ในขณะที่จักรพรรดินีกำลังเริงสำราญกับเหล่าหลวนถงคนเก่านั้น บรรดาว่าที่หลวนถงคนใหม่ก็กำลังนั่งรับประทานอาหารรวมกันที่เรือนอาหารซื่อหมิงดึงเฉินเฉิงให้มานั่งร่วมโต๊ะกับลู่เอิน เพราะอยากทำความรู้จักกับตระกูลคุ้มภัยที่มีชื่อเสียง“ข้าซื่อหมิง มาจากตระกูลซื่อ ทำการค้าเกลือมากว่าสิบชั่วอายุคนแล้ว”ซื่อหมิงแนะนำตัวเองอย่างเป็นกันเอง ลู่เอินไม่แม้แต่แนะนำตัวตอบ แม้กระทั่งใบหน้าเขายังไม่เหลือบมองซื่อหมิงแม้แต่น้อย เขายังคงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารของตนต่อไปเรื่อย ๆเฉินเฉิงเห็นความพยายามของซื่อหมิงที่พยายามจะผูกมิตรกับผู้คนไปทั่วก็กระตุกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ซื่อหมิงเห็นสหายยิ้มเช่นนั้นก็ถลึงตาใส่เขาไปทีหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยกับลู่เอินต่อไปว่า“ส่วนสหายของข้าผู้นี้นามว่า เฉินเฉิง”ลู่เอินชะงักไปเล็กน้อย แล้วทำเสียงในลำคอคล้ายกับจะบอกว่ารับทราบแล้ว“สหาย... ท่านชื่ออะไร” ซื่อหมิงกล่าวอย่างไม่ละความพยายาม เพราะเพื่อขยายเครือข่ายกิจการค้าเกลือของครอบครัวเขาจำเป็นต้องผูกมิตรให้มากเข้าไว้“ลู่เอิน”กล่าวจบบุรุษในอาภรณ์สีดำก็ลุกขึ้น ก่อนเดินออกจากโต๊ะอาหาร เขาแลเหลือบไปที่เฉินเฉิงอย่างสนใจ“สหายลู่เอิน
ณ ตำหนักเมฆาสวรรค์แม้ว่าจะล่วงเลยเข้าสู่ยามบ่ายแล้ว แต่องค์จักรพรรดินียังเกลือกกลิ้งอยู่บนแท่นบรรทมของตน มีลี่จู่คอยบีบนวดให้เพื่อคลายความเหมื่อยล้าจากศึกหนักในคืนเริงสำราญที่ผ่านมาส่วนลี่จ้งก็คลี่ม้วนกระดาษ อ่านรายงานถวายพระนางอยู่ข้างเตียง“เอ่อร์หลวนถงถวายรายงานมาว่า ได้จับฆ่าตกรในคดีศพไร้ศีรษะส่งให้กรมอาญาเรียบร้อยแล้ว”“จับได้เร็วปานนั้นเชียว”เฟิ่งอี๋พึมพำออกมาเบา ๆลี่จ้งจึงเอ่ยตอบกลับว่า“คาดว่าน่าจะเป็นแพะที่หามา เพราะศพไร้ศีรษะสภาพเปลือยเปล่าไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นคนตระกูลใด ต่อให้เป็นยอดนักสืบก็ยากนักที่จะสาวความได้”พระนางแค่นเสียงในลำคอ“ข้าก็คิดว่าเขาไม่เอาไหน แต่ไม่คิดว่าจะสิ้นคิดปานนี้ กลับลากคนบริสุทธิ์มาตายแทนเพื่อรับความดีความชอบ”ลี่จ้งคอยรับฟังอย่างสงบนิ่ง พระนางจึงตรัสต่อไปว่า“เรื่องนี้เห็นทีจะปล่อยผ่านไม่ได้ คดีศพไร้ศีรษะต้องมีคนจงใจปิดบังบางอย่างเป็นแน่ หากแม้นเราสืบไม่ได้ความจริง เกรงว่าจะเป็นประกายไฟลามใส่ศีรษะเรา อย่างไรเสียก็ให้คนของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬช่วยสืบให้รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของฆ่าตกร”“รับพระบัญชา”ลี่จ้งประสานมือน้อมรับคำสั่ง หน่วยพยัคฆ์ทมิฬที่พร
