นางครวญครางออกมาแทบไม่เป็นภาษาเมื่อเขาขยับสะโพกโหมโรมรันกระชั้นขึ้นเรื่อย ๆใบหน้าหล่อคมมีหยาดเหงื่อชุ่ม มือแกร่งของเขาเลื่อนขึ้นมาจับที่เอวบางเอาไว้เพื่อให้เรือนหยกของนางรับจังหวะการกระทั้นกระแทกแท่งหยกเข้าออกอย่างหื่นกระหาย“อ่า ๆ ข้าไม่ไหวแล้ว... จะตายแล้ว อ๊า ๆ”นางครวญครางราวกับคนจับไข้ ความเสียวซ่านแล่นแปลบปลาบแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างสื่อหม่ารู้สึกถึงเรือนหยกที่บีบรัดแรงขึ้น เขาจึงโหมกระหน่ำจ้วงแทงแท่งหยกลงอย่างไม่บันยะบันยังจนเกิดเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังตับ ๆ ผสานกับเสียงครวญครางดังกึกก้องทั่วห้องบุรุษเบื้องล่างแม้ไม่อยากเห็นภาพนั้น แต่เขาหลับตาลงมิได้ ปิดหูมิให้ได้เสียงก็ไม่ได้ จะวิ่งหนีก็ไม่ได้สุดท้ายเขาก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา หัวใจของเขามันเหมือนถูกมีดกรีดออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อเห็นบุรุษอื่นกำลังครอบครองภรรยาของตนต่อหน้าต่อตาส่วนคนบนเตียงนั้นก็โหมกระหน่ำทำปฏิยุทธ์สังวาสกันอย่างเมามัน เรือนกายทั้งสองเคลื่อนไหวสอดประสานไปตามความกระสันอยาก จนกระทั่งความซ่านสยิวโลดแล่นนำพาคนทั้งคู่ล่องลอยขึ้นไปจนถึงสรวงสวรรค์“อ๊ากกกกก”“อ๊ายยยยย”ทั้งคู่กรีดร้องออกมาปานจะขาดใจตาย ร่างกายเ
สองวันให้หลัง สื่อหม่า สายลับขององค์ฟางหรงก็ได้รับคำตอบตกลงจากเฉินเฉิงฮ่องเต้ ดังนั้น เขาจึงรีบดำเนินการตามแผนการขั้นต่อไปทันที นั่นคือเชิญขุนนางในราชสำนักมาร่วมประชุมลับ โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นที่จวนของแม่ทัพหลี่ภายในห้องโถงใหญ่ของจวน เฉินเฉิงนั่งอยู่ด้านบน แม่ทัพหลี่ยืนอยู่เบื้องขวา สื่อหม่าในอาภรณ์สีดำแผ่รัศมีน่าเกรงขามยืนอยู่เบื้องซ้าย ส่วนเบื้องล่างสองฝั่งเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางที่ได้รับจดหมายเชิญให้มาที่จวนแม่ทัพหลี่สื่อหม่า เลือกส่งจดหมายเชิญให้เฉพาะคนที่เป็นปรปักษ์กับจักรพรรดินี และขุนนางที่มีความทะเยอทะยานไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด เช่น ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลัง หรือแม้กระทั่ง ราชครูต้าเว่ยที่กำลังคับแค้นใจเพราะบุตรชายของเขาเพิ่งจะถูกพระนางสั่งประหารชีวิตเนื้อความในจดหมายนั้นแจ้งเพียงสถานที่และวันเวลา แล้วลงท้ายว่า - มังกรหวนคืนบัลลังก์ - เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทำเอาคนที่ได้รับจดหมายมือสั่นเทา แล้วรีบทำลายจดหมายนั้นโดยการเผาทิ้งทันที หากล่วงรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณ์ของพระนางเกรงว่าคงจะหนีไม่พ้นต้องโทษฐานก่อกบฏเป็นแน่เมื่อถึงวันประชุมลับจริง ๆ มีขุนนางไม่น้อยที่เหยีย
