วันต่อมา ตระกูลบางตระกูลที่ได้รับบัตรเชิญให้เข้าร่วมงานประมูลลับนี้ไม่ได้สนใจเกล็ดมังกรเลย และบางตระกูลก็คิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง ดังนั้นตระกูลที่มีชื่อเสียงจำนวนมากพวกนั้นจึงไม่ได้ไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่นอกเมือง แต่ตระกูลส่วนใหญ่ที่อยากค้นหาความจริงเรื่องเกล็ดมังกรที่ได้รับบัตรเชิญ พวกเขาพาบอดี้การ์ดสองสามคนตามไปด้วยและไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่นอกเมือง ผู้คนต่างมารวมตัวกันที่นอกคฤหาสน์มากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าของคฤหาสน์ยังไม่ได้เปิดประตู แต่เจ้าของกลับให้รออยู่ด้านนอกคฤหาสน์ “ใครเป็นคนจัดงานประมูลครั้งนี้? ผู้จัดงานให้พวกเราทุกคนรออยู่ด้านนอกและไม่มีแม้กระทั่งที่นั่งให้เราได้ยังไง! ช่างอวดดีจริง ๆ!” ชายชราคนหนึ่งจากกลุ่มคนบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด “นั่นน่ะสิ! ผู้จัดงานส่งบัตรเชิญให้เราแค่สามใบ แล้วบอดี้การ์ดของฉันจะเข้าไปได้ยังไง? มีแค่หกคนเท่านั้นที่เข้าไปได้!” ชายวัยกลางคนอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายชราก็อดไม่ได้ที่บ่นออกมาเสียงดัง เขาพาบอดี้การ์ดมาด้วยหลายคนเพื่อมาคอยคุ้มครอง เรื่องนี้มันทำให้เขาอารมณ์เสีย “นี่ นายน้อยนอร์ตัน ดูนั่นสิ! นายเห็นสาวสวยคนนั้นไหม? ฉันไม่เคยเจอเธอมาก่อนเลย เ
หลังจากที่เฟนด์ส่งบัตรเชิญให้พนักงาน เขากับลาน่าก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ เดินเข้าไปในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างงดงาม ที่ด้านข้างของห้องโถง มีเวทีที่สร้างขึ้นชั่วคราวสำหรับงานประมูลครั้งนี้และมีเก้าอี้สำหรับให้ผู้มาร่วมงานนั่ง แสงสลัวและบรรยากาศที่น่าขนลุก ทำให้ผู้คนจำนวนมากอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา ไม่นานห้องโถงก็เต็มไปด้วยผู้คนเกือบร้อยคน จากนั้นชายชราที่สวมชุดคลุมสีดำถ่านและสวมหน้ากากก็เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้า ๆ ชายชราผมสีบลอนด์เป็นประกายจ้องตากับลาน่า สีหน้าของลาน่าเริ่มนิ่งและมืดลงทันที “ผู้จัดงานนี้มาจากอเมริกาหรือเปล่า?” ลาน่ากระซิบถามเฟนด์ เฟนด์ขมวดคิ้วกับเหตุการณ์ตรงหน้า “เป็นไปได้ไง? เกล็ดมังกรตกไปอยู่ในมือของพวกอเมริกาได้ยังไง?” ในตอนนั้นเอง เมื่อเฟนด์พูดประโยคสุดท้ายจบ ชายชุดดำหลายร้อยคนก็เข้ามาในห้องโถงจากทางประตูหน้าและทางประตูด้านข้าง ล้อมรอบทุกคนที่อยู่ตรงกลางห้องโถงไว้ “อะไรวะเนี่ย...” สถานการณ์ที่ถูกล้อมรอบด้วยชายชุดดำรูปร่างใหญ่หลายร้อยคนทำให้ตระกูลที่มีชื่อเสียงรู้สึกกังวล “โอ้ทุกคน โปรดอยู่ในความสงบ พวกเขาเข้ามาที่นี่เพื่อรักษาความปลอดภัยของสิ่งของในงานปร
