เฟิ่งชูอิ่ง “......”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เจ้าอาวาสไม่ได้เรื่อง จ๋างสื่อของจวนอ๋องก็ไม่ได้เรื่องพอกัน ข้างกายจิ่งโม่เยี่ยไม่มีคนปกติบ้างเลยหรือไง!ไม่สิ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว เอะอะก็คิดแต่จะลวนลามนางอย่างเดียวนางเอ่ยหน้ามืดครึ้ม “ขอบคุณที่เตือน คืนนี้ก่อนนอนข้าจะตรวจสอบหน้าต่างทุกบาน ไม่ปล่อยให้พวกหื่นกามบุกเข้ามาอย่างแน่นอน”กล่าวจบนางก็ผายมือเป็นเชิงบอกให้เขาออกไปฉินจื๋อเจี้ยน “......”ทำไมเหตุการณ์มันถึงดำเนินไปคนละทางกับที่เขาคิดไว้ล่ะเขาตั้งใจจะอธิบายต่อสักสองสามประโยค แต่เฟิ่งชูอิ่งกลับไม่คิดจะฟังสิ่งที่เขาพูดเลย นางดันเขาออกไปด้านนอกโดยตรงตอนนี้นางอยู่ในฐานะผู้ขออาศัย มิฉะนั้นนางจะไม่ใช้มือดันเขาออกไปแบบนั้นหรอก แต่นางจะใช้เท้าถีบเขาออกไปเลยฉินจื๋อเจี้ยนคล้ายอยากจะพูดอะไรต่อ แต่จมูกของเขาเกือบจะโดนประตูฟาดใส่เขาลูบจมูกตัวเองเบาๆ ด้วยท่าทางจนใจ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คิดไปคิดว่าก็รู้สึกว่าพูดออกไปตอนนี้คงจะไม่เหมาะเขาอดบ่นไม่ได้ว่า “ข่าวลือฆ่าคนตายได้จริงๆ ด้วย”ฉินจื๋อเจี้ยนได้ยินข่าวลือว่าเฟิ่งชูอิ่งมีนิสัยอ่อนแอขี้ขลาด เมื่อก่อนเขาก็เลยเชื่อแบบนั้นแต่ห
คำพูดเหล่านั้นคนเฝ้าประตูพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้ม แต่กลับฟาดใบหน้าของหลินชูเจิ้งและฮวาซื่อจนเหมือนโดนตบหลินชูเจิ้งจะดีร้ายก็เป็นถึงขุนนางขั้นที่สามในราชสำนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนเฝ้าประตูเหยียดหยามแต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เขาจึงตัดสินใจอดทน สะกดความหงุดหงิดในใจแล้วเอ่ยว่า “ภรรยาของข้าทำไม่ถูกต้องจริงๆ“ตอนนี้ข้าจึงนำตัวภรรยามาขอขมาต่อท่านอ๋อง หลังจากนี้ไปรับรองว่าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”คนเฝ้าประตูฉีกยิ้มกล่าว “ท่านอ๋องสั่งให้ผู้น้อยถามใต้เท้าหลิน ฮูหยินหลินทำกับคุณหนูเฟิ่งเช่นนี้ ท่านไม่เคยรู้เห็นอะไรสักอย่างจริงหรือ?”หลินชูเจิ้ง “......”คำถามนี้เป็นตัวตัดสินชะตากรรม เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดีคนเฝ้าประตูไม่ต้องการคำตอบของเขา กล่าวต่อว่า “ท่านอ๋องทรงตรัสไว้แล้ว หากใต้เท้าหลินไม่ทราบเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย แปลว่าใต้เท้าหลินเป็นคนเลอะเลือนไร้ความสามารถ“เรื่องที่เกิดภายในจวนของตัวเองแท้ๆ ยังไม่ทราบ ถูกภรรยาชั่วช้าคนหนึ่งปิดหูปิดตา เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากจริงๆ“หากใต้เท้าหลินทราบเรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่กลับไม่คิดถามไถ่ หรือทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง เช
หลินหว่านถิงเอ่ยกับนางว่า “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านแม่จะยอมทำหรือไม่”นางกล่าวจบก็ยื่นไปกระซิบข้างหูของฮวาซื่อสองสามประโยค ฮวาซื่อชะงักเล็กน้อยแล้วมองนางด้วยความตกตะลึงนางเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านแม่เป็นผู้ใหญ่ เฟิ่งชูอิ่งเป็นผู้น้อย เรื่องนี้หากลุกลามใหญ่โตขึ้นมาจริงๆ ท่านแม่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ“อีกอย่างการทำเช่นนี้ ก็เป็นการประกาศจุดยืนของจวนสกุลหลินให้อ๋องเฉินกับฝ่าบาททรงทราบด้วย”ฮวาซื่อโบกมือไปมา “ไม่ไหว ไม่ไหว แบบนั้นมันเสี่ยงเกินไป!”หลินหว่านถิงกล่าวว่า “หากไม่ลองเสี่ยง ท่านแม่จะนั่งคุกเข่าให้ท่านพ่อลงโทษอยู่อย่างนี้หรือเจ้าคะ?“ท่านแม่เคยคิดบ้างไหมว่า ท่านเป็นถึงภรรยาเอกของจวน หากท่านถูกท่านพ่อหักหน้าถึงเพียงนี้ วันหน้าจะดูแลควบคุมจวนอย่างไร?“หากท่านไม่มีกลวิธีที่ร้ายกาจสักหน่อย พวกนังจิ้งจอกที่อยู่ในเรือนหลังของจวนก็จะปีนเหยียบหัวท่านแม่ได้นะเจ้าคะ”หลินชูเจิ้งภายนอกท่าทางภูมิฐาน แต่ความจริงแล้วเป็นพวกมักมากในกามแม้ว่าตอนนี้ในจวนจะมีอนุภรรยาเพียงแค่ห้าคน แต่ยังมีทงฝาง[footnoteRef:1]ที่ไร้ตำแหน่งอีกจำนวนไม่น้อยเลย [1: สาวใช้ที่ได้ปรนนิบัติร่วมหลับนอนกับเจ้านาย] ก่อนหน้านี้ฮวาซื
เขากล่าวแบบนั้นแล้วลืมตาขึ้นมา ใช้มือข้างหนึ่งจับหัวของนางแล้วเอ่ยว่า “หน้าตากับรูปร่างแบบราบของเจ้า ข้าไม่อยากจะมองสักนิดเดียว“วันนี้ข้าก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย เลยอยากจะนอนหลับให้สบาย”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ถึงร่างกายนี้จะผอมไปหน่อย แต่ก็มีส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจนนะนางคิดจะเถียงเขากลับ แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปเพราะตอนนี้นางอยู่ต่อหน้าเขา ถึงจะเถียงชนะไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร อีกอย่างการเอาเรื่องรูปร่างของตัวเองไปเถียงกับผู้ชาย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดสักเท่าไหร่นางสูดหายใจเข้าลึกๆ “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ชอบข้าไม่ลง!”นางเอ่ยจบก็นอนหงายแล้วดึงผ้านวมมาห่ม แต่ดึงยังไงก็ไม่สำเร็จนางจึงหันไปมองเขา พบว่าเขายังนอนตะแคงมองหน้านางอยู่เหมือนเดิม เส้นผมดำขลับของเขากระจายอยู่บนหมอน เขาในตอนนี้ดูอ่อนโยนกว่าปกติหลายส่วนประกอบกับเขามีดวงตาดอกท้อที่งดงามมากตั้งแต่กำเนิด ดวงตาเช่นนี้ขอแค่ไม่แสดงความเย็นชาออกมา ก็จะดูมีเสน่ห์อย่างเหลือล้นเองนัยน์ตาของเขาเป็นสีดำสนิท มองนางด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางพลันรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจิ้งจอกพันปีจ้องมองนางถูกเขาจ้องจนหัวใจเต้นเร็วขึ้นมา จึงตัดสินใจพลิกตัวหั
จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาไม่อยากเดาสักนิด จึงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอเพราะเขารู้ว่านางไม่ใช่ตะเกียงใกล้หมดน้ำมัน นางหาเรื่องเล่นงานคนอื่นเก่งนักแหละตอนนี้เขาตกอยู่ในเงื้อมมือของนางแล้ว ดูจากนิสัยของนาง ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างเฟิ่งชูอิ่งเบียดเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิม “ท่านอ๋องชอบเอาเปรียบข้าทุกครั้งที่มีโอกาส ข้าคิดว่าควรจะต้องเอาเปรียบท่านคืนเสียหน่อย”นางกล่าวจบก็ใช้มือแหวกอาภรณ์ตรงหน้าอกของเขาออก เตรียมจะลูบคลำให้หนำใจ!ทว่าตอนที่แหวกอาภรณ์ออกมานั้น นางกลับเห็นรอยแผลเป็นที่อกข้างซ้ายของเขารอยแผลเป็นนั้นไม่ใหญ่ แต่กลับอยู่ใกล้หัวใจของเขามาก ดูจากอายุของบาดแผลแล้ว นางก็สัมผัสความอันตรายในตอนนั้นได้เลยนางชะงักแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง ทำไมหน้าอกของท่านถึงมีรอยแผลเป็นใหญ่ขนาดนี้ได้ล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของนาง เขาหลับตาไม่พูดอะไรแต่นางกลับไม่ใช่คนใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม นางจึงเท้าเอวแล้วกล่าว “พูดมา ไอ้ลูกเต่าชั่วช้าตัวไหนกันที่ทำท่านบาดเจ็บแบบนี้ ข้าจะไปเชือดมันให้ท่านเอง!”จิ่งโม่เยี่ยคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นห่วงเขาด้วย ภายในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ก่อนจะได้ยินนางเอ่ยว่า “พ
แผลนี้เขาได้มาอย่างไรหรือ? จิ่งโม่เยี่ยไม่อยากนึกถึงมันสักนิด เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เขาไม่มีความสุขอีกอย่างเขาก็ไม่อยากบอกนางตอนนี้ด้วยเขาจึงเอ่ยว่า “เอาไว้ข้าขยับตัวได้เมื่อไหร่ จะต้องเอามีดแทงหน้าอกของเจ้าสักหนึ่งแผล ทีนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าแผลนี้มีที่มาอย่างไร”เฟิ่งชูอิ่งเบะปากเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงมาหอมแก้มเขาทั้งสองข้าง “เอาล่ะๆ อย่าโมโหเลยเพคะ“ก่อนหน้านี้ท่านจับข้า ตอนนี้ข้าก็แค่จับท่านคืนเท่านั้นเอง“ถ้าต่อไปท่านเคารพให้เกียรติข้า ข้าจะไม่กลั่นแกล้งท่านแน่นอน”จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงเย็นชา นางกลัวเขาจะแก้แค้นนางหลังขยับตัวได้ จึงแปะยันต์ใส่เขาอีกหลายแผ่นจิ่งโม่เยี่ย “......”นางแกล้งเขาต่ออีกสักพัก พอรู้สึกว่าการแหย่เขาไม่น่าสนุกแล้ว ก็ดึงผ้านวมขึ้นมาห่มแล้วเตรียมตัวหลับตอนแรกนางเอาผ้านวมไปห่มเองทั้งหมด ตั้งใจจะเอาคืนที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมแบ่งให้แต่หลังจากนางดึงผ้านวมไปแล้วก็หันมองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะเอาผ้านวมมาห่มคลุมให้เขาอีกครั้งจิ่งโม่เยี่ย “......”ถือว่านางยังไม่ไร้มโนธรรมเกินไปเฟิ่งชูอิ่งต้องมีมโนธรรมอยู่แล้วล่ะ ก่อนจะหลับนางยังใช้คาถาสงบจิตกับเขาสองครั้งนางรู