ซูเมิ่งรับคำอย่างกระตือรือร้น ด้วยวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีณ ท้องพระโรงหยวนเยว์ อี้หลวนถง นำว่าที่หลวนถงที่ผ่านการทดสอบทั้งสิ้นยี่สิบคนเข้าเฝ้าจักรพรรดินีเพื่อทรงประทานตำแหน่งหลวนถงในแต่ละลำดับเฟิ่งอี๋ในอาภรณ์ลายหงส์ นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ทอดสายตาพินิจบุรุษหนุ่มเบื้องล่าง 4 ปีมานี้กรมพิธีการฝ่ายในทำหน้าที่การคัดเลือกชายบำเรอได้ดียิ่งนัก บุรุษแต่ละคนที่ถูกคัดมาเป็นหลวนถงนั้นล้วนมีใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาที่ติมิได้ เรือนร่างกำยำสูงสง่าอย่างสมบูรณ์แบบ“ขอจงทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี หมื่นปี ๆ”ในขณะที่ทุกคนต่างคุกเข่าหมอบลงถวายพระพรองค์จักรพรรดินี แต่กลับมีบุรุษผู้หนึ่งยืนนิ่ง ลำตัวตั้งตรง มือขวาไพล่หลัง มือซ้ายกำไว้หลวม ๆ ยกขึ้นเล็กน้อยในระดับเอว ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ราวกับว่าผู้คนที่หมอบลง ณ ที่แห่งนั้นกำลังทำความเคารพเขาอย่างสูงสุดเฟิ่งอี๋ที่อยู่บนบัลลังก์มังกรหัวใจกระตุกวูบ ราวกับห้วงเวลาได้หยุดชะงักลงเมื่อนางแลสบสายตาของบุรุษสามหาวที่บังอาจไม่ก้มหัวให้นางผู้นั้นแม้นางจะไม่เคยเห็นของเขามาก่อน แต่กลับรู้สึกคุ้นตากับกิริยาสง่างามทุกท่วงท่าเช่นนั้น อ
ลู่เอินขยับเท้าเข้าสู่ภายในราวกับตกอยู่ในอำนาจของมนต์สะกด ขันทีรับใช้ก็รีบออกไป แล้วปิดบานประตูห้องบรรทมลงอย่างเงียบเชียบเมื่อเขาก้าวล่วงม่านโปร่งเข้าไปสู่ชั้นใน ทั้งร่างก็สะท้านวูบ เพราะเรือนร่างงดงามบนแท่นบรรทมกลับมิใช่จักรพรรดินี แต่เป็นสตรีที่เขาระถึงอยู่ทุกวินาที“...หรงเอ๋อร์...”บุรุษหนุ่มหลุดคำแผ่วเบาออกจากปาก แววตาเลื่อนลอยวูบหนึ่งสตรีบนเตียงแย้มยิ้ม แกล้งปัดผ้าที่ห่มเรือนกายให้เผยอออก หน้าอกอวบอิ่มก็ปรากฏแต่สายตาบุรุษเบื้องหน้า“..เข้ามาหาเราสิ...”กิริยาของสตรีเบื้องหน้าเต็มไปด้วยเสน่ห์อันยั่วเย้าอันแพรวพราว ทำให้สติที่เหลืออยู่อันน้อยนิดของลู่เอินตื่นตัวขึ้น เขาชะงักฝีเท้าแล้วกดนิ้วชี้จุดที่ฝ่ามือเพื่อกระตุ้นความตื่นตัวของตน แล้วกะพริบตาขับไล่ความมึนงงชั่วครู่ออกไป ภาพเบื้องหน้าก็พลันแจ่มใสขึ้น“จักรพรรดินี”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างแจ่มชัดเฟิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็แย้มยิ้มออกมา ดวงตาหงส์ฉาบด้วยรอยเจ้าเล่ห์ชั้นหนึ่ง ทุกครั้งที่หลวนถงคนใหม่จะเข้าปรนนิบัตินางบนแท่นบรรทม นางจะจุดกำยานสิเน่หาไว้ที่ห้อง ทันทีที่หลวนถงเข้าสู่ห้องบรรทมกำยานก็จะทำปฏิกิริยากับกลิ่นกุหลาบในกายเขา แล
เฉินเฉิงเชิดใบหน้ามองเขาด้วยหางตา ในหัวกำลังใคร่ครวญว่าบุรุษใบหน้าหยาดเยิ้มราวอิสตรีผู้นี้สูงส่งเพียงใด เหตุใดฮ่องเต้อย่างเขาจะต้องก้มหัวให้ด้วยเมื่อเห็นหลวนถงคนใหม่ไม่ยอมก้มหัวให้ เลี่ยงซูจึงโกรธมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ตวาดสั่งขันทีข้างกายว่า“จับคนผู้นี้คุกเข่าให้เรา”ขันทีสองคนรีบจับถาโถมเข้าจับเฉินเฉิงกดลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะเฉียบเย็น เขาดิ้นขัดขืนพร้อมกับตวาดอย่างลืมตนว่า“สามหาว กล้าจับข้าคุกเข่าหรือ !”เอ่อร์หลวนถงเห็นบุรุษงดงามดุจเทพเซียนถูกจับกดลงกับพื้นคลุกกับหิมะจนใบหน้าขาวซีด ดวงตาแดงก่ำก็ยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจ“ทำไมจะไม่กล้า เจ้าเป็นเพียงแค่ซื่อหลวนถง ส่วนข้าเป็นถึงเอ่อร์หลวนถง ตำแหน่งสูงกว่าเจ้าตั้งเท่าใด อย่าคิดว่าจักรพรรดินีไม่เอาผิดเจ้าแล้วข้าจะละเว้น วันนี้ข้าจะลงโทษเจ้าเอง”เฉินเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติ แล้วยอมคุกเข่าแต่โดยดี ตอนนี้เขามิใช่ฮ่องเต้ เป็นเพียงหลวนถงชั้นต่ำ ผู้ที่อยู่เบื้องล่างย่อมถูกกดขี่จากคนเบื้องบนเช่นนี้เอง“ทำไม... ไม่ขัดขืนแล้วหรือ”เลี่ยงซูใช้สายตาเย้ยหยันเต็มที่ ให้คุกเข่าเท่านี้ยังไม่สามารถระบายความโมโหที่มีอยู่ในใจได้ เขาจึงสั่งขันทีข้างกา
นางกำนัลแรกสาว ก้มใบหน้าลงต่ำก้าวเข้าไปหาต้าเย่ว์ สายตาที่มองนางของเขาแทบจะกลืนกินนางแทนน้ำชา ทำให้ใบหน้านางร้อนฉ่า พวงแก้มแดงก่ำยิ่งเพิ่มความน่ารักให้กับนางเมื่อร่างน้อยขยับเข้ามาใกล้ ต้าเย่ว์ก็ดึงข้อมือนางกระชากเข้าตน ร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นของนางก็ปะทะเข้าแผงอกแกร่งเต็มแรงตุบ“ว้าย !”นางกำนัลน้อยหวีดร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ เพราะนางไม่เคยถูกหลวนถงคนใดกระทำรุ่มร่ามกับนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้ง ในวังยังมีข้อห้ามมิให้นางกำนัลแตะต้องตัวหลวนถง แม้แต่การปรนนิบัติหลวนถงในเรื่องส่วนตัวยังเป็นหน้าของขันทีเท่านั้น“ซื่อหลวงถง ได้โปรดปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ ทำเช่นนี้ผิดกฎของวังหลังนะเจ้าคะ”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกเต็มที่ พร้อมกับหลีกเลี่ยงริมฝีปากรวกร้อนที่พรมจูบลงมาตามใบหน้าและซอกคอของนาง“กฎอะไรข้ามิสนใจทั้งนั้น ในเมื่อเจ้าเป็นคนในเรือนข้า ข้าก็ย่อมมีสิทธิ์หาความสุขจากเจ้าได้”ต้าเย่ว์คำรามเสียงแหบพร่า ทันทีที่ได้สัมผัสหนั่นเนื้อสตรี สัญชาตญาณความเป็นบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นตัวขึ้นมา เขาไม่ได้ลิ้มรสหนั่นเนื้อนุ่มนิ่มเช่นนี้มานานแล้ว เมื่อเนื้อหอมกรุ่นวางอยู่ตรงหน้า ไฉนเลยเสือนักล่าอย่างเขาจ
“ทูลพระนาง หน่วยพยัคฆ์ทมิฬรายงานกลับมาว่า คุณชายน้อยของตระกูลเขาไม่มีสตรีในดวงใจ ดังนั้น จึงได้ส่งภาพศพไร้ศีรษะให้ท่านลู่เจ้าสำนักคุมภัยดู เขายืนยันว่าศพนั้น คือ ลูกชายของตนพ่ะย่ะค่ะ”ลี่จ้งรายงาน ขณะที่มือนั้นปลอกผลองุ่นเพื่อเอาเมล็ดออกให้พระนาง“แน่ใจหรือ สังเกตได้จากที่ใด”เฟิ่งอี๋ยังไม่วางใจ“ทูลพระนาง.... ท่านลู่ยืนยันว่าเป็นบุตรชายตน เพราะเห็นรอยสักรูปดาบไขว้ที่ต้นแขนด้านขวา รอยสักชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของสำนักคุ้มภัยตระกูลลู่ และมีเพียงทายาทเท่านั้นที่มีรอยสักนี้พ่ะย่ะค่ะ”เฟิ่งอี๋พยักหน้า แล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า“คดีไร้ศีรษะนี้นับว่ากระจ่างแล้ว ลู่เอินผู้นี้เป็นตัวปลอม แต่ให้เก็บเรื่องเอาไว้ก่อน”“ขออภัยที่กระหม่อมโง่เขลา ขอบังอาจถามพระนางว่า เพราะเหตุใดเราไม่รีบลงโทษลู่เอินที่บังอาจสังหารผู้อื่นแล้วสวมรอยเข้าคัดเลือกเป็นหลวนถงเล่าพ่ะย่ะค่ะ”ลี่จู่เอียงคอถามด้วยสำเนียงออดอ้อนตามแบบอย่างบุรุษอ่อนหวาน“เพราะว่า.... เราจะใช้เขาเป็นเหยื่อ.... ล่อปลาในไหให้ออกมาทั้งหมด”ดวงตาหงส์มีประกายวาววับ ลู่เอินผู้นี้ลงทุนแฝงกายเข้ามาเป็นชายบำเรออยู่ข้างกายนางเช่นนี้ ต้องมีผู้อื่นอยู่เบื้องหลังเป็นแน