“เขาพูดถูก! คุณต้องพิสูจน์และบอกเรามากกว่านี้ ถ้าหากคุณอยากได้เงินจากเราในการประมูลครั้งนี้!” นายน้อยอีกคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อมาดูอะไรใหม่ ๆ ผมเป็นนายน้อยของตระกูลที่มีชื่อเสียง ผมยังมีเรื่องสำคัญอื่นต้องทำอีก รู้ไหม? และในงานประมูลวันนี้ก็มีเพียงรายการเดียว คือ เกล็ดมังกร ผมมาที่นี่เพื่อมัน ดังนั้นคุณอย่าทำให้ผมผิดหวังเลย!” “นายน้อยคนนี้พูดถูก! ฮ่าฮ่า! เราจะไม่ทำให้เงินของคุณสูญเปล่าแน่นอน! มันจะคุ้มค่า!” ชายชราชาวอเมริกันที่อยู่บนเวทีหัวเราะออกมาเสียงดังกับความคิดเห็นของนายน้อย “ฉันเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทุกคน ที่ทุกคนมักจะแสวงหาและพยายามปรับปรุงความสามารถในการต่อสู้ของตัวเอง ทุกคนปรารถนาที่จะเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ หรืออยากเป็นแม้กระทั่งปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้แห่งยุค! นักสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงได้เรียนรู้เทคนิคการเพิ่มพลังและด้วยความรู้ของเทคนิคการเพิ่มพลังนั้นก็จะทำให้กลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้” ทุกคนพยักหน้าหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของชายชรา ในฐานะประชากรของเมืองแห่งศิลปะการต่อสู้ พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี ชายช
“คุณโม้หรือเปล่าเนี่ย? เกล็ดมังกรนี้หลุดออกมาจากร่างกายคน? ฮ่าฮ่า! ท่านผู้เฒ่า เรายังไม่ได้เชื่อเลยนะตอนที่คุณบอกว่าสิ่งที่เหมือนเกล็ดปลานี้คือ เกล็ดมังกร และตอนนี้คุณยังมาบอกว่าเกล็ดมังกรนี้หลุดออกมาจากร่างกายของคน ๆ หนึ่ง?” ใครบางคนในกลุ่มผู้มาร่วมงานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ “คุณกำลังสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อเพิ่มมูลค่าของเกล็ดมังกรใช่ไหม? แต่เราไม่ได้โง่นะ เรื่องราวที่คุณพูดมามันไร้สาระเกินไป และพวกเราคงไม่เชื่อคุณหรอก ผมเกรงว่าวันนี้คุณคงจะขายเกล็ดมังกรในราคาสูงไม่ได้หรอก!” ชายอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นเหมือนกัน “ท่านผู้เฒ่า ทำไมถึงมาบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับพวกเรา? ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามีระดับที่อยู่สูงกว่าระดับกึ่งเทพซึ่งก็คือ ระดับเทพแท้จริง คนที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงได้ควรได้รับตำแหน่งสูงสุดของมนุษย์แล้วใช่ไหม? แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับคุณในการประมูลเกล็ดมังกรชิ้นนี้?” “ฮ่าฮ่า! แน่นอน มันเกี่ยวโยงกันมาก! ผู้ที่มีเกล็ดมังกรนี้อยากพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของเขา แต่เกล็ดมังกรชิ้นนี้กลับหลุดออกมาจากตัวเขา ดังนั้นมันจึงได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังธรรมชาติจากจิตวิญ
คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยแม้ว่าจะรู้สึกโกรธอยู่ก็ตาม “ออกไปเหรอ? ข้าเกรงว่าพวกคุณคงจะออกจากที่นี่ไปไม่ได้!” ชายชราโบกมือ ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าทุกคนต่างยกกำปั้นขึ้น ฉายออร่าอันตรายที่เงียบสงบ “แกอยากจะสู้กับเราทั้ง ๆ ที่เรามีคนจำนวนมากกว่างั้นเหรอ? แกอยากตายเหรอ?” ชายหัวล้านเอียงคอเพื่อมองชายชราที่อยู่บนเวทีด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “ฮ่า ทุกคนที่นี่น่าจะเป็นนักสู้ที่มีฝีมือเลยทีเดียว” ชายชราพูดพร้อมยิ้ม “เราจะฆ่าคนที่ฝีมือไม่ได้เรื่องซะ และเอาตัวคนที่ฝีมือไม่แย่มาเป็นหุ่นเชิด พวกแกจะได้มีส่วนร่วมในชุมนุมของเรา ฮ่า!” “ส่งเกล็ดมังกรมาซะ ตาแก่!” เฟนด์ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตบเท้ายืนขึ้นและจ้องเขม็งไปที่ชายชรา “ฮ่า ดูซิว่าเจ้าจะเอามันไปจากข้าได้ไหม!” ชายชราหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ในเมื่อแกพูดแบบนั้น งั้นฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กำลังเอามันมา!” เฟนด์ยกเท้าขึ้นและลอยพุ่งไปยังทางชายชรา “อย่าบอกนะว่าเจ้าคือนักรบสูงสุด?” ชายชราตกตะลึง เฟนด์เร็วกว่าชายชราคนเมื่อกี้มาก สุดท้ายเขาก็รู้ตัวว่า เฟนด์ คือคนที่เขากับคนอื่น ๆ กำลังรอคอยอยู่ “ท่านนักรบสูงสุด?” หลายคนตกใจแรง
ปัง ปัง ปัง! การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดมาก ลาน่ามองไปรอบ ๆ ตัว เธอรู้ได้ทันทีว่าชายชุดดำนั้นเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่ง ที่สำคัญไปกว่านั้น บางคนดูเหมือนไม่กลัวตาย พุ่งจู่โจมไปข้างหน้าทั้ง ๆ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พวกเขาต่อสู้ได้ต่อเรื่อย ๆ อย่างกับว่าพวกเขาสบายดี ดูจากสถานการณ์แล้ว ปรมาจารย์ระดับหกที่สวมชุดดำอาจต่อสู้ได้เทียบเท่าปรมาจารย์ระดับแปดเลย ระดับของปรมาจารย์มีตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับเก้า ซึ่งชายชุดดำที่นี่นั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ทั้งหมด อันที่จริง บางคนก็มีพลังแข็งแกร่งเท่าครึ่งหนึ่งของเทพสงครามเลย “เร็วสิ เรียกบอดี้การ์ดมาช่วยเรา!” มีคนตะโกนออกมาหลังจากรู้ตัวว่าพวกเขาไม่สามารถฝ่าทะลวงหนีไปได้ “แย่แล้ว บอดี้การ์ดด้านนอกตายหมดแล้ว และพวกนั้นอีกจำนวนมากกำลังเข้ามาหาเรา!” บางคนที่สังเกตเห็นสถานการณ์อย่างรวดเร็วก็ตกใจจนหน้าซีด บอดี้การ์ดที่รออยู่ด้านนอกถูกฆ่าตายหมดแล้ว คงมีชายชุดดำที่อาจรออยู่ด้านนอกเพื่อซุ่มโจมตี ชายชุดดำพวกนั้นวิ่งเข้ามาล้อมรอบทุกคน ไม่เหลือทางให้หลบหนีได้เลย “เฟนด์ พี่ไม่คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติเหรอ? ชายชุดดำพวกนั้นดูไร้อารมณ์ พวกเขารู้แค่วิธีฆ่า
