกับสัตว์ป่าทำให้ทุกคนใจกระตุกเริ่มรู้สึกหวาดกลัวจั๋วฉ่างตงจ้องมองนาง “เจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ ข้ามิเชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าฆ่าคนที่นี่!”“เจ้าอยากลองดูรึ?” ลั่วชิงยวนออกแรงบีบ บีบจนจั๋วฉ่างตงหายใจมิออก ดิ้นรนสุดกำลังอย่างสิ้นหวังตอนนี้ลั่วชิงยวนใช้พลังทั้งหมดที่มี ร่างกายอ่อนแอ แต่ยังพยายามฝืนไว้บุรุษที่สั่งให้ตีนางเอ่ยขึ้น “ลั่วชิงยวน อย่าคิดว่าเจ้าถูกเลือกเข้ามาเป็นกรณีพิเศษแล้วจะมีอภิสิทธิ์”“หากเจ้ากล้าทำร้ายนาง ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างไร้ที่ฝัง”ลั่วชิงยวนหันไปมองคนพูดแล้วยกยิ้มเย้ยหยัน “แน่นอนว่าข้ามีอภิสิทธิ์มากกว่าคนไร้ค่าเช่นเจ้า”รอยยิ้มและแววตาที่ดูถูกเหยียดหยามนั้น ทำให้เซี่ยหลิงรู้สึกกระทบอย่างแรง เขาจ้องมองลั่วชิงยวนด้วยความโกรธ“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”ลั่วชิงยวนมิกลัวการข่มขู่ ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อายุยี่สิบแปดแล้ว ยังเป็นแค่นักบวชชั้นผู้น้อย”“หากเจ้ามิใช่คนไร้ค่าแล้วคืออะไรเล่า?”สิ้นคำนั้น คนรอบข้างก็กลืนน้ำลายด้วยความประหม่าพูดเช่นนี้ได้หรือ?อายุเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสำนักนั
โฉวสือชีเป็นห่วง จึงรีบขึ้นหลังม้าไปหาสมุนไพรเมื่อตื่นขึ้นมา ลั่วชิงยวนอยู่บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้าวังหลวงบนรถม้ามีเพียงนางผู้เดียวหน้าอกยังคงเจ็บปวด นางพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งแล้วเปิดม่านถามสารถี “ใครสั่ง?”“แม่ทัพเฉินชีขอรับ”เดิมทีลั่วชิงยวนอยากให้สารถีหยุดรถม้า แต่มินานก็เข้าวังหลวงแล้วจึงมิทันนางนั่งสมาธิปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดจึงบรรเทาลงบ้างนางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่สลบไปเหตุใดเฉินชีจึงส่งนางเข้าวังที่อยู่ของสำนักนักบวชก็อยู่ในวัง เพียงแต่ที่ตั้งค่อนข้างห่างไกลและพื้นที่กว้างขวาง ปกติแล้วคนในวังจะมิไปที่นั่นหลังจากที่สารถีส่งนางเข้าวังแล้ว นางก็ลงจากรถม้าแล้วเดินต่อไปอีกไกลร่างกายและจิตใจอ่อนล้า อยากจะพักผ่อนให้เพียงพอเมื่อผลักประตูเข้าไป แล้วเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจประตูห้องเปิดกว้างข้าวของเครื่องใช้ของนางถูกโยนออกมากองระเกะระกะเต็มลานไปหมดหลังจากที่เลือกเรือนนี้ในวันนั้น นางก็ออกจากวังและมิได้มาหลายวัน และกลับกลายเป็นเช่นนี้ทันใดนั้น ก็มีจิตสังหารพุ่งมาจากด้านหลังลั่วชิงยวนรีบหันกลับไป เห็นตาข่ายขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาคลุมตัวนางไ
“เขามีค่าพอหรือ?”“เขามิคู่ควรได้รับความรักจากเจ้า!”“เขานึกว่าฉายามัจจุราชอำมหิตของข้าได้มาเปล่า ๆ หรือไร? แล้วเหตุใดข้าจึงต้องคืนเจ้าให้เขาด้วย?”“มาถึงจุดจบเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเขาทำตัวเอง”เฉินชียิ้มอย่างผู้มีชัย มิเสียใจกับสิ่งที่ทำ ยังรู้สึกดีใจที่สังหารได้รวดเร็วมิเช่นนั้นหากลั่วชิงยวนมาขวางเสียก่อน คงมิได้สังหารเขาเป็นแน่“หุบปาก!” ลั่วชิงยวนรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ความรู้สึกที่ซับซ้อนถาโถมจนทำให้นางรู้สึกอึดอัดลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ส่งศพเขากลับไป!”เฉินชียกยิ้มมุมปาก “ได้”ลั่วชิงยวนเสียใจมาก เสียใจที่มิได้บอกเฉินชีว่ามิให้เขาฆ่าฟู่เฉินหวนนางเองก็มินึกว่าฟู่เฉินหวนจะมาที่แคว้นหลีเพื่อตามหานางถึงแม้ว่าจะตัดสินใจมิหันหลังกลับไปแล้ว แต่นางก็มิเคยคิดว่าเขาจะตายเมื่อออกจากป่า ลั่วชิงยวนใช้มือยันต้นไม้ พลันกระอักเลือดออกมาคำโต“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่!” โฉวสือชีตกใจ รีบเข้าไปพยุงนางลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปากออก แล้วหันกลับไปมอง เห็นทหารแบกศพออกไปแต่ลั่วชิงยวนมิกล้ามองต่อแล้วหัวใจเจ็บปวด น้ำตาไหลอาบแก้มนางกำมือแน่น พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เฉินชี
โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนชายกระโปรงของลั่วชิงยวนในพริบตาร่างไร้วิญญาณบนพื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด เนื้อหนังปะปนจนแยกมิออก อนาถเกินกว่าจะมองภาพตรงหน้าของลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน นางเจ็บแปลบที่อก ความโกรธแค้นเต็มอกทำให้นางพลันชักกระบี่ออกมาอย่างแรงแล้วชี้ไปที่เฉินชีด้วยความดุดันเฉินชีมองนางด้วยแววตาที่ซับซ้อน นัยน์ตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและความก้าวร้าว เขาหัวเราะออกมา“ไยเล่า? เจ้ายังคงปวดใจอีกรึ? มิใช่ว่าตัดใจแล้วรึ?”“มิใช่ว่าตัดขาดกับเขาแล้วหรือไร?”“เหตุใดจึงโกรธเช่นนี้? มิกล้ามองแม้แต่ศพของเขาเลยงั้นรึ?”ทันใดนั้น เฉินชีใช้มือคว้าใบมีดที่คมกริบเดินเข้าหานางโลหิตไหลลงตามข้อมือของเขาลั่วชิงยวนจ้องมองเขาด้วยแววตาดุดัน นางดึงกระบี่ออกมาแทงเข้าที่หน้าอกของเฉินชีอย่างแรงแล้วตะโกนด้วยความโกรธ “ข้าเกลียดเขา ข้าจะฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง! ใครใช้ให้เจ้ามายุ่ง!”เฉินชีตกใจ มองนางด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือ?”ทันใดนั้น เฉินชีก็คุกเข่าลงแต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “เรื่
นางรีบเข้าไปดูเฉินชีในชุดเกราะเดินมาหานางอย่างองอาจ บนใบหน้ามีรอยยิ้มหยิ่งผยองเขาเดินเข้ามาหมายจะกอดนาง “คิดถึงข้าหรือ?”ยังมิทันได้สัมผัสลั่วชิงยวน มือของลั่วชิงยวนก็ยันหน้าอกของเขาไว้นางมองเฉินชีด้วยแววตาเย็นชา “ฟู่เฉินหวนอยู่ที่ใด?”เฉินชีเลิกคิ้ว “ที่แท้เจ้ามาเพราะเขา ข้าจะพาเจ้าไปดูเขาเอง”ในป่าเงียบสงัดลั่วชิงยวนเดินตามเฉินชี เดินผ่านต้นไม้ใบหญ้า หัวใจนางเต้นระรัวมือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อมิรู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกกลัวผลลัพธ์ยังมิทันได้ยินเสียงของฟู่เฉินหวน เฉินชีก็หยุดเดินเขาหลีกทางให้ แล้วโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูนางด้วยรอยยิ้ม“ดูสิ เขาอยู่ตรงนี้”“อาเหลา ข้าแก้แค้นให้เจ้าแล้ว”ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือฟู่เฉินหวนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเลือดท่วมกาย ไร้ซึ่งลมหายใจบนร่างกายและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยจากคมดาบแต่ยังคงจำได้ว่านั่นคือฟู่เฉินหวน!ในชั่วขณะนั้น ลั่วชิงยวนราวกับถูกบีบคอ นางหายใจมิออกจนแทบจะยืนมิอยู่เขาตายแล้วเขาตายแล้วหรือ?!เขาจะตายได้อย่างไรลั่วชิงยวนตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า นางมองศพนั้นด้วยดวงตาแดงก่ำเฉินชีจงใจเข้ามาใกล้นาง “อาเหลา ข้าแก้แ
แต่เขามิได้อยากฆ่าลั่วชิงยวน คนที่มีความสามารถเช่นนี้ หากสามารถใช้งานได้ก็สามารถลบล้างคำครหาที่ว่าเขามีพรสวรรค์ธรรมดาได้เก่งกาจด้วยตัวเองอาจจะมิได้ยิ่งใหญ่เสมอไปทว่าหากสามารถปราบคนที่เก่งกว่าสิบเท่า ร้อยเท่าได้ นั่นแหละที่น่าเกรงขาม!เหมือนกับลั่วชิงยวน!“ได้ ข้าจะหาวิธี” ฉินอี้ตอบรับอย่างใจเย็น......เพื่อหายา ลั่วชิงยวนจึงพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงหลายวันแล้วให้สิบวายร้ายไปตามหาบัวถวายตามโรงหมอและร้านโอสถแต่สุดท้ายก็มิพบโฉวสือชีกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้สมุนไพรชนิดนี้หาได้มิยาก แต่ช่วงนี้มิรู้ว่าเป็นอะไร หาบัวถวายมิได้เลย”“ตามหาไปทั่วก็ไม่มีใครมี จะขโมยก็ไม่มีที่ให้ขโมย”โฉวสือชีรู้สึกจนปัญญาเป็นครั้งแรกลั่วชิงยวนมีสีหน้าเคร่งขรึม เหตุใดจู่ ๆ บัวถวายจึงหายากขึ้นมา“ถามโรงหมอและร้านโอสถหรือยังว่าเมื่อใดจะมีมาขาย?”โฉวสือชีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถามแล้ว แต่พวกเขาก็บอกว่าไม่มี มิรู้ว่าเมื่อใดจะมี”“แต่ข้าดูแล้ว ตอนนี้คงจะหายาก”“ถึงมี ก็คงไม่มีใครยอมขาย”ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะไอออกมา “แค่กแค่กแค่กแค่ก...”“ดูเหมือนว่าร่างกายของเจ้าจะแย่ลงแล้ว” โฉวสือชีมองนางด