จิ่งโม่เยี่ยคุ้นชินกับเจ้าอาวาสแบบนี้แล้ว จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “งั้นก็ลองดูเถอะ”หัวหน้าศาล “......”เขาคิดว่าวันนี้มันจะเกิดเรื่องบังเอิญมากเกินไปไหม พูดถึงเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็มาในใจเขาเริ่มกระวนกระวาย การตายของมารดาแซ่เฉิน เกิดจากการที่เขาแสร้งปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่งถึงเขากับหลินชูเจิ้งจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก แต่เมื่อคืนคนจวนสกุลหลินมาพร้อมทรัพย์สินจำนวนมาก เขาก็เลยยอมไว้หน้าให้หลินชูเจิ้งด้วยความเต็มใจเพราะว่าช่วงหลายปีมานี้ หลินชูเจิ้งเลื่อนตำแหน่งขุนนางได้รวดเร็วมาก แล้วเขาก็มีชื่อเสียงในเมืองหลวงด้วยประกอบกับหัวหน้าเลขากรมคลังอายุมากแล้ว หากถอนตัวจากตำแหน่ง หลินชูเจิ้งก็มีโอกาสรับตำแหน่งหัวหน้าเลขากรมคลังต่อมากที่สุดคนแบบนี้ หัวหน้าศาลไม่อยากจะล่วงเกินหรอกตอนแรกเขาคิดว่าพอมารดาแซ่เฉินตายไป เขาก็แค่ขอโทษขอโพยกับจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อย เรื่องทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้ได้หัวหน้าศาลไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ แต่เจ้าอาวาสมาถึงที่นี่แล้ว เขาจะปฏิเสธก็คงไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านเจ้าอาวาสแล้ว”เจ้าอาวาสประกาศฉายาทางศาสนา ก่อนจะกล่าวอย่าง
นางจ้องเขา “วรยุทธ์ของเจ้าไม่ได้เรื่องสักนิด เขียนยันต์ก็ทำได้ไม่ดี ตอนนี้ยังเรียกวิญญาณไม่เป็นอีก เจ้าขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไรเนี่ย?”เจ้าอาวาสตอบ “เจ้าไม่คิดบ้างหรือ ไม่ใช่ข้าฝีมือไม่ได้เรื่อง แต่พระลูกวัดทั้งหมดในอารามก็ฝีมือย่ำแย่กันหมด”“ข้าถือว่ามีพรสวรรค์กว่าพวกเขาทุกคน ต่อมาฝีมือในทุกๆ ด้านก็เหนือกว่าพวกเขา ก็เลยได้เป็นเจ้าอาวาสของอาราม”เฟิ่งชูอิ่ง “......”พอนางได้ยินเขาพูดอะไรแบบนี้ นางก็ถึงกับพูดไม่ออกนางถามว่า “แล้วปกติตอนอยู่ในอารามเจ้าทำอะไร? ทำอย่างไรให้คนที่เหลือยอมรับ?”เจ้าอาวาสตอบ “ข้าไม่ค่อยสนใจการตามจับวิญญาณร้าย ข้าแค่ชอบช่วยคนขับไล่สิ่งชั่วร้ายเพิ่มความสิริมงคล“ปกติข้าก็จะทำพิธี สวดมนต์ ประกอบกับยันต์คุ้มครองของข้าได้ผลดีมิเลว ในเมืองหลวงมีคนต้องการยันต์คุ้มครองของข้าเยอะมาก”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางลองนึกถึงฝีมือของบรรดาพระทั่วไปในวัดอาราม ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าอาวาสยันต์คุ้มครองของเจ้าอาวาสก็ใช้งานได้จริง อาศัยเพียงเรื่องนี้อย่างเดียวก็แกร่งกว่าพระทั่วไปแล้วผลงานด้านอื่นๆ ของเขาค่อนข้างแย่ มีเพียงเรื่องนี้ที่พอจะทำเป็นกลบเกลื่อนเน