“ขอบคุณพระเจ้า!” ลาน่าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกหลังจากได้ยินแบบนั้น เธอเชื่อว่าตราบใดที่เขายังไม่ตาย เขายังมีโอกาสได้รับการรักษาด้วยยาวิเศษของเฟนด์กับอีธาน “ทุกคนระวังตัวด้วยนะ พวกหุ่นเชิดที่กำลังโจมตีพวกคุณ พวกเขาตายแล้ว ร่างกายของพวกเขาทนทานและไม่รู้สึกเจ็บปวด คงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกคุณที่จะอัดพวกเขาให้ระเบิดกระจายหรือตัดแขนขาของพวกเขา” เฟนด์เห็นว่าคนที่มาจากตระกูลที่มีอำนาจถูกล้อม และพวกเขาก็ค่อย ๆ ถูกครอบงำ เฟนด์เตือนทุกคนทันทีว่า “โจมตีพวกอเมริกันถ้าพวกคุณไม่อยากกลายเป็นหุ่นเชิด โจมตีใส่พวกอเมริกันซะพวกคุณถึงจะรอด!” “พวกสารเลวอเมริกัน กล้าดียังไงถึงมาใช้วิธีแบบนี้!” “นั่นสิ พวกมันไม่เพียงแต่ฆ่าคนของเราเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นหุ่นเชิดและใช้พวกเขาในการต่อสู้!” “นั่นสิ ไม่แปลกใจเลยที่คนจำนวนมากจากตระกูลเล็ก ๆ ที่แข็งแกร่งและนักสู้ที่ฝึกฝนด้วยตนเองพวกนั้นหายตัวไป พวกเขาคงถูกพวกอเมริกันลักพาตัวไปและถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิด!” หลายคนตระหนักได้หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฟนด์ พวกเขาโกรธจัดจนหน้าไม่มีสี “แ-่งเอ๊ย สงครามยังไม่จบอีกเหรอ? ชาวอเมริกันพวกนี้ถึงได้แทร
เฟนด์อดจะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของอีกฝ่าย “โชคดีที่เฟอร์นันโดโทรมาหาฉันก่อนที่เขาจะถูกจับตัวไป โทรมาบอกฉันว่าทั้งหมดนี่เป็นกับดัก! นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันรู้สึกว่างานประมูลเกล็ดมังกรนี้เป็นกับดัก และเนื่องจากงานประมูลครั้งนี้มีการประมูลเกล็ดมังกรเพียวอย่างเดียว ฉันจึงมีแผนสำรองเผื่อไว้!” ปัง ปัง ปัง! พวกอเมริกันหลายคนถูกฆ่าตายอย่างรวดเร็ว หุ่นเชิดหลายสิบตัวที่พวกเขาควบคุมก็ล้มลงกับพื้นทันทีโดยไม่ขยับเขยื้อนต่ออีก “ช่างวิเศษจริง ๆ! เก้าเทพสงครามอยู่ที่นี่ ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นวันที่ฉันได้ต่อสู้เคียงข้างกับเทพสงครามและท่านนักรบสูงสุด ฮ่า นี่มันสุดยอดไปเลย!” ชายชราผมสีขาวคนหนึ่งหัวเราะดังลั่น “พระเจ้า ข้าเคยได้ยินมาว่าท่านนักรบสูงสุดยังหนุ่มอยู่ แต่ข้าไม่คิดว่าเขาก็คือ เฟนด์ และข้าไม่คิดว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้!” ชายวัยกลางคนอีกคนก็ตะโกนบอกเฟนด์ขณะต่อสู้ว่า “ท่านนักรบสูงสุด ลูกสาวของฉันอายุยี่สิบกลาง ๆ เธอสวยราวกับดอกกุหลาบ โสด และความงดงามของเธอไม่มีใครเทียบได้ ท่านยินดีที่จะพบเธอไหม? ฉันเต็มใจที่จะให้เธอแต่งงานกับท่านเป็นภรรยาที่สอง แม้ว่าเธอจะเป็นภรรยา
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