“ไม่มีทาง ใจร้ายเกินไปแล้วนะที่รัก ที่มาบอกให้ผมหยุดตอนนี้ คุณไม่ได้สัญญากับผมเหรอว่าหลังจากที่ผมทำตามสามอย่างที่สัญญาไว้ได้? อีกอย่างเรื่องผู้หญิงร่ำรวยนั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ผมพิสูจน์แล้วว่าเธอคือเทพเจ้าแห่งสงคราม เธอเป็นแค่เพื่อนของผม!” เฟนด์นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาจะอดกลั้นความปรารถนาสูงสุดของเขาไว้ได้ยังไงต่อหน้าผู้หญิงที่สวยเช่นนี้ อย่างภรรยาของเขา? เขาไม่คิดว่าเซเลน่าจะยิ้มอ่อน ๆ แทน หน้าของเธออยู่ใต้หน้าเขา “คนงี่เง่า ฉันไม่ได้บอกว่าคุณทำต่อไม่ได้ ฉันแค่อยากถามว่าคุณมีแผลเป็นบนตัวมากไหม?” เธอพูด “ฉันได้ยินมาว่าตอนที่ทหารถอดเสื้อจะมีรอยแผลเป็นอยู่ทั่วร่างกาย ทั้งหลัง หน้าอก และมันก็น่าตกใจตั้งแต่แรกเห็น มันไม่ง่ายเลยที่คุณจะเอาชีวิตรอดมาได้หลังจากอยู่ในสนามรบมาห้าปี!” เฟนด์ตกใจมาก “ถ้าผมมีแผลเป็นมากมาย คุณจะไม่ชอบผมเหรอ?” นี่เป็นคำถามที่จริงจัง “แน่นอน ฉันยังคงชอบคุณอยู่ ฉันคบกับใครก็ตามที่ฉันแต่งงานด้วย จำได้ไหม? และคุณก็เป็นคนของฉัน ฉันจะไม่ชอบคุณได้ยังไง?” เซเลน่าลุกขึ้นนั่ง เธอปลดกระดุมเสื้อของเฟนด์ด้วยท่าทางเขินอาย “ฉันแค่อยากดูรอยแผลเป็นบนร่างกายของคุณ คุณต
เซเลน่ากระวนกระวายใจมาก โดยไม่รู้ตัว จิตใต้สำนึกของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง “อืมมม!” ในที่สุดริมฝีปากของทั้งคู่ก็ชนกัน เธอเอาแขนโอบรอบคอของเฟนด์ไว้อย่างไม่รู้ตัว ขณะที่พวกเขากำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม ก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นมา เฟนด์ตกใจ สีหน้าของเขามืดลง “เอาจริงดิ? ใครมาเคาะประตู? นี่มันก็เลยสามทุ่มแล้วนะ” เซเลน่าก็ตกใจเช่นกัน เธอนั่งตัวตรงในความวุ่นวายแล้วจัดชุดนอนของเธอใหม่ “ไปเปิดประตูแล้วดูว่าใครมา อย่าบอกนะว่าเป็นแม่? อย่าบอกนะว่าเธอไม่ต้องการให้เรา...” เฟนด์นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาใส่เสื้อและค่อย ๆ เดินไปที่ประตูเพื่อดูว่าใครมา เขากำลังจะระเบิดความโกรธที่เขาไม่เห็นใครเมื่อเขาเปิดประตูออก เขาก้มหน้าลง ดวงตาโตคู่หนึ่งที่ดูหม่นหมองมองมาที่เขาอย่างคาดหวัง ความโกรธของเขาหายไปในทันที “ไคลี่ ลูกยังไม่นอนอีกเหรอ?” เฟนด์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่คิดว่าคนที่มาขัดจังหวะจะเป็นลูกสาวของเขาเอง เธอมองเข้าไปข้างในแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารว่า “หนูอยากนอนกับแม่ ไม่งั้นหนูนอนไม่หลับ!” เซเลน่าไม่คิดว่าลูกสาวของพวกเขาจะเป็นคนเคาะประตู เธอก็พูดไม่ออกเหมือนกับที่