“ป้ายหยกสัญลักษณ์ประจำตัวไทเฮา”ลู่เอินได้ยินคำตอบแจ่มชัด เขาพิจารณาบุรุษบนเตียงขึ้น ๆ ลง ๆ อีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าใช่ฮ่องเต้ตัวจริงหรือไม่ป้ายหยกชิ้นนี้มิได้สลักคำว่าไทเฮาแม้แต่น้อย หากดูผิวเผินคล้ายกับหยกอวยพรธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น คนรู้ถึงความสำคัญของป้ายหยกชิ้นนี้จึงมีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้น“ท่านรู้ได้อย่างไร”เขาถามย้ำเพื่อความมั่นใจ“ข้าเป็นคนสั่งทำให้พระมารดาเอง ทำไมจะจำไม่ได้”เฉินเฉิงตอบออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องคิดคิ้วดาบของลู่เอินย่นเข้าหากัน บุรุษหนุ่มผู้นี้อ่อนเยาว์กว่าเขาหลายปี อีกทั้งยังไม่ใช่ราชนิกุล หากเขาไม่ใช่ฮ่องเต้คงไม่มีทางรู้ความสำคัญของป้ายหยกชิ้นนี้เป็นแน่“ท่านคือ เฉินเฉิงฮ่องเต้ รึ”ลู่เอินถามเสียงเบาเฉินเฉิงพลันสั่นสะท้านขึ้นมาเมื่อรับรู้ว่ามีอีกคนที่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขา“ท่านทราบได้อย่างไร”เขาขยับตัวนั่งตรง มองคนตรงหน้าอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่ขอปิดบัง”ลู่เอินถอยห่างออกจากเตียงหนึ่งก้าว แล้วประสานมือค้อมศีรษะลง จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า“แท้จริงแล้ว กระหม่อมมีนามว่า สื่อหม่า เป็นรองแม่ทัพในกองกำลังทหารขององค์หญิง
“หม่อมฉันหนิงเฟยขออภัยที่เสียกิริยาแล้ว เนื่องจากหม่อมฉันอยากจะท่องบทกลอนถวายฝ่าบาทสักบทเพคะ”“เจ้า !.....”ใต้เท้าหมิงฉางกำลังจะอ้าปากตวาดนางอีกรอบ แต่เฉินเฉิง รีบยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยว่า“ว่ามาเถอะ”น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขากลั้นใจรอฟังกลอนบทนั้นโดยไม่รู้ตัว“เจ้าคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ด้วยปัญญาล้ำเลิศเป็นหนึ่งในใต้หล้าในใจข้าเจ้าคือยอดบุปผาสง่างาม ทุกโมงยามเคียงคู่ครองบัลลังก์”เมื่อนางเอ่ยบทกลอนนี้จบลง เฉินเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปประกาศก้องให้ได้ยินทั่วกันทั้งท้องพระโรงว่า“จากนี้ไปหนิงเฟยเป็นฮองเฮาของเราแต่เพียงผู้เดียว”ทุกคนในท้องพระโรงต่างตะลึงอ้าปากค้างไปตามกัน ๆ ฮ่องเต้ที่ไม่แตะต้องสตรีมากกว่าสิบปี บัดนี้กลับประกาศแต่งตั้งดรุณีน้อยเป็นฮองเฮาทันทีที่พบหน้า และยังไม่ทันที่เหล่าขุนนางจะหายตกตะลึง ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า“ทุกคนออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับฮองเฮาของเราเพียงลำพัง”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ออกไปจากท้องพระโรงด้วยความงวยงง แต่ก็มิได้มีผู้ทัดทานเพราะการที่ฮ่องเต้ยอมแตะต้องสตรีย่อมเป็นเรื่องดีแน่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เฉินเฉิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาสตรีเบื้องล่าง