เสี้ยวพริบตาที่เนตรทิพย์ของหัวหน้าศาลเปิดออก เขาก็ตกใจจนหงายหลังก้นจ้ำเบ้า เอ่ยด้วยปากที่สั่นระริก “ผี!”เพราะว่ายามนี้มารดาแซ่เฉินกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ปากของนางมีคราบเลือด พึมพำว่า “ข้าตายอย่างน่าอนาถเหลือเกิน!”เขาเป็นคนเห็นมารดาแซ่เฉินขาดใจตายต่อหน้าต่อตา ยามนี้ศพของมารดาแซ่เฉินก็ยังนอนอยู่ที่นี่เขาเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวเจ้าอาวาสประคองเขาขึ้นมา “ใต้เท้าไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ตรงนี้ นางไม่กล้าทำอะไรท่านหรอก”เฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าอยากถามว่าใครเป็นคนฆ่ามารดาแซ่เฉินมิใช่หรือ?”“ตอนนี้วิญญาณของนางอยู่ตรงหน้าแล้ว ใต้เท้าเชิญถามเลยเจ้าค่ะ”หัวหน้าศาลไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องถึงได้มีท่าทีสงบนิ่งนัก แบบนี้เขาก็กลายเป็นตัวตลกที่ไม่เคยพบเห็นโลกกว้างมาก่อนน่ะสิเขาบ่นพึมพำว่า “ข้างหน้านี้เป็นแค่ภาพลวงตา ภาพลวงตา!”เขาหลับตาลงราวกับต้องการตัดขาดกับทุกสิ่ง เขาหวังว่าตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มารดาแซ่เฉินจะหายไปจากครรลองสายตาของเขาแต่ช่างน่าเสียดาย ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มารดาแซ่เฉินยังไม่ได้หายไปไหน แล้วยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาอีกด้วยเขาแหก
หัวหน้าศาลรีบร้อนกล่าว “ได้ยิน ได้ยินแล้ว!”เฟิ่งชูอิ่งจึงใช้น้ำเสียงเห็นอกเห็นใจกล่าวว่า “เจ้าจะทำเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน?“เจ้ามาทำร้ายข้าแบบนี้ แต่กลับต้องเสียชีวิตของตัวเองไป”พอได้ยินแบบนั้นมารดาแซ่เฉินก็ตัวสั่น นางนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “เป็นฮวาซื่อ!“เมื่อคืนฮวาซื่อส่งคนมาสังหารข้าปิดปาก นางเป็นคนฆ่าข้า!”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวเสียงอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ขอให้ใต้เท้าช่วยสืบคดีให้เจ้าเถอะ”มารดาแซ่เฉินหวาดกลัวนางยิ่งกว่าอะไรดี จึงเชื่อฟังที่นางพูดอย่างไม่มีข้อแม้ รีบหมุนตัวกลับไปหาหัวหน้าศาล “ใต้เท้า ได้โปรดคืนความยุติธรรมให้ข้าด้วย!”หัวหน้าศาลที่เริ่มจะปรับตัวได้แล้วจึงพยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนด้วยขาสั่นๆ ก่อนจะหลบหลังเจ้าอาวาส “ข้ารับทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว”“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรมแน่นอน”เฟิ่งชูอิ่งจึงกล่าวกับมารดาแซ่เฉินอย่างอ่อนโยนว่า “ใต้เท้าสัญญากับเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าวางใจเถอะ!”มารดาแซ่เฉินตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว กลัวนางจะใช้กริชทองคำทำให้วิญญาณนางแหลกสลายหัวหน้าศาลรีบเอ่ยว่า “ในเมื่อตอนนี้พวกเราสืบหาคนร้ายได้แล้ว ข้