“ผมคิดถึงคุณมากเลยที่รัก!” อีวานดึงซีน่าเข้ามาทันทีที่เธอเดินผ่านประตูเข้ามา เขารีบล็อคประตูด้านหลังไว้อย่างรวดเร็ว “คุณจะทำอะไร? นี่มันยังเช้าอยู่เลย!” ซีน่าผลักอีวานออกไป “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือ?” เธอพูดเสียงแข็ง “ฉันตัดสายคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่โทรมา มันก็น่าจะชัดเจนแล้วว่าฉันไม่ได้อยู่ในที่ที่พร้อมจะคุยกับคุณ แล้วทำไมคุณยังโทรมาหาฉันอีก?” อีวานก้าวไปข้างหน้าและโอบกอดเธอจากด้านหลัง “ก็ผมคิดถึงคุณ ผมแค่อยากจะชวนคุณออกมาดื่มไวน์ด้วยกัน ผมเพิ่งคิดได้หลังจากที่คุณไม่รับสายที่สอง” อีวานถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “บอกผมมาซิว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณถึงไม่รับสายผม?” “พวกเรากำลังกินข้าวอยู่ข้างนอกตอนที่คุณโทรมา ทุกคนในครอบครัวก็อยู่ที่นั่นด้วย! “และเฟนด์ต้องมีสัมผัสที่หกหรืออะไรบางอย่างแน่ เขารู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติเพียงเพราะฉันตัดสายตอนแรกที่คุณโทรมา เขาถามว่าทำไมฉันถึงไม่รับสาย ฉันก็บอกเขาไปว่ามันเป็นเพียงแค่การโทรก่อกวนจากตัวแทนอสังหาริมทรัพย์พวกนั้น แต่เขาก็ยังอยากให้ฉันเอาโทรศัพท์ให้เขาดูเพื่อดูเบอร์ของคนที่โทรเข้ามา ฉันโมโหมาก!” ซีน่าตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด “ถ้าฉันรู
ซีน่าที่เพิ่งถูกโยนลงบนเตียง จู่ ๆ ก็เหมือนนึกถึงอะไรขึ้นได้เมื่อเธอได้ยินคำว่า 'ฮันนีมูน' “ใช่แล้ว เดี๋ยวก่อนอีวาน” เธอพูดขึ้นมากระทันหัน “ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณก่อน!” “หือ?” อีวานตกใจ “อย่าบอกนะว่าเกี่ยวกับเฟนด์?” “ใช่แล้ว เขาบอกว่าเขาเซอร์ไพรส์เซเลน่าในวันเกิดของเธอ เขาถึงกับบอกว่า จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่ทำให้คนทั้งเมืองต้องตกตะลึง!” ซีน่าพูดต่ออีกว่า “มันเป็นสิ่งที่คุณควรรู้ใช่ไหม?” “ถูกต้อง อีกแค่เดือนเดียวก็จะถึงวันเกิดของเซเลน่าแล้ว ผมคงจะลืมมันไปแล้วถ้าคุณไม่เตือน!” อีวานนั่งลงที่ขอบเตียงและขมวดคิ้ว “เฟนด์ชอบโอ้อวดจริง ๆ ตกตะลึงไปทั่วทั้งเมือง? อาณาเขตกลางใหญ่มากและเขาอยากจัดงานวันเกิดให้กับเซเลน่าซึ่งมันจะตกตะลึงไปทั่วทั้งเมือง? เขาคงจะล้อเล่น เขาต้องใช้เงินถึงสองพันล้านเหรียญเลยนะถ้าเขาอยากทำให้คนทั้งเมืองตกตะลึงจริง ๆ” “ฮ่า ๆ เขาพูดเกินจริงแน่ ๆ!” ซีน่าหัวเราะคิกคัก “เอาล่ะ มาดูว่าคุณจะหาโอกาสวางยาเฟนด์ได้ในวันพรุ่งนี้หรือวันถัดไป แล้วเราค่อยรอดูกัน ใครจะไปรู้ บางทีวันเกิดของเซเลน่าอาจจะเป็นวันฝังศพของเฟนด์ก็ได้ ฮ่า ๆ ผมตั้งตารอมันจริง ๆ!” อีวานหัวเราะ
“ไม่มีทาง!” เบ็นขมวดคิ้วและส่ายหัว “พี่ต้องล้อผมเล่นแน่ ๆ เธอไม่ใช่คนแบบนั้น เธออาจจะแค่แกล้งกอดอยู่ก็ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะกอดใครสักคน แต่นั่นไม่ใช่การกอดกันจริงแน่ นั่นเป็นแค่การแกล้งกอด” เซเลน่าแทบอยากจะเป็นลมเพราะความหงุดหงิด “น้องคิดว่าพี่โง่ขนาดนั้นเลยเหรอเบ็น? ที่พี่จะแยกไม่ออกระหว่างกอดจริง ๆ กับแค่แกล้งกอดเฉย ๆ?” “งั้นพี่มีหลักฐานอะไรไหม? ทำไมพี่ไม่เอารูปมาให้ผมดู?” เธอไม่คิดว่าเบ็นจะโกรธมากกว่าเดิม “อย่าพูดถึงซีน่าแบบนั้น ถ้าพี่ไม่มีหลักฐาน คิดว่าผมไม่รู้จักเธอเหรอหลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้? พี่รู้จักเธอดีกว่าผมงั้นเหรอ? พี่ก็เหมือนเฟนด์ที่ไม่ชอบเธอ พี่จึงพยายามหาวิธีใส่ร้ายเธอ อีกอย่างพี่พูดเองนะว่าพวกโจรปล้นรถมอเตอร์ไซด์ตายไปหมดแล้ว ดังนั้นผมไม่สนใจเรื่องในอดีตของเธอ” เซเลน่ากัดฟันพูดด้วยความโกรธ “น้องทำให้พี่ผิดหวังมากเบ็น น้องก็เหมือนอู่ ต้าหลัง แต่น้องโง่กว่าเขาเสียอีก!” “พี่หมายความว่าไงที่บอกว่าผมโง่? พี่อย่ามาพูดไร้สาระนะถ้าพี่ไม่มีหลักฐาน?” เบ็นยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างโมโห “คืนโทรศัพท์ของผมมา ผมยังเล่นเกมอยู่ ผมทิ้งเพื่อนร่วมทีมไม่ได้!” “อ๊าก!”
“คิดให้ดีนะเบ็น ว่าช่วงนี้เธอทำตัวแปลก ๆ หรือเปล่า? เธอไม่กล้าแม้แต่จะรับโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ด้วยซ้ำ น้องคิดว่าเป็นสายก่อกวนจากตัวแทนอสังหาริมทรัพย์จริงเหรอ? พี่คิดว่ามีบางอย่างน่าสงสัยนะ!” “อีกอย่างเธอซื้อกระเป๋าแบรนด์หลายในช่วงนี้ มันต้องมีราคาอย่างต่ำใบละหนึ่งหมื่นเหรียญและเสื้อผ้าของเธอก็แพงมากด้วย เธอซื้อของพวกนั้นมาหลายอัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยซื้อมาก่อน” เซเลน่าก้าวไปข้างหน้า “ถ้าน้องอยากแต่งงานกับเธอจริง ๆ น้องควรคิดเรื่องนี้ให้ดี” เซเลน่าบอกกับเบ็นอย่างจริงจัง “แต่จำได้ไหมว่าซีน่าบ่นและบิดเบือนคำพูดไปเมื่อคืนนี้ตอนที่น้องบอกว่าน้องอยากรีบแต่งงานเร็วขึ้น? พี่คิดว่าเธอดูไม่ค่อยดีใจเลย พี่ถึงได้สงสัยว่าเธออาจจะมีผู้ชายคนอื่นอยู่ข้างนอก” “ผมไม่สนใจ ผมแค่ต้องการหลักฐาน พี่สองคนจะมาใส่ร้ายเธอไม่ได้ถ้าไม่มีหลักฐาน!” เบ็นโกรธมาก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ผมเพิ่งซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้มา มันมีค่าหลายพันเหรียญ!” “มันราคาแค่เจ็ดหรือแปดพันเหรียญ ไปซื้อโทรศัพท์ใหม่สิ แต่อย่าพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เราสงสัยเธอให้เธอรู้ เข้าใจไหม? และนายต้องร่วมมือกับเราตอนที่เราบอกด้วย! นั่นเป็นว
ในตอนนั้นเอง เฟนด์ก็มาถึงบ้านของตระกูลเดรคแล้ว เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เห็นชารอนทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เธออยู่กับพวกทันย่าและอีวอนน์ เขาเริ่มปวดหัวเมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้น “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?” เฟนด์รู้สึกหมดหนทางเมื่อเห็นเธอ “ฮ่า ๆ ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่ไม่ได้? ฉันมาหาคุณทันย่า เราสามคนเป็นเพื่อนรักกัน” ชารอนหัวเราะคิกคัก “เรารอคุณมานานแล้ว เราสามคนจะไปช้อปปิ้งกัน ไปกันเถอะ เราไม่จำเป็นต้องใช้บอดี้การ์ดจำนวนมากถ้าเราพาคุณไปด้วย เราต้องการแค่คุณเท่านั้น!” คุณทันย่าพูดออกมาหลังจากที่คิดแล้วว่า “ฉันคิดว่าเราควรพาบอดี้การ์ดไปด้วยสองสามคนนะ แม้ว่าเราจะไม่จำเป็นต้องพาไปมามากขนาดนั้น เพราะยังไงเฟนด์แค่คนเดียวก็ไม่สามารถถือกระเป๋าของเราได้หมด ถ้าพวกเราสามคนซื้อของ” “ฮ่า ๆ ทันย่า เธออย่าบอกนะว่ากลัวทำให้เขาเหนื่อย นั่นคือเหตุผลที่เธออยากพาบอดี้การ์ดไปเพิ่มอีกสองสามคนใช่ไหม?” เธอไม่คิดว่าชารอนจะหัวเราะออกมาในขณะที่พูดติดตลกว่า “เขาเป็นคนของฉัน อย่าคิดที่จะแย่งเขากับฉันเลย ถ้าเธอทำอย่างนั้น ฉันคงจะเป็นภรรยาคนที่สองและเธอก็เป็นภรรยาคนที่สาม เธอต้องต่อแถวนะ!” หลังจ
“นั่นใครน่ะ? ดูจากภายนอกเขาดูแข็งแกร่งมาก เขามีออร่าที่ทรงพลังจริง ๆ!” อีวอนน์อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาขณะที่เธอมองชายคนนั้นเดินจากไป นี่คือความรู้สึกที่ชายคนนั้นทำให้เธอรู้สึก มันชัดเจนมาก “ใครจะไปสน? เขากล้าท้าทายผมตรง ๆ ดังนั้นเขาก็คงเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตั้งแต่ที่เขาพูดแบบนั้น ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปที่นั่นในวันพรุ่งนี้!” เฟนด์ออกมาแบบไม่รู้ตัว “ผมเชื่อว่าผมจะหาคำตอบได้ว่าทำไมเขาถึงอยากฆ่าผม ถ้าผมไปที่นั่นพรุ่งนี้!” “คุณดูไม่ร้อนใจเลยนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณไม่กลัวว่าเขาจะแข็งแกร่งมากเหรอ?” ทันย่ากังวลนิดหน่อย เธอพูดต่อหลังจากที่เธอคิดเกี่ยวกับมันว่า “งั้นให้ผมบอกให้ฮาร์วีย์กับไคล์ไปกับคุณด้วยดีไหม และให้พวกเขาจะพาคนไปด้วยสองสามคน แบบนั้นมันจะปลอดภัยกว่านะ” เธอไม่คิดว่าเฟนด์จะยังคงแสดงสีหน้าเฉย ๆ และไม่สนใจอะไรเลย “ยังไงก็ตาม บอดี้การ์ดของคุณคงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ถ้าแม้แต่ผมยังจัดการเขาไม่ได้ พวกเขาคงไปที่นั่นเพื่อตายเปล่า!” จริง ๆ แล้วเขาถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพแคทธีเซีย ถ้าเขายังกำจัดชายคนนั้นไม่ได้ ฮาร์วีย์และคนอื่น ๆ ก็คงจะได
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