เฟิ่งอี๋เม้มริมฝีปากจนแนบสนิท คำพูดของลี่จู่คล้ายกลับลูกธนูที่พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของนางเต็มแรง นางแค้นเขาถึงเพียงนั้น แต่เหตุใดเมื่อเห็นเขาเจ็บปวด นางเองก็เป็นทุกข์พอกันในระหว่างที่ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ขันทีรับใช้คนเดิมก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในห้องทรงงาน“ทูลจักรพรรดินี ซื่อหลวนถงเฉินเฉิงไม่ยอมกลับพ่ะย่ะค่ะ เขาลั่นวาจาว่าจะคุกเข่าอยู่ด้านนอกจนกว่าพระนางจะยินยอมให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”“เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจัดการไม่ได้ พระนางทรงรับสั่งว่าไม่ให้พบ เจ้าก็ให้ทหารลากตัวเขากลับไปสิ หรือหากยังขืนดื้อดึงก็โบยเสียยี่สิบไม้โทษฐานขัดคำสั่งจักรพรรดินี ดูสิว่าถ้าโบยจนขาหักแล้วจะบังอาจมาที่นี่อีกไหม !”ลี่จ้งแสร้งตวาดสั่งแทนจักรพรรดินีอย่างใหญ่โต อาศัยที่ตนเองเป็นหัวหน้าสูงสุดของเหล่าขันทีในวังหลวงยังไม่ทันที่ขันทีรับใช้จะรับคำของลี่จ้ง พระนางก็ทรงยกมือขึ้นห้าม แล้วยอมเอ่ยออกมาว่า“ให้เขาเข้ามาเถอะ”“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีรับใช้รีบวิ่งออกไปส่วนลี่จู่แอบลอบสบตาพี่ชายรู้ว่าที่เขาตวาดออกไปเช่นนั้นก็เพื่อจะกระตุ้นให้พระนางยอมลดทิฐิในใจลงแม้นขันทีฝาแฝดทั้งสองจะรู้ฐานะท
เมื่อขันทีฝาแฝดทั้งสองออกไปจากห้องทรงงานแล้ว เฉินเฉิงจึงเข้าไปประคองเฟิ่งอี๋ให้นั่งลง แล้วขยับถ้วยไก่ตุ๋นให้นาง“ลองชิมดู อร่อยเหมือนกับที่เจ้าทำให้ข้าหรือไม่”เฉินเฉิงใช้วาจาอย่างสนิทสนมเฟิ่งอี๋รู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นเขาแสดงกิริยาท่าทางเหมือนว่าเรื่องระหว่างเราไม่มีความแค้นใดเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่นางเองก็ทำให้เขาเจ็บช้ำใจถึงสองครั้งสองครา“ท่านไม่แค้นข้ารึ”นางเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก“แค้นเจ้าเรื่องใด”เฉินเฉิงรู้สึกตัวเกร็งขึ้นมาชั่ววูบเมื่อถูกกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องราวในอดีต“เรื่องที่ข้าแก้แค้นท่าน ทำให้ตระกูลเฉินของท่านต้องย่อยยับ สนมของท่านถูกข้ากำจัดเสียสิ้น อีกทั้งยังเสพสุขกับชายอื่นต่อหน้าท่าน”เฟิ่งอี๋ระเบิดเสียงออกมาก่อน“เฟิ่งอี๋.... ใจข้าไม่เคยแค้นเจ้า ในใจข้านั้นมีแต่ความเจ็บปวดและเสียใจ ที่ข้าเป็นต้นเหตุให้เรื่องราวต้องเป็นเช่นนั้น”เฉินเฉิงตอบกลับมาเสียงสั่นเครือ การที่เขาก้าวล่วงสู่ความตายมาแล้วครั้งหนึ่งทำให้เขาได้เห็นความเป็นจริงหลาย ๆ อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น หากเขาไม่ลุ่มหลงความงามของสตรีจนเป็นเหตุให้เฟิ่งอี๋ถูกใส่ร้ายจนตาย เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น“อภัยให้ข้าได้
ใต้ท้านจื่อลู่อดมิได้ จึงต้องตวาดหลานชายออกมาคำหนึ่งเพื่อให้เขาสงบสติอารมณ์“ตอนนี้ หนีเอาชีวิตให้รอดก่อน เจ้าต้องลอบหลบหนี ขืนขนทองคำไปเยอะแยะมิถูกจับได้ก่อนรึ จำไว้เก็บข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็น แล้วไปสมทบข้าที่จวน เราจะหนีไปชายแดนกัน”เขาบอกหลานชายด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาเองก็ทุจริตเงินในท้องพระคลังหลวงมานาน อาศัยที่มีหลานชายเป็นเอ่อร์หลวนถงจึงไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาตรวจสอบ แต่หากผลัดแผ่นดินใหม่ ไม่มีจักรพรรดินี ไม่มีหลวนถง เขาคงถูกขุนนางคนอื่นจับถลกหนังเป็นแน่ ดังนั้น เขาจึงจะอาศัยช่วงเวลานี้หลบหนีเอาตัวรอดไปให้ไกลที่สุดเลี่ยงซูฝืนใจพยักหน้ารับทราบ ภายในใจยังร่ำว่า“ทองคำของข้า..... เครื่องประดับของข้า...... ตำหนักของข้า.......”ณ อุทยานหลวงเสียงพิณดังคลอเคล้ากับเสียงน้ำตกภายในอุทยานหลวง เฟิ่งอี๋กำลังนอนเอกเขนกบนเสื่อรับฟังเฉินเฉิงบรรเลงพิณในศาลาแปดเหลี่ยมที่มีม่านโปร่งสีขาวแขวนไว้สำหรับเป็นนฉากกั้นสายตาให้เป็นที่ส่วนพระองค์เมื่อวานเขาสามารถตรวจฎีกาได้หมดภายในคืนเดียว วันนี้นางจึงต้องมาฟังเพลงพิณของเขาตามสัญญานิ้วเรียวยาวของเฉินเฉิงกรีดกรายพลิ้วไหวลงไปบนสายพิณแต่ละเส้น
“ท่านช่างร้ายกาจนัก”เสียงของนางพร่าสั่นเมื่อฝ่ามือของเขาค่อย ๆ รุกรานนวดคลึงหนั่นเนื้ออวบนุ่มของนาง ส่วนฝ่ามืออีกข้างก็ลูบไล้ต้นขาด้านในแล้วกอบกุมเรือนหยกที่อยู่ใต้น้ำของนางเอาไว้เต็มกำมือราวกับว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสิ่งนั้น“เจ้าต่างหากที่ร้ายกาจกับข้านัก มิยอมให้อภัยข้าเสียที”เฉินเฉิงโน้มใบหน้าลง กระซิบข้างแก้มเนียน เมื่อสิ้นคำก็ขบลงที่ใบหูของนางครั้งหนึ่ง กระตุ้นความสยิวเสียวให้ลุกฮือขึ้นทั่วร่างสวย จากนั้นก็เลื่อนริมฝีปากรวกร้อนมาที่ลำคอขาวผ่องนางรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาเป่ารดผิวทำเอาขนอ่อนรุกเกรียวขึ้นทั่วทั้งตัว“อื้ออออ”นางส่งเสียงครางออกมาเมื่อลิ้นร้อนของเขาไล้เลียขึ้นมาที่ใบหู พร้อมกับใช้มือชำแรกเข้านวดกลีบเนื้อของเรือนหยกนาง นิ้วของเขาขยับบดคลึงเข้าไปในกลีบเนื้อนาง ทำเอาร่างนางสั่นสะท้านด้วยความสยิวเสียว หัวใจเต้นระส่ำ ให้รู้สึกโหยหาสัมผัสรักอันเร่าร้อนที่เคยสัมผัสในกาลก่อน“เฟิ่งอี๋... ข้ารักเจ้า... อภัยให้ข้าได้หรือไม่”เฉินเฉิงพร่ำวาจาแนบไปกับเนื้อเนียน ในขณะที่พรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้า ติ่งหู และลำคอของนางเฟิ่งอี๋เอียงใบหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามของนางหรี่ปรือลงครึ่งหนึ
เฟิ่งอี๋ได้แต่เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ยังไม่ทันที่นางจะได้โต้ตอบอันใด นางก็ถูกเขาอุ้มเดินไปยังเตียงทั้ง ๆ ที่แท่งหยกของเขายังอยู่ภายในกายนางทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวเกิดการเสียดสีที่จุดสัมผัสอันอ่อนไหวปลุกไฟสวาทของทั้งคู่ให้ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง“เฟิ่งอี๋... ข้ารักเจ้า... ข้าอยากให้เราเคียงคู่ครองบัลลังก์เหมือนเมื่อกาลก่อน”เฉินเฉิงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ภายในแววตาของเขาฉ่ำวาวไปด้วยความเสน่หา ขณะที่วางร่างนางลงบนเตียง แล้วตนก็ทาบทับร่างของนางเอาไว้“ท่านกล่าวเช่นนี้ ต้องการข้าหรือต้องการบัลลังก์มังกรคืนกันแน่”เขารู้สึกว่าร่างนางแข็งเกร็งต่อต้านขึ้นมา จึงใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามเรือนกายนาง เร้าความรู้สึกวาบหวามให้เรือนร่างนางอ่อนระทวยลงอีกครา“ข้าต้องการทั้งสองสิ่ง... หากไม่มีเจ้า ข้าจะครองใต้หล้าให้สงบสุขได้อย่างไร และข้าต้องการนั่งบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง เพื่อจะได้ครอบครองเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”เสียงของเขาในท่อนสุดท้ายสั่นเครือ เขาทนไม่ได้จริง ๆ ที่ต้องเห็นนางเสพสุขกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขาวาจาเช่นนี้เมื่อครั้งที่เป็นฮองเฮานางไม่เคยได้ยินจากปากเขา ไม่ว่าวาจานี้จะจริงหรือเท็จแต่นางก็รู
ลี่จ้ง และลี่จู่ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงกันว่า“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขาทั้งสองนั้น มิได้คลายลงแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะติดตามในขบวนเสด็จด้วยขบวนเสด็จประพาสป่าของจักรพรรดินีได้มาถึงที่บริเวณชายป่าทางด้านทิศเหนือของเมืองหลวง เฉินเฉิงก็ดึงเชือกให้ม้าเหยาะย่างช้า ๆ เพื่อให้เฟิ่งอี๋ได้ชมความงามของธรรมชาติสองข้างทางช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าผลิบานให้เห็นได้ทั่วไป สตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเขาบนหลังม้าส่งเสียงใส ๆ ไปตลอดทางด้วยความตื่นเต้น จักรพรรดินีผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นเมื่อถอดมงกุฎหงส์ออกก็กลายเป็นดรุณีน้อยแสนบอบบางผู้หนึ่งยามที่ลมพัดผ่านกายนางนำเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยเข้าจมูกเขา เฉินเฉิงอดมิได้ที่จะปักจมูกลงข้างแก้มเนียนของนางเพื่อสูดกลิ่นหอมนั้นอีกครั้ง“ฝ่าบาททรงแอบกินเต้าหู้หม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ”เฟิ่งอี๋กระซิบเขาให้ได้ยินเพียงสองคน “หากแอบเจ้าคงไม่รู้ เมื่อเจ้ารู้แล้ว แต่ไม่หลบหนีนั่นแสดงว่าเจ้าเต็มใจ”เฉินเฉิงยิ้มกริ่ม แล้วทอดสายตาไปยังเนินเขาเบื้องหน้าซึ่งเป็นป่าทึบเฟิ่งอี๋ห
“หม่อมฉันหนิงเฟยขออภัยที่เสียกิริยาแล้ว เนื่องจากหม่อมฉันอยากจะท่องบทกลอนถวายฝ่าบาทสักบทเพคะ”“เจ้า !.....”ใต้เท้าหมิงฉางกำลังจะอ้าปากตวาดนางอีกรอบ แต่เฉินเฉิง รีบยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยว่า“ว่ามาเถอะ”น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขากลั้นใจรอฟังกลอนบทนั้นโดยไม่รู้ตัว“เจ้าคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ด้วยปัญญาล้ำเลิศเป็นหนึ่งในใต้หล้าในใจข้าเจ้าคือยอดบุปผาสง่างาม ทุกโมงยามเคียงคู่ครองบัลลังก์”เมื่อนางเอ่ยบทกลอนนี้จบลง เฉินเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปประกาศก้องให้ได้ยินทั่วกันทั้งท้องพระโรงว่า“จากนี้ไปหนิงเฟยเป็นฮองเฮาของเราแต่เพียงผู้เดียว”ทุกคนในท้องพระโรงต่างตะลึงอ้าปากค้างไปตามกัน ๆ ฮ่องเต้ที่ไม่แตะต้องสตรีมากกว่าสิบปี บัดนี้กลับประกาศแต่งตั้งดรุณีน้อยเป็นฮองเฮาทันทีที่พบหน้า และยังไม่ทันที่เหล่าขุนนางจะหายตกตะลึง ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า“ทุกคนออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับฮองเฮาของเราเพียงลำพัง”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ออกไปจากท้องพระโรงด้วยความงวยงง แต่ก็มิได้มีผู้ทัดทานเพราะการที่ฮ่องเต้ยอมแตะต้องสตรีย่อมเป็นเรื่องดีแน่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เฉินเฉิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาสตรีเบื้องล่าง
ราชครูต้าเว่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากร่างไหลทะลักเปรอะเปื้อนแท่งทองคำบนพื้นเหล่านั้น แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตายจากนั้นเมื่อเห็นว่าทหารฝ่ายตรงข้ามถูกจับกุมเอาไว้หมดแล้ว ลี่จู่จึงนำกำลังทหารไปยังตำหนักของหลวนถงในลำดับต่อไป จนในที่สุดเขาก็ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายภายในวังหลังเอาไว้ได้หลังเหตุการณ์ก่อกบฏสิ้นสุดลง แม่ทัพฉีเฮาและใต้เท้าจ้านได้อัญเชิญเฉินเฉิงฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชโองการของจักรพรรดินีเมื่อเฉินเฉิงฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรด้วยวัยเพียงสิบแปดพรรษา แล้วเขาก็ได้ทำตามคำขอของจักรพรรดินีทุกประการถึงแม้ว่าหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจะถูกเชิดชูให้เป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน ภายใต้การดูแลขององค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่สองพี่น้องฝาแฝดลี่จ้ง และลี่จู่ก็ไม่คิดรับใช้ราชสำนักอีกต่อไปจึงขอพระราชทานราชานุญาตให้พวกตนออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และรองแม่ทัพของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬบุรุษทั้งสองในอาภรณ์สีเรียบนั่งบนอาชาพ่วงพีด้วยกิริยาองอาจ ม้าเหยาะย่างผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดูป้ายประกาศของทางการ เรื่อง จักรพรรดินีฟางเหรินผู้ไร้คุณธรรมสังหารองค์หญิงฟางหรง ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งจักรพรรดินีด้วย
“เฟิ่งอี๋....ข้าจะพาเจ้ากลับวังหลวงไปรักษา... เจ้าอดทนสักหน่อยนะ.. เฟิ่งอี๋”เฉินเฉิงใช้แขนเสื้อซับเลือดให้นางอย่างกระวนกระวาย เลือดของนางออกมากเกินไปแล้ว เขาต้องพานางกลับวังไปรักษา จึงพยายามออกแรงเพื่ออุ้มนางให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ต้องจำยอมทรุดตัวลงนั่งกอดนางไว้แนบอกตามเดิมเพราะเสียงผะแผ่วของนางดังขึ้นว่า“ฝ่าบาท... ไม่มีประโยชน์เพคะ”เสียงขาดหายเป็นห้วง ๆ ของนางทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหากเขาขยับเพียงน้อยนิด ลมหายใจของนางก็จะถูกสายลมช่วงชิงไป“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทรับปากสามประการ.... ประการแรก ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษให้แก่หลวนถงทุกคน ประการที่สองขอฝ่าบาทโปรดดูแลหน่วยพยัคฆ์ทมิฬแทนหม่อมฉันด้วย”ลี่จ้งได้ยินดังนั้น ก็สะอื้นไห้หนักขึ้น แม้จวบจนวินาทีสุดท้ายพระนางยังทรงรักและห่วงใยชีวิตข้ารับใช้อย่างพวกเขาหลังจากนี้หากพระนางไม่ขออภัยโทษ หลวนถงที่มีฐานะเป็นชายาบำเรอของจักรพรรดินีต้องถูกประหารให้ตายตกตามกันไป ส่วนหน่วยพยัคฆ์ทมิฬนั้นได้ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการโหดเหี้ยมอำมหิตมีศัตรูมากมาย หากพระนางสิ้นลงเหล่าขุนนางที่มีใจเจ็บแค้นต้องถวายฎีกาให้ลงทัณฑ์พวกเขาปางตายเป็น