ฮวาซื่อได้ยินนางเอาแต่พูดถึงมารดาแซ่เฉิน จึงเกิดความหงุดหงิดในใจนางเห็นว่าการเกลี้ยกล่อมเฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ผล จึงคิดจะใช้แผนการที่ตนเองปรึกษากับหลินหว่านถิงตอนนั้นเอง นางก็รู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งสะกิดไหล่ของนาง จึงหันหน้ากลับไปมอง และมองเห็นใบหน้าที่มีเลือดออกจากเจ็ดทวารของมารดาแซ่เฉินพอดีฮวาซื่อมีความผิดติดตัว นางจึงตอบสนองรุนแรงกว่าหัวหน้าศาลมาก กรีดร้องเสียงดังลั่น “เจ้าตายไปแล้วมิใช่หรือ?”มารดาแซ่เฉินตอบ “ข้าตายไปแล้วจริงๆ ที่ข้ากลับมาก็เพื่อจะมาแก้แค้นเจ้าอย่างไรล่ะ!”นางกล่าวจบก็ยื่นนิ้วที่มีเล็บคมกริบออกไป “ฮูหยิน เอาชีวิตข้าคืนมานะ!”ฮวาซื่อกลัวจนฉี่ราด หงายหลังลงไปกองกับพื้น พยายามตะเกียกตะกายหนีในสภาพน่าสังเวช “ไม่ใช่ข้า เจ้ามาหาผิดคนแล้ว! ช่วยด้วย!”มารดาแซ่เฉินโผล่ไปตรงหน้านาง “เมื่อคืนข้าจำบ่าวหญิงคนที่เอาของกินมาให้ข้าได้ นางเป็นคนใช้ของจวนสกุลหลิน“หากไม่ใช่คำสั่งของเจ้า แล้วจะเป็นคำสั่งของใครล่ะ?”ฮวาซื่อร้อนรนจนหลุดปากว่า “เฟิ่งชูอิ่ง! เจ้าจะโทษก็ไปโทษเฟิ่งชูอิ่งโน่น!“หากนางไม่ส่งตัวเจ้ามาที่ศาลไต่สวนข้าก็คงจะไม่ต้องลงมือกับเจ้าแบบนี้หรอก!“ดังนั้นคนร้ายตัวจริงที่ทำ
ตอนนี้ด้านนอกยังเป็นตอนกลางวัน มารดาแซ่เฉินไม่ใช่เฉี่ยวหลิง นางไม่อาจทนแสงแดดอันร้อนแรงได้ จึงถอยกลับเข้ามาด้านในเฟิ่งชูอิ่งจึงบอกมารดาแซ่เฉินว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าทำได้ดีมาก รักษามาตรฐานเอาไว้ล่ะ”“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ก่อนเจ้าจะไปเกิดใหม่ อย่าลืมแวะไปทักทายนางทุกคืนก็แล้วกัน”มารดาแซ่เฉินตอบ “เจ้าค่ะ”เฟิ่งชูอิ่งจึงกล่าวต่อว่า “ทางที่ดีเจ้าอย่าคิดจะกลับคำพูดดีกว่านะ เพราะวันนี้ข้าสามารถอัญเชิญเจ้ามาได้ หลังจากนี้ไปข้าก็สามารถเรียกเจ้าออกมาได้ตลอดเวลา“หากเจ้าไม่ยอมทำตามที่ข้าบอก ข้าก็มีวิธีมากมายที่จะทำให้เจ้าตายซ้ำๆ ได้”มารดาแซ่เฉินตัวสั่นงันงก “มิกล้า หลังจากนี้ไปข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”เฟิ่งชูอิ่งโบกมือเบาๆ “เจ้าไปได้แล้ว”มารดาแซ่เฉินเหมือนนักโทษที่แหกคุกสำเร็จ รีบมุดดินหนีไปอย่างรวดเร็วเจ้าอาวาสเอ่ยด้วยท่าทางปลงตก “สมแล้วที่เป็นอาจารย์ของข้า ท่านควบคุมวิญญาณได้อยู่หมัดเลย”เฟิ่งชูอิ่งหันไปยิ้มหวานให้เขา “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? วันนี้คนที่อัญเชิญมารดาแซ่เฉินมาคือเจ้าต่างหากล่ะ ข้าไม่เกี่ยวด้วยสักนิด”เจ้าอาวาสได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะแห้งๆ จิ่งโม่เยี่ยเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเจ้าอ
