เพื่อนฝูงสมัยเรียนนัดหมายว่าจะมาตั้งโต๊ะปิ้งย่างที่บ้านหลังใหม่ของตะวัน เมนี่อาสาขับรถพาคุณแม่ใบหม่อนกลับบ้านมาด้วยกัน ส่วนตะวันกลับมาถึงก่อนไม่ได้ไปรับภรรยา นั่งรออยู่บริเวณสวนหย่อม จนรถยนต์ญี่ปุ่นสีขาวจอดเทียบริมรั้วด้านหน้า สองสาวเปิดประตูลงจากรถใบหม่อนท้องไม่โตขึ้นสักเท่าไร เธอตั้งครรภ์ประมาณสี่เดือนครึ่งหรือสิบแปดสัปดาห์ แต่แทบไม่เห็นว่าเป็นคนท้อง ดูออกไปทางว่าเป็นสาวลงพุงซะมากกว่าเวลาไปไหนมาไหน เธอสวมเดรสทรงกระโปรงบานพลิ้วลายดอกไม้น่ารัก เพราะว่าเลยมักจะติดเข็มกลัดเอาไว้บนเสื้อ บริเวณเหนือสะดือ“เมียไปไหนมาครับ? ทำไมกลับช้าจัง” เสียงทุ้มถามภรรยาทันทีที่เปิดประตูบานเลื่อนหน้าบ้าน ใบหม่อนส่งถุงใส่อาหารหลายใบให้เขารับไป“ไปทำงานไง ไลน์มาบอกแล้ว ไปถ่ายรูปมาด้วย”“ถ่ายรูป?” ถามตาโต ตะวันเพิ่งนึกออกว่าภรรยาพูดกับเขาเรื่องถ่ายรูปตอนท้อง เธออยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่เพราะว่าเขางานยุ่งมากเสียจนลืมไปสนิท“ใช้ตากล้องที่ไหนอะ?”“เพื่อนที่ทำงานไง พี่เอฟ”ไอ้เอฟ! ตะวันจำหน้าเพื่อนร่วมงานหนุ่มขาวตี๋อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับภรรยาได้ หน้าตาท่าทางไม่น่าไว้วางใจ เขาเลยถามแต่เรื่องรูปถ่ายว่าถ่าย
บรรยากาศในบ้านเริ่มอึมครึมเพราะคุณพ่อตะวันโกรธขึ้นมาน้อย ๆ เมนี่คิดขึ้นได้เรื่องหนึ่งทำโวยวาย“เอ๊ย มันสนมึงนะ กูเห็นมันมองมึงตลอด แต่ว่ามึงไม่เห็นเองไงยัยใบหม่อน”“รู้ตัวอีกทีไงล่ะ ป่องแล้วนะ ฮ่า ๆ”“เฮอะ!” แล้วคนทำเสียงดังก็ลุกขึ้นเดินปึงปังไปช่วยเพื่อนหนุ่มจัดการเตาปิ้งย่างให้เรียบร้อย เดินกลับมาสะบัดหน้างอนใส่ภรรยาที่ทำเป็นไม่สนใจเขากลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างงอนแต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายง้อ จนกระทั่งคนในบ้านเมาแอ๋ หลับสนิทบนโซฟาหัวไปทางเท้าไปทาง สองสามีภรรยาจึงกลับมาพูดคุยกัน ใบหม่อนยกจานไปไว้ในอ่างล้างจานแล้วบอกลาสามี“ไปนอนก่อนนะ”“ไปด้วย!”ตะวันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ รีบวิ่งตามขึ้นบันไดบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งกองจานไว้อย่างนั้น ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนในบ้านสร่างเมาแล้วคงจะมาล้างกัน ซึ่งใบหม่อนก็ไม่ยื้อให้ล้างมันเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ทั้งที่เธอเป็นคนรักสะอาดเมื่อคนข้างหน้าหยุดปลายเท้าลงหน้าประตูไม้ สลักลายดอกไม้สวยงามกลางบานประตู หน้าห้องนอนห้องใหญ่ สองสายตาสบประสานกัน คนหนึ่งต้องการปรับความเข้าใจ“เมีย... ทำไมเมียทำแบบนี้อะ”“บอกไปแล้ว แกลืมเองหรือเปล่า”“โธ่... เมียจ๋า คุณพ่อตะวันไม่ได้ตั้งใจลื