ใต้เท้าจ้านรับม้วนราชโองการสีทองไว้ด้วยมือสั่นระริก หัวของเขาถึงกับสรรหาถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ถูก การสนทนาของแม่ทัพทั้งสองเมื่อครู่ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่า แม่ทัพฉีเฮาเป็นสายลับขององค์จักรพรรดินีที่แฝงตัวอยู่ข้างกายองค์หญิงฟางหรง มิน่าเล่า แม้นว่าจะอยู่ไกลถึงพันลี้ แต่พระนางยังทรงล่วงรู้แผนการขององค์หญิงมาตลอดราวกับว่าเห็นได้ด้วยตาตนเอง“พระนางทรงรับสั่งเอาไว้ว่า... เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วให้ท่านเป็นผู้ประกาศราชโองการนี้”ลี่จ้งเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นใต้เท้าจ้านได้ยินดังนั้น พลันรู้สึกว่าม้วนราชโองการในมือหนักขึ้นมาเป็นร้อยเท่าพันทวี เหงื่อเม็ดใหญ่ถึงกับไหลย้อยลงที่ขมับ“ท่านโปรดวางใจเถิด ข้าจะทำตามนั้น”ใต้เท้าจ้านแบกรับหน้าที่สำคัญเอาไว้ด้วยใจ ในอกเขาคล้ายกับมีความตื้นตันลูกใหญ่ถาโถมขึ้นมาจนรู้สึกตีบตันที่ลำคอ เมื่อรู้ว่าจักรพรรดินีที่ใคร ๆ ต่างมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้คุณธรรม แต่ความจริงแล้วที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดก็เพื่อปกป้องบัลลังก์มังกรเพื่อคืนให้แก่ฮ่องเต้“เหตุใดพระนางต้องกระทำการที่เลี่ยงแก่ชีวิตตนเองเช่นนี้ด้วย”แม่ทัพฉีเฮาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กลยุทธ์ในการศึกมีมากก
คำถามที่เป็นเหมือนดังเช่นคำตัดพ้อของเฟิ่งอี๋ทำให้เฉินเฉิงชะงักไป ทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยมาล้วนตรงกับสิ่งที่เขาคิดทั้งสิ้น หากตอนนั้นนางบอกเขาตรง ๆ ว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันคิดจะฆ่าเขาเพื่อชิงบัลลังก์ เขาก็คงไม่เชื่อ และจะระแวงสงสัยนางเสียอีกว่ายั่วยุให้เขาสังหารพี่น้อง ดังนั้น นางจึงใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เขาเห็นกับตาตนเององค์หญิงฟางหรงยิ้มเยาะออกมาแล้วเอ่ยยั่วอารมณ์เฟิ่งอี๋ว่า“ฮองเฮา... ท่านทรงรักฝ่าบาทยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ฝ่าบาทเคยพระราชแพรขาวปลิดชีพท่านจนตายมาแล้ว นอกจากท่านจะไม่แค้นแล้วยังปกป้องเขา ช่างโง่งมจริง ๆ”“ฟางหรง ! เจ้าหยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”เฉินเฉิงตวาดออกมาด้วยความโมโหที่นางตั้งใจยั่วยุให้เขาและเฟิ่งอี๋ขัดแย้งกันอีก ทั้งยังกลัวว่านางจะไม่ให้อภัยเขา“หม่อมฉันก็ไม่ได้โง่พอให้องค์หญิงได้ครอบครองบัลลังก์มังกรได้อย่างสมใจนึกหรอกเพคะ”เฟิ่งอี๋เชิดหน้าตอบกลับอย่างท้าทาย“เจ้า !”ฟางหรงชี้นิ้วสั่นระริกไปใบหน้าหยิ่งผยองของสตรีอีกคน ขบฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อถูกยอกย้อนกลับในขณะที่สถานการณ์ตรงหน้ากำลังตึงเครียด สื่อหม่าก็ร้องโอดครวญขึ้นมาว่า “โอ๊ย... องค