ราชครูต้าเว่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากร่างไหลทะลักเปรอะเปื้อนแท่งทองคำบนพื้นเหล่านั้น แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตายจากนั้นเมื่อเห็นว่าทหารฝ่ายตรงข้ามถูกจับกุมเอาไว้หมดแล้ว ลี่จู่จึงนำกำลังทหารไปยังตำหนักของหลวนถงในลำดับต่อไป จนในที่สุดเขาก็ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายภายในวังหลังเอาไว้ได้หลังเหตุการณ์ก่อกบฏสิ้นสุดลง แม่ทัพฉีเฮาและใต้เท้าจ้านได้อัญเชิญเฉินเฉิงฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชโองการของจักรพรรดินีเมื่อเฉินเฉิงฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรด้วยวัยเพียงสิบแปดพรรษา แล้วเขาก็ได้ทำตามคำขอของจักรพรรดินีทุกประการถึงแม้ว่าหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจะถูกเชิดชูให้เป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน ภายใต้การดูแลขององค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่สองพี่น้องฝาแฝดลี่จ้ง และลี่จู่ก็ไม่คิดรับใช้ราชสำนักอีกต่อไปจึงขอพระราชทานราชานุญาตให้พวกตนออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และรองแม่ทัพของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬบุรุษทั้งสองในอาภรณ์สีเรียบนั่งบนอาชาพ่วงพีด้วยกิริยาองอาจ ม้าเหยาะย่างผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดูป้ายประกาศของทางการ เรื่อง จักรพรรดินีฟางเหรินผู้ไร้คุณธรรมสังหารองค์หญิงฟางหรง ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งจักรพรรดินีด้วย
“เฟิ่งอี๋....ข้าจะพาเจ้ากลับวังหลวงไปรักษา... เจ้าอดทนสักหน่อยนะ.. เฟิ่งอี๋”เฉินเฉิงใช้แขนเสื้อซับเลือดให้นางอย่างกระวนกระวาย เลือดของนางออกมากเกินไปแล้ว เขาต้องพานางกลับวังไปรักษา จึงพยายามออกแรงเพื่ออุ้มนางให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ต้องจำยอมทรุดตัวลงนั่งกอดนางไว้แนบอกตามเดิมเพราะเสียงผะแผ่วของนางดังขึ้นว่า“ฝ่าบาท... ไม่มีประโยชน์เพคะ”เสียงขาดหายเป็นห้วง ๆ ของนางทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหากเขาขยับเพียงน้อยนิด ลมหายใจของนางก็จะถูกสายลมช่วงชิงไป“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทรับปากสามประการ.... ประการแรก ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษให้แก่หลวนถงทุกคน ประการที่สองขอฝ่าบาทโปรดดูแลหน่วยพยัคฆ์ทมิฬแทนหม่อมฉันด้วย”ลี่จ้งได้ยินดังนั้น ก็สะอื้นไห้หนักขึ้น แม้จวบจนวินาทีสุดท้ายพระนางยังทรงรักและห่วงใยชีวิตข้ารับใช้อย่างพวกเขาหลังจากนี้หากพระนางไม่ขออภัยโทษ หลวนถงที่มีฐานะเป็นชายาบำเรอของจักรพรรดินีต้องถูกประหารให้ตายตกตามกันไป ส่วนหน่วยพยัคฆ์ทมิฬนั้นได้ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการโหดเหี้ยมอำมหิตมีศัตรูมากมาย หากพระนางสิ้นลงเหล่าขุนนางที่มีใจเจ็บแค้นต้องถวายฎีกาให้ลงทัณฑ์พวกเขาปางตายเป็น
ใต้เท้าจ้านรับม้วนราชโองการสีทองไว้ด้วยมือสั่นระริก หัวของเขาถึงกับสรรหาถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ถูก การสนทนาของแม่ทัพทั้งสองเมื่อครู่ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่า แม่ทัพฉีเฮาเป็นสายลับขององค์จักรพรรดินีที่แฝงตัวอยู่ข้างกายองค์หญิงฟางหรง มิน่าเล่า แม้นว่าจะอยู่ไกลถึงพันลี้ แต่พระนางยังทรงล่วงรู้แผนการขององค์หญิงมาตลอดราวกับว่าเห็นได้ด้วยตาตนเอง“พระนางทรงรับสั่งเอาไว้ว่า... เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วให้ท่านเป็นผู้ประกาศราชโองการนี้”ลี่จ้งเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นใต้เท้าจ้านได้ยินดังนั้น พลันรู้สึกว่าม้วนราชโองการในมือหนักขึ้นมาเป็นร้อยเท่าพันทวี เหงื่อเม็ดใหญ่ถึงกับไหลย้อยลงที่ขมับ“ท่านโปรดวางใจเถิด ข้าจะทำตามนั้น”ใต้เท้าจ้านแบกรับหน้าที่สำคัญเอาไว้ด้วยใจ ในอกเขาคล้ายกับมีความตื้นตันลูกใหญ่ถาโถมขึ้นมาจนรู้สึกตีบตันที่ลำคอ เมื่อรู้ว่าจักรพรรดินีที่ใคร ๆ ต่างมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้คุณธรรม แต่ความจริงแล้วที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดก็เพื่อปกป้องบัลลังก์มังกรเพื่อคืนให้แก่ฮ่องเต้“เหตุใดพระนางต้องกระทำการที่เลี่ยงแก่ชีวิตตนเองเช่นนี้ด้วย”แม่ทัพฉีเฮาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กลยุทธ์ในการศึกมีมากก
คำถามที่เป็นเหมือนดังเช่นคำตัดพ้อของเฟิ่งอี๋ทำให้เฉินเฉิงชะงักไป ทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยมาล้วนตรงกับสิ่งที่เขาคิดทั้งสิ้น หากตอนนั้นนางบอกเขาตรง ๆ ว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันคิดจะฆ่าเขาเพื่อชิงบัลลังก์ เขาก็คงไม่เชื่อ และจะระแวงสงสัยนางเสียอีกว่ายั่วยุให้เขาสังหารพี่น้อง ดังนั้น นางจึงใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เขาเห็นกับตาตนเององค์หญิงฟางหรงยิ้มเยาะออกมาแล้วเอ่ยยั่วอารมณ์เฟิ่งอี๋ว่า“ฮองเฮา... ท่านทรงรักฝ่าบาทยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ฝ่าบาทเคยพระราชแพรขาวปลิดชีพท่านจนตายมาแล้ว นอกจากท่านจะไม่แค้นแล้วยังปกป้องเขา ช่างโง่งมจริง ๆ”“ฟางหรง ! เจ้าหยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”เฉินเฉิงตวาดออกมาด้วยความโมโหที่นางตั้งใจยั่วยุให้เขาและเฟิ่งอี๋ขัดแย้งกันอีก ทั้งยังกลัวว่านางจะไม่ให้อภัยเขา“หม่อมฉันก็ไม่ได้โง่พอให้องค์หญิงได้ครอบครองบัลลังก์มังกรได้อย่างสมใจนึกหรอกเพคะ”เฟิ่งอี๋เชิดหน้าตอบกลับอย่างท้าทาย“เจ้า !”ฟางหรงชี้นิ้วสั่นระริกไปใบหน้าหยิ่งผยองของสตรีอีกคน ขบฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อถูกยอกย้อนกลับในขณะที่สถานการณ์ตรงหน้ากำลังตึงเครียด สื่อหม่าก็ร้องโอดครวญขึ้นมาว่า “โอ๊ย... องค
เมื่อนางกินไก่ตุ๋นที่เฉินเฉิงนำมาให้จนหมดแล้วรู้สึกง่วง และอ่อนเพลียมากจึงเผลอหลับไป ครั้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมายังรู้สึกว่าเหมื่อยล้าไปหมด เหงื่อผุดซึมตามตัวคล้ายกับว่าภายในร่างกายกำลังต่อต้านกับพิษ“ลี่จู่... ลี่จ้ง...”เฟิ่งอี๋ส่งเสียงเรียกขันทีข้างกายเสียงเบา ไม่นานนักผู้ภักดีทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นข้างแท่นบรรทม“พระนางทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ สีหน้าไม่สู้ดีนัก”ลี่จู่รีบเข้าไปประคองนางลุกขึ้น ส่วนลี่จ้งนั้นรีบหาผ้าชุบน้ำมาซับใบหน้านางเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น“เราคิดว่า... เรากำลังถูกพิษ”“กระหม่อมจะไปสังหารฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ !”ลี่จ้งขว้างผ้าในมือทิ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด คนที่อยู่กับพระนางตลอดช่วงเย็นนี้มีเพียงเฉินเฉิงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น คนที่วางยาพิษพระนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา“ช้าก่อน”เฟิ่งอี๋รีบเอ่ยห้าม เพราะรู้ว่าลี่จ้งวรยุทธ์สูงมากแค่ไหน เพียงแค่พริบตาเดียวก็สามารถปลิดชีพบุรุษอ่อนแอย่างเฉินเฉิงได้แล้ว“ฝ่าบาททรงทำร้ายพระนางครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดพระนางยังทรงอาลัยอาวรณ์ฝ่าบาทอยู่อีกเล่า”ลี่จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขามิได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่ชายฝาแฝด เมื่อรู้สึกปวดใจแ
“เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”เฉินเฉิงตวาดออกไปด้วยความโมโหที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนวางยาพิษ“ยาเสน่ห์ขวดนั้น ความจริงแล้วคือยาพิษ”สื่อหม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบเย็น ในเมื่อฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงสตรียิ่งนัก เขาจึงยัดเยียดหน้าที่วางยาพิษจักรพรรดินีให้ฮ่องเต้เสีย หลังจากวันนั้นเขาก็เร่งเดินทางไปสมทบกับกองทัพขององค์หญิงฟางหรงเพื่อดำเนินตามแผนการขั้นต่อไป“จะเป็นยาพิษได้อย่างไร ในเมื่อตอนนั้นใช้เข็มพิสูจน์พิษทดสอบแล้วเข็มไม่เปลี่ยนสี”เขาจำได้แม่นยำว่าตอนที่ผสมยาขวดนั้นให้นางกิน ขันทีได้พิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าไม่มีพิษ อีกทั้ง นับตั้งแต่นางดื่มยาเข้าไป นางก็ลุ่มหลงเขาคล้ายกับต้องยาเสน่ห์ เขาจึงเข้าใจว่านั่นคือยาเสน่ห์จริง ๆฟางหรงหัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า“เสด็จพี่.... พิษขวดนั้น เป็นพิษจากทางเหนือที่ถูกปรุงขึ้นเป็นพิเศษ ไร้รส ไร้กลิ่น และไม่สามารถพิสูจน์พิษได้ด้วยเข็มเงิน”นางไขข้อข้องใจให้แก่พี่ชายผู้โง่เขลาของตน ช่างน่าเสียดายใบหน้าอัดงดงามในร่างใหม่ของฮ่องเต้ยิ่งนัก แม้ว่าได้ร่างที่สมบูรณ์เหนือกว่าบุรุษทั้งปวง แต่จิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นกลับยังคงเป็นฮ่องเต้ผู้อ่อนแอเช่นเดิมเฉินเฉิงได้
ลี่จ้ง และลี่จู่ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงกันว่า“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขาทั้งสองนั้น มิได้คลายลงแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะติดตามในขบวนเสด็จด้วยขบวนเสด็จประพาสป่าของจักรพรรดินีได้มาถึงที่บริเวณชายป่าทางด้านทิศเหนือของเมืองหลวง เฉินเฉิงก็ดึงเชือกให้ม้าเหยาะย่างช้า ๆ เพื่อให้เฟิ่งอี๋ได้ชมความงามของธรรมชาติสองข้างทางช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าผลิบานให้เห็นได้ทั่วไป สตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเขาบนหลังม้าส่งเสียงใส ๆ ไปตลอดทางด้วยความตื่นเต้น จักรพรรดินีผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นเมื่อถอดมงกุฎหงส์ออกก็กลายเป็นดรุณีน้อยแสนบอบบางผู้หนึ่งยามที่ลมพัดผ่านกายนางนำเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยเข้าจมูกเขา เฉินเฉิงอดมิได้ที่จะปักจมูกลงข้างแก้มเนียนของนางเพื่อสูดกลิ่นหอมนั้นอีกครั้ง“ฝ่าบาททรงแอบกินเต้าหู้หม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ”เฟิ่งอี๋กระซิบเขาให้ได้ยินเพียงสองคน “หากแอบเจ้าคงไม่รู้ เมื่อเจ้ารู้แล้ว แต่ไม่หลบหนีนั่นแสดงว่าเจ้าเต็มใจ”เฉินเฉิงยิ้มกริ่ม แล้วทอดสายตาไปยังเนินเขาเบื้องหน้าซึ่งเป็นป่าทึบเฟิ่งอี๋ห
เฟิ่งอี๋ได้แต่เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ยังไม่ทันที่นางจะได้โต้ตอบอันใด นางก็ถูกเขาอุ้มเดินไปยังเตียงทั้ง ๆ ที่แท่งหยกของเขายังอยู่ภายในกายนางทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวเกิดการเสียดสีที่จุดสัมผัสอันอ่อนไหวปลุกไฟสวาทของทั้งคู่ให้ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง“เฟิ่งอี๋... ข้ารักเจ้า... ข้าอยากให้เราเคียงคู่ครองบัลลังก์เหมือนเมื่อกาลก่อน”เฉินเฉิงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ภายในแววตาของเขาฉ่ำวาวไปด้วยความเสน่หา ขณะที่วางร่างนางลงบนเตียง แล้วตนก็ทาบทับร่างของนางเอาไว้“ท่านกล่าวเช่นนี้ ต้องการข้าหรือต้องการบัลลังก์มังกรคืนกันแน่”เขารู้สึกว่าร่างนางแข็งเกร็งต่อต้านขึ้นมา จึงใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามเรือนกายนาง เร้าความรู้สึกวาบหวามให้เรือนร่างนางอ่อนระทวยลงอีกครา“ข้าต้องการทั้งสองสิ่ง... หากไม่มีเจ้า ข้าจะครองใต้หล้าให้สงบสุขได้อย่างไร และข้าต้องการนั่งบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง เพื่อจะได้ครอบครองเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”เสียงของเขาในท่อนสุดท้ายสั่นเครือ เขาทนไม่ได้จริง ๆ ที่ต้องเห็นนางเสพสุขกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขาวาจาเช่นนี้เมื่อครั้งที่เป็นฮองเฮานางไม่เคยได้ยินจากปากเขา ไม่ว่าวาจานี้จะจริงหรือเท็จแต่นางก็รู