“ให้ดูแค่ลูกดิ้นนะ”“ลูกครับ แม่เขาว่าไงนะ? พ่อไม่ได้ยินเลย”“ให้เล่นกับลูกได้อย่างเดียว”“ทำไมเล่นกับแม่ด้วยไม่ได้ล่ะ หืม...” คนพูดถูกเจ้าตัวน้อยถีบแก้มเข้าทีหนึ่ง เขาหัวเราะชอบใจ ถลกเสื้อยืดสีขาวอย่างไม่เกรงใจ ไม่ขอความอนุญาตจากคุณแม่ที่ทำสะดีดสะดิ้งใส่ ตาคมเพ่งมองท้องกลม ๆ กำลังขยับเขยื้อน เจ้าตัวน้อยกำลังถีบแขนขาอยู่ข้างในอย่างโมโห“โอ้โห... เป็นนักฟุตบอลแน่”“โอเวอร์ย่ะ อาจจะเป็นนักร้องก็ได้นะ”“งี้ต้องลองพิสูจน์ดู ไม่ได้ละ ๆ”ตะวันคงจะต้องหาเรื่องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อยจนได้ มือปัดป่ายเข้าไปจับหมับเข้ากลางเต้าเต่งตึง สบดวงตาคู่สวยด้วยแววตาที่ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนด้วยความที่เธอจะเป็นคุณแม่เต็มตัวในอีกไม่ช้า หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น ฐานลานนมสีชมพูหวานก็กว้างขึ้น ผิวขาวนวลเปล่งปลั่ง เธอดูมีน้ำมีนวล ปลุกเร้าอารมณ์ชายหนุ่มที่ปรารถนาต้องการสานสัมพันธ์กับคุณแม่น่าเสียดาย...ความหวังเล็ก ๆ พลันถูกพังทลาย ฉับพลันที่มือเล็กคว้าข้อมือซุกซนเข้าหมับ ทั้งน้ำเสียงและสายตาดุดันปราม“ไม่เอาแล้วนะ เราจะนอน” ----------------------------------“ตะวันแกล้งหนูค่ะแม่” อ้าปากฟ้องทันทีที่คุณแม่มนมาถึงบ้าน
เกือบชั่วโมงกว่าที่เธอและลูกน้อยในคระภ์จะมาถึงบ้าน เมื่อรถยนต์ห้าประตูที่จอดสนิท ร่างบางในเดรสคลุมท้องลายดอกไม้สวยก้าวลงเหยียบพื้นปูน ขณะมองขวับตามเจ้าของเสียงซึ่งลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมา“หม่อนจ๋า... ใบหม่อนจ๋า!” เสียงเรียกของสามีดังมาตั้งแต่หน้าปากซอย ใบหม่อนแทนที่จะสนใจสามี หันขวับมองลุงเขมหัวเราะชอบใจแล้วคุณลุงก็เงียบไป เมื่อคุณแม่หน้าแดงด้วยความอับอาย หันไปเอาเรื่องคุณพ่อ“เสียงดังทำไมเล่าไอ้ตะวัน บ้าหรือไง ตะโกนให้เขาได้ยินกันไปสามบ้านแปดบ้าน”นั่นแหละที่คนขี้แกล้งต้องการ! ตะวันทำเพิกเฉยเธอ ฉีกยิ้มแฉ่งถาม“วันนี้ไปดินเนอร์กันนะ”“เราง่วง...”“งั้นคุณพ่อตะวันจะอุ้มไปนอนนะครับ”“ว๊าย!” ส่งเสียงร้องวี้ดว้าย เมื่อสองขาลอยโหวงจากพื้น เจ้าของร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาสีดำสนิทอุ้มเธอเข้าบ้านไม่บอกกล่าว แถมเดินตัวปลิวเหมือนคนในอ้อมแขนไม่มีน้ำหนัก“แม่หม่อนตัวเบาจะแย่ หมอยังบ่นเรื่องน้ำหนักเลยรู้ไหม นี่... แล้วเลิกเอาคิ้วผูกกันนะครับ ไม่ดีกับลูก”“หนักตั้งห้าสิบเจ็ดใครบอกเบา”“ขึ้นมาแค่สิบกว่ากิโล มันควรจะต้องขึ้นเยอะกว่านี้ แต่ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวคุณพ่อจะช่วยคุณแม่เอง” สิ้นคำ
ครั้งแรก ตอนเช้าครั้งที่สอง ตอนเย็นหรือตอนค่ำๆไม่ลืมตอนหลังรับประทานอาหาร“ปกติดีไหมนะ?” เสียงหวานถามหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะนั่งนิ่ง ๆ บนโซฟากลางห้องรับแขกกว้าง ใบหม่อนเพิ่งยื่นใบลาหยุดงาน และก็คงไม่ใช่ปัญหาในเมื่อเธอเป็นช่างภาพอิสระประจำ ไม่ได้มีงานให้เธอทำมากมายนักร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลานั่งลงข้างกัน ขมวดคิ้วนิ่วหน้าตามคุณแม่ “ปกติอยู่ครับ ขยับแขนขาบิดตัว คุณพ่อตรวจสอบแล้ว”“ตรวจสอบละเอียดเลยสิ แต่ว่าอาทิตย์นี้คงไม่ได้ตรวจละนะ ใกล้คลอดแล้ว งดได้แล้วย่ะ...”คนได้ยินยิ้มรับอย่างเต็มใจ เมื่อมีทางเลือกเสียเมื่อไร เขาก้มหน้ามองท้องกลมป่องของคุณแม่ โน้มตัวลงแนบหูไว้กับเสื้อยืดตัวใหญ่ขยุกขยิกได้สำหรับการนับลูกดิ้นตามคำแนะนำคุณหมอ เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกวัน คุณพ่อหรือคุณแม่อาจจดบันทึกเอาไว้ในตารางในสมุดสีชมพู ซึ่งบันทึกสุขภาพแม่และเด็กตั้งแต่ยังตั้งครรภ์ยันคลอดบุตร เพื่อตรวจทานดูว่าเจ้าตัวเล็กขยับตัวดีหรือไม่ หากเงียบไปเมื่อไรหมายถึงสัญญาณอันตรายตะวันช่วยทำหน้าที่นี้ให้เป็นอย่างดี ไม่รวมเรื่องที่เขาคอยก่อกวนคุณแม่เป็นประจำ เจ้าตัวเล็กก็คอยถีบแขนถีบขาเมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของคุณแม่“แม่
อาทิตย์ต่อมา ใบหม่อนได้ออกจากโรงพยาบาลทั้งในสภาพที่ยังไม่แข็งแรงดี แต่ดูเธอจะเห่อเจ้าตัวเล็กเสียอีก ตอนนอนป่วยบนเตียง พยาบาลมาขอน้ำนมหยดแรกของคุณแม่ เธอก็พยายามที่จะลุกขึ้นมาบีบน้ำนมใส่ขวด เค้นไปให้จนได้ และเพื่อให้ร่างกายปรับตัวจะได้มีนมให้ลูกน้อย พยาบาลบอกอะไรคุณแม่ใบหม่อนก็ตั้งใจฟังและปฏิบัติตาม อาหารบำรุงน้ำนมทุกอย่าง น้ำขิง หัวปลี อินทผาลัม คุณแม่กินเป็นประจำทุกมื้อทารกน้อยนอนหลับตานิ่งในเปล นุ่งผ้าอ้อมนอนแผ่มือเล็กจิ๋วทั้งสองอยู่ข้างหมอน ดวงตาคู่สวยระรื่นความสุขยังคงจับจ้องแก้มใสของลูกน้อยอย่างเอ็นดู“หม่อน... ไหวไหม?” เสียงเข้มถามคุณแม่บนโซฟา เธอแทบจะกินนอนอยู่ข้างเปลลูก มีลุกขึ้นเดินไปเดินมา อุ้มลูกชายพาดบ่า หายไปเข้าห้องน้ำครู่เดียวก็กลับมาทิ้งตัวลงนอน ขณะที่เขานั่งลงข้างคุณแม่ เลื่อนมือไปจับเปลเด็กน่ารักสีฟ้า กดปุ่มเล็ก ๆ ให้มันแกว่งไปมาด้วยระบบอัตโนมัติตามยุคสมัยบ้านนี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกสำหรับเลี้ยงเด็กทุกอย่าง คุณพ่อคุณแม่ เพื่อนฝูงญาติพี่น้องซื้อมาให้เยอะแยะจนคุณพ่อคุณแม่แทบจะไม่ต้องซื้อของเอง“หม่อนไม่ต้องซีเรียสเรื่องน้ำนมนะ ถ้าไม่ไหวก็นอน ให้ลูกกินนมผงได้”“ไม่ไ
“ทำไม... พ่อแม่แกเอาลูกเราไปเลยอะ?”ตะวันถอนหายใจหนัก หันไปบอกภรรยาอย่างใจเย็น “นอนกันเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นแหละยัยหม่อน เขารักลูกเราเหมือนกับที่รักเราอยู่แล้ว ไว้ใจพวกเขาได้ ไว้ตื่นนอนแล้วเราค่อยขับรถไปหาเขาบ้านนั้นละกัน”----------------------------------ตะวันจะไปต่อว่าพ่อแม่คงไม่ได้ ที่เห็นทำตาโตเท่าไข่ห่านมาตั้งแต่วันไปสู่ขอลูกสะใภ้ อีกฝ่ายอยากได้อะไรก็พร้อมให้ทุกอย่างแม้กระทั่งสินสอดหลักห้าล้าน นี่อาจจะเป็นแผนการของพวกเขาแต่แรกเจ้าซันนี่ถูกพาตัวไปเป็นวัน คุณพ่อคุณแม่ตัวจริงได้พักผ่อนนอนหลับกันเต็มที่ ปิดบ้านเงียบเชียบ กอดกันตัวกลม เรียกได้ว่าเป็นวันแรกจริง ๆ ที่ได้นอนเต็มตาตะวันเป็นฝ่ายตื่นก่อน เขากระชับคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น รับรู้ได้ว่าอีกคนรู้สึกตัว เธอซุกใบหน้าร้อนผ่าว สูดกลิ่นหอมอ่อนคุ้นเคยเข้าเต็มปอดใบหม่อนมีเรื่องมากมายอยากพูดกับเขา เธอถือโอกาสนี้พูดกับสามี“ขอบคุณนะตะวัน สำหรับทุกสิ่ง เรามีความสุขมากเลย เราไม่ใช่คนพูดเยอะ หน้าตาก็บึ้งตึง แกยังรักเราเหมือนเดิมไม่เคยว่าเรา”“แค่ขอบคุณ? บอกรักบ้างไม่ได้เลยเหรอ เหมือนที่เราบอกหม่อนกับลูกทุกวัน”“รัก... ตะวันเป็นยิ่งก
“คุณครูมาแล้ว ๆ!” เสียงเรียกดังของบรรณารักษ์สาวในชุดทำงานสุภาพ เตือนหนุ่มหน้าคมเข้มให้มองขวับตามเป้าหมายอย่างแม่นยำเจ้าของเรือนร่างงามในเชิ้ตกระโปรงสีชมพู พาให้สายตาทุกคู่ในห้องสมุดเงียบเชียบคอยลอบสังเกตการณ์เจ้าหล่อนตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงบันไดชั้นสองหญิงสาวคอยระมัดระวังในแต่ละก้าวเดินไม่ให้ชายกระโปรงยกขึ้นสูงจนมองเห็นเรียวขากระดุมสีขาวจากเม็ดแรกถึงเม็ดสุดท้ายบนระบายกระโปรง แฟ้มเอกสารที่กอดแนบอกในเสื้อผ้ามิดชิด มองอย่างไรสาวคนนี้ก็ดูเรียบร้อยเสมือนผ้าพับไว้แววตาคู่คมของบรรณารักษ์หนุ่มจำเป็น กำลังสำรวจมองใบหน้าเกลี้ยงเกลา แอบแฝงความซุกซนใต้อายไลน์เนอร์บาง ๆ เหนือดวงตาเรียวรี ลิปสติกสีเดียวกับเรียวปากอิ่มงาม เป็นโทนสีธรรมชาติ เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย กระทั่งคุณครูสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนหวาน“พอจะมีหนังสือภาษามือสำหรับเด็กไหมคะ?”คนฟังคงไม่ได้ฟัง เพราะติดอยู่ในภวังค์ความคิด... คิดไปถึงไหนต่อไหน! จนถูกเรียกย้ำ“คุณคะ... มีหนังสือภาษามือสำหรับเด็กไหมคะ?”“ครับ... เอ้อ ผมไปดูให้นะครับครูแหม่ม”คุณครูสาวก้มหน้าหัวเราะเบา ๆ เหมือนมองตาก็รู้ใจ ในเคาน์เตอร์แผนกหาหนังสือยังไม่มีใครเสนอหน้าออ
ถึงแม้ว่าเธอยอมมอบหัวใจให้เขาแล้วก็ตาม ไม่มีวันไหน ที่เขาจะรักเธอน้อยลงสักวันเรือนไทยยกสูงด้านในเป็นเวลาของผู้หลักผู้ใหญ่จับกลุ่มพูดคุยกัน บ่าวสาวขอตัวออกมายืนสูดอากาศด้านนอก หญิงสาวยังอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายตัวโต อุ้มประคองเธอออกมาวางลงบนพื้นหญ้าด้านหน้าอย่างระวัง ถอดรองเท้าส้นเตี้ยให้ใส่เป็นรองเท้าแตะแทน ยังกำชับบอกว่าจะไม่ดีต่อลูกน้อยไม่ควรยืนนาน ๆสักพักหนึ่งเขามองเข้าไปในบ้าน แผ่นป้ายติดดอกไม้น่ารักด้านบน “ผมเคยมองป้ายแต่งงานของพวกเขา จินตนาการอยู่ว่าอาจเป็นชื่อของเรา”“เห็นค่ะ... ตาเยิ้มเชียว แหม่มเลยยอมไปกินหูฉลามด้วยไง แหม่มไม่ไปอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ท่าทางน่าสนุกจะตาย”“แล้วหูฉลามอร่อยไหม?”“คนพาไปอร่อยกว่า...”“อ้อ ยังไงก็ขอบคุณที่รับรักคุณอคินนะครับ... ครูแหม่ม” เขายิ้ม มือโอบเอวบางเข้าแนบชิดสะโพก ก้มหน้าลงมองชุดไทยสีขาวคาดสไบทอง เครื่องประดับสะท้อนแสงอาทิตย์ยามสาย ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ใบหน้าหวานงามแต่งแต้มเครื่องสำอางเบาบาง ทว่าริมฝีปากสีแดงสดเข้ากับชุดสวย เธอระบายยิ้มอ่อน“แหม่มชอบคุณก่อน คอยเฝ้าไปถามหาหนังสือประหลาด ๆ ก็แค่ข้ออ้างของแหม่ม แหม่มจะเอาหนังสือภาษามือสำหรับเด็กไปทำอะไร
ใบหน้างามระรื่นอารมณ์ดี แค่เจอโทรศัพท์เครื่องเดียว หญิงสาวรีบเปิดตู้เสื้อผ้า สวมเดรสลายดอกไม้มีสม็อคเอวน่ารัก ออกจากห้องไปซื้อของเข้าบ้านมาใส่ตู้เย็นเอาไว้ เผื่อแฟนหนุ่มกลับบ้านมา จะได้มีขนมปังมีข้าวรองท้องเสียหน่อย“น่าหมั่นไส้ ตัวลืมเรื่องของเราแล้วสิ เราสนิทกันขนาดไหน” บ่นพลางอมลมไว้ในแก้มป่อง คนถือถุงพะรุงพะรังเดินตามหญิงสาวที่นำหน้าเข้าลิฟต์ไป ปลายนิ้วเรียวกดเลข 15 ก่อนจะหันไปบอกกับพี่ชายซึ่งอยู่กันตามลำพัง“คนเราต้องโตไหม มิกกี้... ไม่เอานะ ไม่คิดมาก”เธอยอมเป็นฝ่ายง้อพี่ชายฝาแฝดก่อนวันนี้ ส่งยิ้มหวานให้ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกุมมือหนา ชายหนุ่มไม่ถนัดมือที่จะกุมน้องสาวก็ย้ายของไปถือไว้อีกข้างทั้งหมด เพื่อสอดประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกันเหมือนอย่างเคย“เค้ายังรักตัวเหมือนเดิมนะ ตัวเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ เป็นคนที่เกิดมาด้วยกัน เค้าจะเป็นแม่คนแล้วนะ ตัวต้องดีใจสิถึงจะถูก”“I love you too Anika...”แววตาซึ่งเต็มไปด้วยความโหยหาอาทรสบประสานกัน สองพี่น้องได้ปรับความเข้าใจ บีบมือกันและกันแน่น ประตูลิฟต์เปิดอ้าออกกว้าง พร้อมความรู้สึกใหม่ ๆ ซึ่งยังคงเหมือนเดิม และแตกต่างไปในขณะเดียว----------
ว่าที่คุณพ่ออ่อนโยนกว่าที่เธอคิด เขาลิ้มชิมเรือนร่างอย่างนิ่มนวลกระทั่งเต้าตึงซึ่งขยายใหญ่กว่าเดิม แทรกกายเข้าหาเธออย่างเร่าร้อนทว่าโอนอ่อนตาม บนโต๊ะกินข้าวก็ใช่ว่าจะไม่เคย ไม้สีดำแข็งแรงทนทานสมราคาคุยของเซลล์ขายเฟอร์นิเจอร์ หลังจากที่เจ้าของห้องเพิ่งถอยมาใหม่ เพราะตัวเก่ามันหัก!ผู้ชายตัวโตใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก อย่างไม่น่าเชื่อเลยว่า...พ่อหนุ่มเอวดุจะกลายเป็นพ่อหนุ่มเอวหวาน สองขาเรียวที่โอบรัดรอบเอวสอบ ขยับเบา ๆ หมุนวนเป็นวงกลมแต่ทำให้เธอรู้สึกถึงความล้ำลึกอัณณิกาก็คงไม่ไหว ร่างกายส่ายเร่า ส่งเสียงครวญครางปานขาดใจ เพราะติดใจสามีคนใหม่คนเดิม“คุณอคิน อ๊าาย!” เสียงหวานหวีดร้อง สะโพกงามกระตุกเกร็งเมื่อเดินทางมาสุดทางฝัน เธอหายใจหอบโยนทว่าตะโบมจูบริมฝีปากหนาหยักได้รูปช่องทางรัดร้อนกระตุกเป็นจังหวะ เร็วแรง ทำให้เรือนกายกำยำรุ่มร้อนราคะกัดกรามแน่นเป็นสันนูนอคินฟุบหน้าลงบนไหล่มน ฝังกายแกร่งครั้งสุดท้ายเพื่อปลดปล่อย ราวกับว่าเขาพร้อมละทิ้งทุกสิ่งอย่าง แม้ทำได้เพียงตัวสั่นเป็นลูกนกตกรังในอ้อมแขนเล็ก ๆ ส่งเสียงคำรามราวสัตว์ป่าออกมา ทันทีที่การบีดรัดคลายตัวลง สองขาเรียวไขว้กันเหนือแ
ภาพขาวดำซึ่งเจ้าตัวที่ขยับไปมา ถีบแขนถีบขาวุ่นวายกับร่างกายตัวเองซึ่งยังไม่สมบูรณ์ดี เลขด้านบนสุดของจอ 12w6d ประมาณสิบสองสัปดาห์หกวันสาววัยห้าสิบกว่าตะลึงงัน ประคองจับแท็บเล็ตด้วยมือทั้งสองข้าง หรี่ตามองดูให้ชัด ถึงแม้ว่าจอสี่เหลี่ยมขนาดสิบนิ้วกว่า ใหญ่พอที่จะมองภาพได้อย่างชัดเจนคุณแม่ป้อมดูวิดีโอสั้น ๆ เรียงกันหลายตอนจบแล้วกลับหันมาจ้องลูกชายตาเขม็ง“ไม่ดีใจเหรอ?” ถามหน้าเหลอหลา ด้วยสายตาที่ดุดันก้าวร้าวของหญิงตรงหน้า ไม่ได้ตั้งตัวก็โดนฝ่ามือพิฆาตเข้าบนต้นแขนเป็นล่ำสันเพราะว่าใกล้มือที่สุด ถึงลูกชายจะมีมัดกล้ามแข็งแรง คุณแม่ก็ไม่คณนามือจนเจ้าตัวต้องร้อง“โอ๊ยแม่! ตีผมทำไมอะ ผมตั้งใจมากเลยนะ เห็นแม่บ่นว่าอยากได้หลาน เมื่อไรลูกชายจะมีเมีย ผมตั้งใจกินแต่ของดี ๆ ขยันทำการบ้านมากเลยนะแม่”“หลานก็ส่วนหลาน แต่แก... มันน่านักนะ!” เสียงตะคอกว่าก่อนจะลดเสียงลงเพราะกลัวใครมาได้ยินเข้า หญิงสาวรีบเข้ามากอดแขน“คุณแม่คะ... หนูลืมกินยาเองค่ะ อย่าตีพี่เขาเลย”“ตกลง... ลืมหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้า ขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาบอกว่าให้รับคำแก้ตัวของเธอหน่อย จะได้ไม่ถูกคุณแม่ตีจนแขนแดงไปหมด ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเพ
‘เอ๊ย! มิสแว่น ๆ’‘ลุกเร็วมึง!’‘ยังไม่เลิกเรียนมานั่งร้านกาแฟได้ไง!’เสียงหวานใสของครูสาวผมฟู แว่นหน้าเตอะ ดังก้องเข้ามาในหัว ขนาดว่าเธอตะโกนอย่างดุดันที่สุดแล้วกลับไร้ซึ่งความน่ากลัว จะว่าดุก็ยังไม่ได้เลยเด็กหนุ่มวิ่งหนีคุณครูสาว ตะโกนเรียกมิสแว่น ๆ อะไร ๆ ทำไม ๆ แก๊งเด็กแสบที่ถึงจะสวมกางเกงน้ำเงินแต่หน้าตาเอาเรื่องเอาราว เกินกว่าครูตัวเล็กนิดเดียวจะรับมือไหว คุณครูยังทำกาแฟหกใส่เสื้อหนุ่มในร้านกาแฟ ล้มหน้าคะมำ!อัณณิกาสารภาพความในใจว่าเธอซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเมื่อได้รับน้ำใจจากเขา ไม่ใช่เพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ในวันที่ไม่ได้ดูแลตัวเองจนดูสวยเท่านี้วันนั้นอคินไม่ถือโทษโกรธเธอเรื่องกาแฟ จับตัวเด็กแสบได้ สั่งสอนแทนคุณครู แต่ละคนเงยหน้ากันแทบไม่ขึ้น‘ไม่เป็นไรนะครับ ครู...’เขาพูดเท่านั้น คุณครูไม่ได้บอกชื่อเสียงเรียงนามกับเขาเลย ทำให้จำครูแหม่มไม่ได้อคินไม่คิดว่าเธอยังคงเก็บของเล็กน้อยเอาไว้ ตัวเขาเองก็ไม่คิดอะไรจนพบเธออีกครั้งหนึ่ง มายืมหนังสือ มาคืนหนังสือ เขาเห็นหน้าเธอบ่อยขึ้น มาก ๆ เข้าก็เริ่มหลงใหลในความน่ารักอ่อนหวานของหญิงสาวตรงหน้า“แหม่ม... ดีใจจังค่ะ ขอบคุณที่ดูแลแหม่ม
งอนกันไปงอนกันมา วันต่อมาก็หายโกรธ ความสัมพันธ์ของเธอและเขาไม่ซับซ้อน สามารถนั่งพูดจากันอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมเมื่อกลับบ้านด้วยกัน เขาพูดกับเธอเรื่องพี่ชายว่าเขาไม่ชอบ เธอก็จะพยายามวางตัวให้ดีกว่านี้เย็นนี้เธอมารอพบเขาหน้าห้องสมุด ใต้ร่มไม้ใหญ่บนม้านั่งหินตัวเดิม สวมเดรสสีขาวสะอาด เข้ารูปสมส่วน แต่งหน้าบาง ๆ เข้ากับลิปสติกสีชมพู“รอนานไหม?” เป็นคำถามแรกของคนที่ถือน้ำหวานชื่นใจติดมือมาพร้อมกับกระเป๋าหนัง มือส่งให้หญิงสาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นเล็กน้อย เธอรับแก้วน้ำไปดื่ม แก้วพลาสติกใสมีหลอดมองดูเหมือนจะเป็นน้ำหวานทั่วไป“น้ำนมข้าวโพดหรือคะ?”“ครับ ซื้อมาตอนพักกลางวัน บำรุงแฟนหน่อย”คนได้ยินหยิบหลอดเข้าปากชิมน้ำอร่อยไปหนึ่งคำ รสชาติไม่หวานมาก ขณะร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาสีกรมท่านั่งลงข้างเธอ ตั้งใจจะนั่งคุยกับแฟนสักหน่อย“ช่วงนี้เลิกงานเร็วหรือครับ?”“ค่ะ เดือนนี้งานไม่ยุ่ง แต่ว่าเดือนหน้าเลิกช้าแล้วนะ”“ไม่เป็นไร ผมจะไปรอแหม่ม... เหมือนเดิม” ปลายเสียงย้ำชัด กระทั่งแววตาเอ็นดูเห็นเธอดื่มน้ำจนหมดแก้วอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ลืมถามถึงมาสเซอร์หนุ่ม “เย็นนี้มาสเซอร์มิกจะมาชวนดูหนังอีกหรือเปล่า?”“ไ
นาฬิกา กระเป๋า รองเท้า ของป๋าสายเปย์ เหมือนเกทับเดรสลายดอกไม้ตัวสวยที่ตากอยู่บนราวตากผ้าริมระเบียง กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นฝีมือของพ่อบ้าน ซักตากเสื้อผ้าให้ในระหว่างเธอออกไปทำงาน แต่เป็นวันหยุดของเขาอัณณิกาสังเกตว่าเสื้อผ้าตัวไหนที่พี่ชายฝาแฝดซื้อให้มักหลบอยู่ในซอกมุม ถึงเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าพับวางอย่างเรียบร้อย ก็พับซ่อนเอาไว้ แขวนไว้ด้านในสุดเหมือนจงใจให้เธอไม่หยิบมันขึ้นมาสวมเธอไม่ได้ต่อว่าผู้ชายขี้หวงทั้งที่รู้ว่าเขาน่ะคิดอะไร เพราะเวลาที่มีสาว ๆ มาเจ๊าะแจ๊ะบรรณารักษ์หนุ่มฮ็อตเนิร์ด โดยเฉพาะนักศึกษาฝึกงาน เธอแอบหวงเขาอยู่เหมือนกันวันนี้เธอเลิกงานไวสักหน่อย เดินเลาะริมทางเท้าไปถึงแล้วก็นั่งรอบริเวณม้าหิน ใกล้กับลานจอดรถยนต์ มองเห็นประตูกระจกอัตโนมัติเปิดอ้ากว้าง และปิดลงพร้อมแอร์เย็นฉ่ำจากด้านใน ร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาลายทางเดินออกมาพบเธอด้วยสีหน้าคร่ำเครียด“ผมเลิกช้านิดนึงนะครับ หนังสือชำรุด... หลายเล่ม”“ไม่เป็นไร ๆ แหม่มรอได้ คุณอคินทำงานก่อนเลย” เธอโบกมือไปมาบอกให้เขาไปทำงาน ชายหนุ่มคะยั้นคะยอเธอให้เข้าไปนั่งข้างใน อัณณิการู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก เธอจำเป็นต้องปฏิเสธชายที
รอยยิ้มพริ้มพรายบนวงหน้าหล่อเหลายามก้มลงมองริมฝีปากงาม พูดจาเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้ว ทั้งเอ็นดูหลงใหลเมื่อใดที่อัณณิกาตั้งคำถามกับเขาจะตอบเธอมากขึ้น ทั้งที่ไม่ใช่คนพูดเยอะ พักหลังมานี้เขาสามารถพูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเธอ“เราสองคน... อาจเป็นเรื่องสั้นสักเล่ม อาจมีตอนจบที่ไม่ดี ก็ได้นะคะ”“ต้องดีสิ ทำไมจะไม่ดีล่ะ ผมกับแหม่มชอบอะไรเหมือนกัน แล้ว... เราชอบหนังสือเหมือนกัน ผมชอบอ่านนิยายเหมือนแหม่มเลยนะ”หนังสือเล่มบางในมือของอัณณิกาไม่ใช่เรื่องราวที่ดีนัก หญิงสาวหยิบผิดเล่มมาจากห้องสมุดของเขา เธออ่านมันแล้วมีสีหน้าเศร้าหมองเพราะตอนจบที่ไม่สมหวังของตัวละคร“แล้วแหม่มจะทำยังไงดี...” คิดเองเออเอง ตอบเอง! “ไม่รู้เหมือนกัน เป็นเรื่องอนาคต”ร่างบางในเดรสกระโปรงน่ารักนั่งลงในมุมหนึ่งของห้องสมุดในบ้านหลังใหญ่ เธอเอาหลังพิงกำแพงอย่างท้อแท้ ได้รับการปลอบใจจากแฟนหนุ่ม ที่เฝ้าติดตามเธอไม่ห่าง“นั่นสิ เป็นเรื่องอนาคต แล้วจะไปคิดเยอะแยะทำไม” ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ เธอ ระหว่างชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน มองหาหนังสือเล่มใหม่ หวังว่าอีกคนจะอารมณ์ดีขึ้น“มีเ
Maiken หรือ Mike หวงน้องสาวยังกับอะไรดี ถึงวันนี้จะแต่งงานไปแล้ว นั่นเป็นสาเหตุให้หลายคนคิดด้วยว่าเรื่องที่พูดทั้งหมดคงมั่นใจไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง อาจไม่จริงเลยก็ได้“ตัวยังไม่รู้จักผู้ชายดีพอ ไม่มีใครหวังดีกับเรานอกจากมิกกี้ เค้าบอกตลอดไม่ให้ไว้ใจหนุ่ม ๆ จะมีดีสักกี่คน”“โธ่... มาสเซอร์มิก เค้าโตแล้วปะ” เธอโวยวายพี่ชาย ขีดเส้นสัมพันธ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ด้วยการเรียกเขาว่า ‘มาสเซอร์มิก’ เป็นความหมายนัย ๆ ว่าต่างคนต่างมีหน้าที่การงานแล้ว ควรมีอิสรภาพของตนเอง“มาสเซอร์มิก ขอเถอะ ๆ นะ”“พูดไม่รู้เรื่องนะ”“ตัวอะพูดไม่รู้เรื่อง”“ไปเหอะ ไปคุยกันสองคนดีกว่า” คนประท้วงรวบช้อนกินข้าวทั้งที่ยังไม่ได้กินเลยสักคำ คว้าข้อมือน้องสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “วันนี้อยู่นอนคุยกัน... เค้าไปเที่ยวมา มีเรื่องเล่าให้ฟังตั้งเยอะแยะ”“ได้ไงเล่า ตัวไปนอนกับเมียตัวดิ”“ไม่”พี่ชายฝาแฝดยังคงดื้อรั้นหัวชนฝา แต่ไม่ทันจะได้พาน้องสาวไปจากห้องรับประทานอาหาร คุณพ่อคุณแม่เรียกให้รอผู้ใหญ่มาครบก่อนเขาก็ต้องอยู่ บอกด้วยว่าภรรยาของเขาจะมารับประทานอาหารค่ำด้วย และรอกลับบ้านด้วยกัน---------------------------------