เมื่อนางกินไก่ตุ๋นที่เฉินเฉิงนำมาให้จนหมดแล้วรู้สึกง่วง และอ่อนเพลียมากจึงเผลอหลับไป ครั้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมายังรู้สึกว่าเหมื่อยล้าไปหมด เหงื่อผุดซึมตามตัวคล้ายกับว่าภายในร่างกายกำลังต่อต้านกับพิษ“ลี่จู่... ลี่จ้ง...”เฟิ่งอี๋ส่งเสียงเรียกขันทีข้างกายเสียงเบา ไม่นานนักผู้ภักดีทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นข้างแท่นบรรทม“พระนางทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ สีหน้าไม่สู้ดีนัก”ลี่จู่รีบเข้าไปประคองนางลุกขึ้น ส่วนลี่จ้งนั้นรีบหาผ้าชุบน้ำมาซับใบหน้านางเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น“เราคิดว่า... เรากำลังถูกพิษ”“กระหม่อมจะไปสังหารฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ !”ลี่จ้งขว้างผ้าในมือทิ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด คนที่อยู่กับพระนางตลอดช่วงเย็นนี้มีเพียงเฉินเฉิงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น คนที่วางยาพิษพระนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา“ช้าก่อน”เฟิ่งอี๋รีบเอ่ยห้าม เพราะรู้ว่าลี่จ้งวรยุทธ์สูงมากแค่ไหน เพียงแค่พริบตาเดียวก็สามารถปลิดชีพบุรุษอ่อนแอย่างเฉินเฉิงได้แล้ว“ฝ่าบาททรงทำร้ายพระนางครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดพระนางยังทรงอาลัยอาวรณ์ฝ่าบาทอยู่อีกเล่า”ลี่จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขามิได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่ชายฝาแฝด เมื่อรู้สึกปวดใจแ
“เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”เฉินเฉิงตวาดออกไปด้วยความโมโหที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนวางยาพิษ“ยาเสน่ห์ขวดนั้น ความจริงแล้วคือยาพิษ”สื่อหม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบเย็น ในเมื่อฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงสตรียิ่งนัก เขาจึงยัดเยียดหน้าที่วางยาพิษจักรพรรดินีให้ฮ่องเต้เสีย หลังจากวันนั้นเขาก็เร่งเดินทางไปสมทบกับกองทัพขององค์หญิงฟางหรงเพื่อดำเนินตามแผนการขั้นต่อไป“จะเป็นยาพิษได้อย่างไร ในเมื่อตอนนั้นใช้เข็มพิสูจน์พิษทดสอบแล้วเข็มไม่เปลี่ยนสี”เขาจำได้แม่นยำว่าตอนที่ผสมยาขวดนั้นให้นางกิน ขันทีได้พิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าไม่มีพิษ อีกทั้ง นับตั้งแต่นางดื่มยาเข้าไป นางก็ลุ่มหลงเขาคล้ายกับต้องยาเสน่ห์ เขาจึงเข้าใจว่านั่นคือยาเสน่ห์จริง ๆฟางหรงหัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า“เสด็จพี่.... พิษขวดนั้น เป็นพิษจากทางเหนือที่ถูกปรุงขึ้นเป็นพิเศษ ไร้รส ไร้กลิ่น และไม่สามารถพิสูจน์พิษได้ด้วยเข็มเงิน”นางไขข้อข้องใจให้แก่พี่ชายผู้โง่เขลาของตน ช่างน่าเสียดายใบหน้าอัดงดงามในร่างใหม่ของฮ่องเต้ยิ่งนัก แม้ว่าได้ร่างที่สมบูรณ์เหนือกว่าบุรุษทั้งปวง แต่จิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นกลับยังคงเป็นฮ่องเต้ผู้อ่อนแอเช่นเดิมเฉินเฉิงได้
ลี่จ้ง และลี่จู่ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงกันว่า“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขาทั้งสองนั้น มิได้คลายลงแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะติดตามในขบวนเสด็จด้วยขบวนเสด็จประพาสป่าของจักรพรรดินีได้มาถึงที่บริเวณชายป่าทางด้านทิศเหนือของเมืองหลวง เฉินเฉิงก็ดึงเชือกให้ม้าเหยาะย่างช้า ๆ เพื่อให้เฟิ่งอี๋ได้ชมความงามของธรรมชาติสองข้างทางช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าผลิบานให้เห็นได้ทั่วไป สตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเขาบนหลังม้าส่งเสียงใส ๆ ไปตลอดทางด้วยความตื่นเต้น จักรพรรดินีผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นเมื่อถอดมงกุฎหงส์ออกก็กลายเป็นดรุณีน้อยแสนบอบบางผู้หนึ่งยามที่ลมพัดผ่านกายนางนำเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยเข้าจมูกเขา เฉินเฉิงอดมิได้ที่จะปักจมูกลงข้างแก้มเนียนของนางเพื่อสูดกลิ่นหอมนั้นอีกครั้ง“ฝ่าบาททรงแอบกินเต้าหู้หม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ”เฟิ่งอี๋กระซิบเขาให้ได้ยินเพียงสองคน “หากแอบเจ้าคงไม่รู้ เมื่อเจ้ารู้แล้ว แต่ไม่หลบหนีนั่นแสดงว่าเจ้าเต็มใจ”เฉินเฉิงยิ้มกริ่ม แล้วทอดสายตาไปยังเนินเขาเบื้องหน้าซึ่งเป็นป่าทึบเฟิ่งอี๋ห
เฟิ่งอี๋ได้แต่เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ยังไม่ทันที่นางจะได้โต้ตอบอันใด นางก็ถูกเขาอุ้มเดินไปยังเตียงทั้ง ๆ ที่แท่งหยกของเขายังอยู่ภายในกายนางทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวเกิดการเสียดสีที่จุดสัมผัสอันอ่อนไหวปลุกไฟสวาทของทั้งคู่ให้ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง“เฟิ่งอี๋... ข้ารักเจ้า... ข้าอยากให้เราเคียงคู่ครองบัลลังก์เหมือนเมื่อกาลก่อน”เฉินเฉิงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ภายในแววตาของเขาฉ่ำวาวไปด้วยความเสน่หา ขณะที่วางร่างนางลงบนเตียง แล้วตนก็ทาบทับร่างของนางเอาไว้“ท่านกล่าวเช่นนี้ ต้องการข้าหรือต้องการบัลลังก์มังกรคืนกันแน่”เขารู้สึกว่าร่างนางแข็งเกร็งต่อต้านขึ้นมา จึงใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามเรือนกายนาง เร้าความรู้สึกวาบหวามให้เรือนร่างนางอ่อนระทวยลงอีกครา“ข้าต้องการทั้งสองสิ่ง... หากไม่มีเจ้า ข้าจะครองใต้หล้าให้สงบสุขได้อย่างไร และข้าต้องการนั่งบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง เพื่อจะได้ครอบครองเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”เสียงของเขาในท่อนสุดท้ายสั่นเครือ เขาทนไม่ได้จริง ๆ ที่ต้องเห็นนางเสพสุขกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขาวาจาเช่นนี้เมื่อครั้งที่เป็นฮองเฮานางไม่เคยได้ยินจากปากเขา ไม่ว่าวาจานี้จะจริงหรือเท็จแต่นางก็รู