จิ่งโม่เยี่ยก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง เวลาที่ตื่นเช้าขึ้นมา ร่างกายของเขาก็ต้องมีการตอบสนองเหมือนกับผู้ชายทั่วไปเฟิ่งชูอิ่งเบิกตากว้างจนแทบถลน จิ่งโม่เยี่ยเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะมองนางด้วยสายตาเนือยๆ เขาเหลือบมองนางอย่างขี้เกียจ “เมื่อคืนเจ้าเจ้าทำได้เจ็บแสบมากนะ แล้วยังมีหน้ามาให้ข้าเดาอีกว่าเจ้าคิดจะทำอะไรกับข้า“ถ้างั้นตอนนี้เจ้าลองเดาดูบ้างไหม ว่าข้าคิดจะจัดการเจ้าอย่างไร?”เขาเพิ่งจะตื่น เสียงจึงแหบพร่ากว่าในยามปกติ ซึ่งมันแฝงไปด้วยความอันตรายแม้ทั้งสองคนจะเคยนอนหลับเคียงข้างกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งเขาจะจากไปเมื่อรุ่งสางมาเยือนนี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชูอิ่งได้เห็นเขาตอนตื่นนอนนางเพิ่งจะตื่นก็เลยยังสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน นางเอ่ยถามโง่ๆ ว่า “ท่านจะทำอะไรข้าหรือ?”มุมปากของจิ่งโม่เยี่ยจึงยกยิ้มมีเสน่ห์ เขาขยับตัวแล้วกดนางเอาไว้ใต้ร่างอย่างรุนแรงเฟิ่งชูอิ่งคิดจะล้วงหยิบยันต์ใต้หมอนออกมา แต่มือของนางกลับถูกเขายึดเอาไว้ก่อนเขาโน้มตัวลงมาจนปลายจมูกแตะปลายจมูกของนาง ริมฝีปากของเขาก้ำกึ่งจะสัมผัสโดนริมฝีปากของนางกลิ่นอายบุรุษเพศของเขาผสมผสานกับกลิ่นอายดุดันป่าเถื่อน
นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยหม่นแสงลง เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กลั่นแกล้งนางให้ลำบาก เขาสวมอาภรณ์เสร็จก็เดินออกไปพอเขาจากไป เฟิ่งชูอิ่งก็ยกมือลูบหน้าอกตัวเอง เจ้าบุรุษสุนัขเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย รับมือยากเกินไปแล้วนางต้องรีบคลายคำสาปให้เขาโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็หนีจากเขาให้ไกลพอจิ่งโม่เยี่ยออกมาจากห้องของนาง ฉินจื๋อเจี้ยนก็มองเห็นเขาพอดี อีกฝ่ายเดินยิ้มหน้าบานเข้ามาหา “เมื่อคืนท่านอ๋องหลับสบายหรือไม่?”จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่ตอบคำถาม “ทางด้านจวนสกุลหลินตอบสนองอย่างไร?”ฉินจื๋อเจี้ยนเห็นว่ารอยคล้ำใต้ตาของเขาไม่เหลือแล้ว เห็นชัดว่านอนหลับเต็มอิ่มตอนนี้ฉินจื๋อเจี้ยนมั่นใจแล้วว่า สตรีที่จิ่งโม่เยี่ยชอบหายออกไปนอนด้วยบ่อยๆ คนนั้นก็คือเฟิ่งชูอิ่งเขาคิดว่าสวรรค์คงจะรู้เห็นเป็นใจ ถึงได้จับพลัดจับผลูส่งเฟิ่งชูอิ่งมาให้จิ่งโม่เยี่ยเขาตอบอย่างยิ้มแย้ม “เมื่อคืนหลินชูเจิ้งพาฮวาซื่อมาที่นี่คราหนึ่ง แต่ถูกคนเฝ้าประตูขับไล่ออกไป“ตอนที่จากไปหลินชูเจิ้งดูจะหัวเสียอย่างมาก คาดว่าฮวาซื่อน่าจะโดนเขาเล่นงานหนักเลยล่ะ”จิ่งโม่เยี่ยถามต่อ “แล้วทางศาลไต่สวนสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”ฉินจื
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท