“นั่นใครน่ะ? ดูจากภายนอกเขาดูแข็งแกร่งมาก เขามีออร่าที่ทรงพลังจริง ๆ!” อีวอนน์อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาขณะที่เธอมองชายคนนั้นเดินจากไป นี่คือความรู้สึกที่ชายคนนั้นทำให้เธอรู้สึก มันชัดเจนมาก “ใครจะไปสน? เขากล้าท้าทายผมตรง ๆ ดังนั้นเขาก็คงเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตั้งแต่ที่เขาพูดแบบนั้น ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปที่นั่นในวันพรุ่งนี้!” เฟนด์ออกมาแบบไม่รู้ตัว “ผมเชื่อว่าผมจะหาคำตอบได้ว่าทำไมเขาถึงอยากฆ่าผม ถ้าผมไปที่นั่นพรุ่งนี้!” “คุณดูไม่ร้อนใจเลยนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณไม่กลัวว่าเขาจะแข็งแกร่งมากเหรอ?” ทันย่ากังวลนิดหน่อย เธอพูดต่อหลังจากที่เธอคิดเกี่ยวกับมันว่า “งั้นให้ผมบอกให้ฮาร์วีย์กับไคล์ไปกับคุณด้วยดีไหม และให้พวกเขาจะพาคนไปด้วยสองสามคน แบบนั้นมันจะปลอดภัยกว่านะ” เธอไม่คิดว่าเฟนด์จะยังคงแสดงสีหน้าเฉย ๆ และไม่สนใจอะไรเลย “ยังไงก็ตาม บอดี้การ์ดของคุณคงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ถ้าแม้แต่ผมยังจัดการเขาไม่ได้ พวกเขาคงไปที่นั่นเพื่อตายเปล่า!” จริง ๆ แล้วเขาถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพแคทธีเซีย ถ้าเขายังกำจัดชายคนนั้นไม่ได้ ฮาร์วีย์และคนอื่น ๆ ก็คงจะได
“ถ้าเขาไม่มางั้นเหรอ?” เซนแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “เขาจะต้องมาแน่นอน ฉันบอกเขาไปว่าถ้าเขาไม่มา เขาจะไม่ได้เจอกับภรรยาและลูกสาวสุดที่รักของเขาอีก ฉันแค่พูดออกไปเพื่อขู่เขา ฉันมีนิสัยประหลาด เฟนด์คือคนที่ฉันอยากฆ่า ฉันไม่สนใจที่จะทำร้ายครอบครัวของเขาหรอก ฉันอยากฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ของฉันเท่านั้น!” “คุณ คุณมันโง่มาก! คำพูดของคุณจะทำให้เขากลัวและเขาอาจจะพาครอบครัวหนีไป! พวกเขาอาจจะออกจากไปจากอาณาเขตกลางโดยที่เราไม่รู้ตัว! และมันคงจะยากที่คุณจะตามหาเขาเจอ!” ควิลรู้สึกโกรธมาก ที่เขาออกไปท้ายอย่างอุกอาจ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้หาโอกาสลอบฆ่าเขา? คุณเป็นจอมพลประสาอะไร! ถ้าคุณลอบสังหารเขา เขาก็จะตายแน่ ๆ แล้วนั่นไม่ใช่แผนที่ดีที่สุดเหรอ? ถ้าคุณฆ่าเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวมันคงจะดีมาก!” เซนยิ้มเหยียดหยามและสแยะยิ้มเยาะเย้ย “นายน้อยเซนอส นั่นคือคำแนะนำของคุณและฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม ถูกไหม? ฉันเป็นจอมพล ถ้าฉันต้องการชีวิตของชายคนหนึ่งฉันต้องทำอย่างลับ ๆ เหรอ? นี่ไม่ใช่สิ่งลูกผู้ชายควรทำ! การต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชายควรทำอย่างตรงไปตรงมาและต้องมีเกียรติ! ฉันชอบแบบนี้มากกว่า” “ฉัน…”
“ใช่ เธอพูดถูก! พี่ชาย ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่ได้น่าสนใจเลย! ฉันจะให้เงินพวกพี่อีกหนึ่งหมื่นเหรียญ ใช้เงินหนึ่งหมื่นเหรียญไปหาผู้หญิงสวย ๆ ให้กับนายน้อยของพวกพี่ แล้วเอาเงินของฉันไว้ซื้อไวน์ดี ๆ ให้ตัวเอง ไม่ดีกว่าเหรอ?” เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งพวกนี้ ซีน่ารู้สึกกลัวมากจริง ๆ เธอหยิบกระเป๋าเงินออกมาทันทีและเตรียมจ่ายเงินหนึ่งหมื่นเหรียญให้กับพวกเขา “เฮ้! เงินงั้นเหรอ? วันนี้เราไม่ได้มาเพื่อเงิน!” บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขา “เอาตัวทั้งคู่ไป!” “ว้าว ลูกพี่ เดี๋ยวก่อน” บอดี้การ์ดคนแรกหยุดเดินทันที “พวกเธอสองคน เอาเงินสดทั้งหมดที่มีมา!” “ลูกพี่ออคโต้ นี่คือ...ลูกพี่จะขัดคำสั่งของนายน้อยเหรอ?” บอดี้การ์ดอีกคนสบตากับบอดี้การ์ดที่เขาเรียกว่า ลูกพี่ออคโต์ สีหน้าของเขาก็ซีดลง ถึงอย่างนั้น ลูกพี่ออคโต้ก็หยุดฟังคำพูดของเขา ยื่นมือออกมา และพูดกับฟีโอน่าและซีน่าว่า “เร็วเข้าสิ! ช้าจริง ๆ!” จิตใจของหญิงสาวทั้งสองคนก็ดีขึ้นทันทีและรีบนำเงินสดทั้งหมดที่มีมอบให้กับลูกพี่ออคโต้ “ว้าว! ไม่เลวเลย ประมาณเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นเหรียญ พวกเธอสองคน
“ใช่! รีบถอดมันออกซะ! ไม่งั้นฉันจะกรีดหน้าของคุณซะ!” บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งหยิบมีดสั้นขึ้นมาและเยาะเย้ย “ร-เราจะถอดมันออก ปล่อยพวกเราไปได้ไหม?” ขาของฟีโอน่าอ่อนแรงเมื่อเห็นบอดี้การ์ดหยิบมีดสั้นออกมา แม้ว่าเธอจะลังเลและไม่เต็มใจที่จะให้เครื่องเพชรราคาไม่แพงแก่พวกเขา แต่ชีวิตของเธอนั่นก็สำคัญกว่าวัสถุทางโลกพวกนี้ อีกอย่างเธอยังถือว่าตัวเองโชคดีเพราะอีกฝ่ายไม่ได้บังคับให้เธอไปธนาคารและถอนเงินทั้งหมดออกมา “คุณคิดว่ามันเป็นไปได้เหรอ? ฮ่าฮ่า! ใช้สมองของคุณสิ! คำสั่งของนายน้อยพวกเราไม่อาจขัดขืนได้ เขาบอกเราอย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่แค่พาตัวผู้หญิงคนนี้ไป แต่ยังต้องพาตัวลูกสาวของคุณ เซเลน่า เทย์เลอร์ไปด้วย คนของเรากำลังตามล่าเธออยู่ตอนนี้ และเธอจะถูกพาตัวไปก่อนที่จะไปถึงออฟฟิศ” ออคโต้ตะโกนออกมา “นายน้อยของเราถูกใจผู้หญิงสวยสองคนนี้ เขาชอบร่างกายที่เย้ายวนและใบหน้าที่สวยงามของพวกเธอ เขาสั่งให้พวกเราพาตัวพวกเธอไปให้เขาและเขาจะเล่นสนุกกับพวกเธอ!” “แม่คะ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเฟนด์! หมอนั่นไปทำให้นายน้อยบางคนโกรธอีกแล้ว! ทำให้เราต้องเจอแบบนี้” ซีน่ากำลังหัวร้อนและร่างกายของเธอสั่นด้วยความโกรธ
“ไม่ ไม่นะ ได้โปรด ลูกพี่ออคโต้! ฉันไม่ได้อายุ 20 หรือ 30 ปีนะ และหัวใจของฉันก็อ่อนแอมากด้วย! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพี่ชายทำให้ฉันกลัวจนตาย?” ฟีโอน่าทำหน้าบิดเบี้ยวตามคำพูดของเธอ จากนั้นเธอก็กลัวมากจนล้มลงกับพื้นและเริ่มโมโหออกมา “ฮ่าฮ่า! มันไม่สำคัญหรอก! คุณคิดว่าคุณยังคงมีโอกาสรอดเหรอหลังจากที่ถูกพาตัวไป?” หนึ่งในบอดี้การ์ดเข้าไปหาฟีโอน่าและดึงเธอให้ลุกจากพื้น กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ บนร่างของฟีโอน่าลอยเข้ามาในจมูกของเขา เขารู้สึกตื่นเต้นและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ “อืมมม ผู้หญิงอายุมากคนนี้ดูแลร่างกายของเธออย่างดี! เธอยังสวยอยู่เลย! ที่สำคัญที่สุดคือรูปร่างอวบ ๆ แบบนี้ฉันชอบมาก!” “ฮ่าฮ่า! ลอรี่ นายชอบแบบป้าแก่ ๆ เหรอ?” บอดี้การ์ดที่ยังหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง ตีบอดี้การ์ดวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเบา ๆ ขณะที่พวกเขาพาซีน่าเข้าไปในรถ “ฮ่า ๆ! หนุ่ม ๆ อย่างนายไม่เข้าใจหรอก! ผู้หญิงอย่างเธอเป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์มากกว่า จริงไหม?” บอดี้การ์ดที่มีรสนิยมแปลก ๆ ที่ชอบผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างมีอายุแล้ว เขาดูเหมือนเขาจะอายุ 40 ปีแล้ว เขาหัวเราะและพูดว่า “ผู้หญิงที่มีอายุแล้วไม่ใช่แบบที่นายน้
สีหน้าของฟีโอน่าซีดเผือดและไม่น่ามองเมื่อได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคนคนนั้น เธอหุบปากสนิทและไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย ในรถคันอีกคัน ซีน่าขมวดคิ้วกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากใจเย็น เพราะยังไงซะเธอก็ถูกคุมตัวโดยชายร่างใหญ่สองคนที่นั่งอยู่คนละข้าง เธอนั่งอยู่ตรงกลาง และเธอรู้ว่าคงไม่มีทางที่จะหนีหรือสู้กลับได้เลย ตอนนี้เธอใช้เซลล์สมองทุกเซลล์คิดว่าเธอควรทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วในที่สุดก็เปิดปากพูดออกมาว่า “ลูกพี่ออคโต้ นายน้อยของคุณเป็นใคร? เฟนด์เคยไปทำให้คนมากมายโกรธเคืองและฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าครั้งนี้เขาไปทำให้ใครโกรธ” เธอหันน้าไปหาออคโต้ ออคโต้หัวเราะเยาะอย่างเย็นชาออกมา “คุณไม่ต้องสงสัยเรื่องนี้หรอก คุณจะรู้เองเมื่อคุณไปถึง ฉันไม่จำเป็นต้องบอกความจริงกับคุณ เพราะว่าเดี๋ยวคุณก็จะตายแล้ว” มุมปากของซีน่ากระตุกอย่างไม่รู้ตัว เธอครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพึมพำออกมา “พี่ชายออคโต้ นายน้อยของคุณมาจากตระกูลวิลสันไม่ไหม?” ซีน่าคิดว่าผู้บงการน่าจะเป็นนายน้อยวิลสันมากที่สุด เพราะยังไงซะเขาก็ถูกตบจนหมดสติโดยฝีมืออีวาน เทย
ขณะเดียวกัน เซเลน่าก็กำลังไปที่ทำงานแต่ทันใดนั้น ก็มีรถออดี้สีดำเข้ามาจอดขวางรถของเธอและหยุด “เฮ้! ดูทางมั่งสิ!” เธอมีความขุ่นเคือง รีบปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อลงจากรถ ความโกรธเดือดปุดขึ้นมาบนใบหน้า จากนั้นเธอก็รู้สึกหวาด ๆ ทันทีที่ได้ลงจากรถ เธอเห็นว่ามีรถอีกคันจอดอยู่ต่อท้ายเธอ และทำให้ไม่สามารถถอยรถออกไปได้ ชายร่างใหญ่แปดคนในชุดดำล้วนลงจากรถและกรูกันเข้ามาหาเธอ ใบหน้าของพวกเขานิ่งเฉย “ทำอะไรน่ะ?"เซเลน่าตกใจจนหน้าถอดสี “นี่! เราทำอะไรกันอยู่? มันไม่โจ่งแจ้งไปหน่อยเหรอ? เรามาที่นี่เพื่อพาตัวเธอไป!”ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเยาะเย้ย เขามองเธอเขม็ง และก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา “ไม่แย่นี่! เธอคือ ‘สาวสวยแห่งอาณาเขตกลาง’ แล้วการแต่งงานก็ช่วยให้เธอเพิ่มเสน่ห์และความสวยเข้าไป เธอทำให้ฉันอยากจะชิมเธอเสียเหลือเกิน!” ชายคนหนึ่งแทรกขึ้นมาว่า “เธอคือคนที่นายน้อยกำลังสนใจ รีบพาตัวเธอไปหาเขาเถอะ! อย่าไปยุ่งเลย!” “พ-พวกแกไปให้พ้นนะ! ถ้าไม่ไปฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!”เซเลน่าตกใจมาก เธอได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังขึ้นมา เธอพยายามมีสติและประเมิณสถานการณ์ จากนั้นก็พูดว่า “สามีฉันแข็งแร่งและทรง
“เฮ้! ไอ้หนุ่ม แกไม่สมควรที่จะได้รู้ว่านายน้อยของเราคือใคร!” ชายคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและพูดเสียงดังว่า “ถ้ามีสมองก็รีบหนีไปซะ! ไม่อย่างงั้นอย่าโทษหมัดของฉันละกัน!”“หมัดแก? ฉันว่าพวกนายคงไม่ได้เห็นอีกหลังจากนี้ เธอก็บอกแล้วนะว่าฉันเป็นจอมพล กล้าดียังไงทำอวดดีต่อหน้าฉัน? เหลียง จิ้งหรูได้ร้องเพลง 'ความห้าวหาญ' ให้พวกแกฟังหรือเปล่า?" เดนนิสแซะ "ถ้าแกบอกชื่อนายน้อยของแกมาตอนนี้ ฉันก็อาจจะไว้ชีวิตพวกแกนะ ไม่อย่างนั้น อย่ามาโทษฉันละกันกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น” “โอ้ว้าว! นายแข็งแกร่งมากเลยสิ? มาลองดูกันว่าหมัดแกมันหนักแค่ไหน!”ชายคนนั้นกำหมัด เตรียมเหวี่ยงแขน “ลูกพี่ มาล้มไอ้คนนี้ด้วยกัน ทำให้มันพิการซะ!”“ใช่! อย่าเสียเวลาเลย มาเลยเถอะ นายน้อยของเรารออยู่นะ!” เสี้ยววินาทีเท่านั้น ชายทั้งหมดก็พุ่งเข้ามาหาเดนนิส เปรี้ยง! ปัง! ทั้งแปดคนร่วงหล่นราวกับแมลงวันปีกหัก พวกเขาเหมือนแครอทบนเขียงขณะที่เดนนิสเป็นพ่อครัวและสับแครอทอย่างไร้ความปราณีพวกนั้นห้าคนตายขณะที่สองคนนอนอยู่บนพื้นพยายามหายใจ ไม่สามารถขยับร่างกายได้ เหลือคนเดียวที่ยังหายใจอยู่ เดนนิสตั้งใจไว้ชีวิตพวกเขา แม้จะบาดเจ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