ฮวาซื่อเห็นจิ่งสือเฟิง นางก็เข้าใจทันที่ว่าเขาเป็นทัพเสริมที่หลินหว่านถิงส่งมาช่วยนางเรื่องที่นางวางยาพิษฆ่ามารดาแซ่เฉินก็เป็นแผนของหลินหว่านถิง ตอนนั้นนางคิดว่าเรื่องนี้เสี่ยงเกินไป จึงยังแอบกังวลอยู่แต่หลินหว่านถิงกลับบอกให้นางมาอาละวาดที่ศาลไต่สวน เดี๋ยวนางจะเก็บกวาดให้เองพอฮวาซื่อเห็นจิ่งสือเฟิงปรากฎตัวออกมา นางก็พลันโล่งใจทันทีนางฟูมฟายแล้วฟ้องกับจิ่งสือเฟิงว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องเฉิน เพียงแต่เฟิ่งชูอิ่งยามนี้มีท่านอ๋องฉู่หนุนหลัง“ท่านอ๋องกับอ๋องฉู่เป็นพี่น้องกัน พอเป็นแบบนี้แล้ว ข้ากลัวว่าจะทำให้ท่านอ๋องลำบากใจ”จิ่งสือเฟิงกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “โอรสสวรรค์ทำผิดมีโทษเท่าประชาชน อีกอย่างเฟิ่งชูอิ่งก็ยังไม่ได้แต่งเข้าราชวงศ์“หากน้องสามทำตัวไม่สนกฎหมายบ้านเมืองเช่นนี้ ข้าที่เป็นพี่ชายก็สมควรจะสั่งสอนเขาให้รู้สำนึกบ้าง”ชาวบ้านที่มุงดูอยู่รอบๆ จึงเอ่ยชื่นชมเขาสารพัด บอกว่าเขามีความยุติธรรมในตอนนั้นเอง เฟิ่งชูอิ่งกับจิ่งโม่เยี่ยก็เดินออกมาจากด้านในเมื่อชาวบ้านเห็นพวกเขาก็พากันชี้นิ้วต่อว่า ตอนแรกนางยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอลองฟังดูดีๆ แล้วถึงได้รู้ว่าฮวาซื่อวางแผนสร้า
ฮวาซื่อสีหน้าหมองคล้ำ นางถลึงตาใส่เฟิ่งชูอิ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้า...เจ้าจะยั่วโมโหข้าให้ตายเลยหรือไง!”ตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่าจะต้องพูดอะไรดีทั้งที่เฟิ่งชูอิ่งยอมรับว่าเป็นคนทำร้ายนางแท้ๆ แต่วิธีการสารภาพผิดของเฟิ่งชูอิ่งมันมีปัญหา เพราะมันยิ่งทำให้เรื่องที่นางรังแกเฟิ่งชูอิ่งดูน่าเชื่อถือยิ่งกว่าเดิมนางหันมองสีหน้าของชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เป็นอย่างที่คิดเลย สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว!เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยท่าทางหวาดกลัว “ข้า...ข้าไม่ได้จะยั่วโมโหท่านป้านะเจ้าคะ....หาก.....“หากท่านป้าไม่รู้จะระบายโทสะกับใคร ท่านก็มาตบตีข้าเหมือนที่เคยทำดีไหมเจ้าคะ?”ฮวาซื่อ “......” ฮวาซื่อ “!!!!!!”นางรู้ว่าวิธีการที่เฟิ่งชูอิ่งใช้เป็นกลยุทธ์ทั่วไป ที่มักจะพบเจอได้ในการทะเลาะกันเองภายในครอบครัว หากมองให้ลึกซึ้งอีกสักหน่อยก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้นางที่เป็นเหยื่อโจมตีโกรธจนควันออกหูได้อยู่ดีนางโกรธจนอยากจะเงื้อมือตบเฟิ่งชูอิ่งสักฉาด เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริก ยกมือขึ้นกุมศีรษะทว่าไม่กล้าหลบแม้แต่น้อยจิ่งโม่เยี่ยที่อยู่ข้างๆ จึงขวางฮวาซื่อไว้ กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ตอนนี้นางเป็นว่าที
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท