ขณะนั้น บอดี้การ์ดก็วิ่งเข้ามาและบอกเฟนด์ว่า “นายท่าน สาวสวยสองคนกำลังตามหาคุณอยู่ข้างนอก โอ้ใช่ แล้วก็คุณเซเลน่ากับคุณลาน่าด้วย”“เราสามคนเนี่ยเหรอ?” เฟนด์ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่เดินไปพร้อมกับเซเลน่าเมื่อไปถึงทางเข้า พวกเขาก็คิดได้ว่าคือดาราดังสองคนที่อาศัยอยู่ข้าง ๆ “สวัสดีครับ มีอะไรให้เราช่วยไหม? เข้ามาก่อนสิ” เฟนด์เสนอขณะที่ยิ้มให้เบลคและธิอันน่า“เราจะไม่เข้าไป เราซาบซึ้งที่คุณช่วยเราเมื่อไม่นานมานี้ วันนี้อากาศดีก็เลยอยากจะมาชวนคุณไปทานอาหารกันได้ไหมคะ?” เบลคยิ้มอย่างเขินอายและมองเฟนด์“ทำไมจะไม่ล่ะครับ แน่นอน! เราจะปฏิเสธคำเชิญจากสาวสวยได้ยังไงกัน? แน่นอน เป็นเกียรติมากที่ได้ทานอาหารร่วมกับคนดังสองคน!” เฟนด์พยักหน้าและตกลงธิอันน่ายืดแขนออกขณะที่ยิ้มแย้ม “งั้นก็ไปกันเถอะ คุณสองคนด้วยนะคะ บอดี้การ์ดไม่จำเป็นต้องพาไปเลย แบบนี้สบายกว่าเยอะ!”“เราต้องขับรถไปไหมคะ?” เซเลน่าถามหลังจากคิด“ไม่ต้องหรอกค่ะ มีร้านอาหารดี ๆ อยู่ไม่ไกล ฉันกับเบลคชอบไปทานอาหารที่นั่นตอนว่าง ๆ รสชาติกับบรรยากาศก็ดีมากเลย!” ธิอันอ่ายิ้มและนำไปพร้อมกับธิอันน่าไม่นานทั้งห้าคนก็มาถึงร้านอาหารดี ๆ แห่ง
แน่นอน ทุกคนในร้านอาหารเงียบเสียงลงถึงอย่างนั้น เฟนด์ที่นั่งอยู่ก็ได้ยินทุกอย่างชัดเจน และความเห็นเรื่องเบลคกับธิอันน่าก็ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะอยู่ในวงแบบนี้อย่างไรก็ตาม ผู้ชายหลายคนเดินผ่านพวกเขาไปข้างนอกร้านอาหารและไปมองสาวสวยที่อยู่กับเฟนด์มีตาของคนหนึ่งเป็นประกาย เขาวิ่งไปอีกฝั่งและแอบโทรหาผู้กำกับ “ผู้กำกับแวกเนอร์ ผมเห็นเบลคกับธิอันน่ากินข้าวอยู่กับผู้ชายคนอื่นแล้วก็ผู้หญิงอีกสองคน ทั้งหมดเป็นห้าคน และไม่มีบอดี้การ์ดอยู่เลย นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก!”แววตาของผู้กำกับแวกเนอร์ที่อยู่อีกฝั่งของสายโทรศัพท์เบิกตากว้างขึ้นมาอย่างพอใจ “จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย! ส่งที่อยู่มาเดี๋ยวฉันส่งคนไปจัดการเอง คราวนี้ดีกว่าเดิมแน่นอน ครั้งล่าสุดนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ จับผู้หญิงสองคนยังทำไม่ได้ แถมยังโดนกระทืบมา!”ชายที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์ส่งตำแหน่งให้เขาทันทีชายคนนั้นรู้ดีว่าแม้ผู้กำกับแว็กเนอร์จะเป็นผู้กำกับที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างภาพยนตร์ แต่เขาก็ยังห่างไกลจากการเป็นคนดีและแถมยังถ่ายหนังแย่หลาย ๆ เรื่องอีกอย่างไรก็ตาม เพราะเขาคือนายน้อยที่ร่ำรวยจากตระกูลที่ร่ำ
ชายหัวล้านที่มีรอยสักบนหัว เหมือนว่าจะเป็นคนสำคัญในกลุ่มคนพวกนี้อีกคนที่ปากแหลมหน้าเหมือนลิงพูดกับชายหัวล้านว่า “เจ้านาย วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือทำไมเราไม่เอามาให้หมดในเมื่อพร้อมหมดแล้ว? ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มาจับให้หมดไปเลยเถอะ! ฆ่าผู้ชาย แล้วอีกสี่คน... ก็ให้เบลคกับผู้กำกับแวกเนอร์และคนอื่น ๆ เก็บไว้เอง”“ฮ่า ๆ! ฉันชอบแผนนั้น! ทำไมที่รักอีกสองคนนี่เหมือนจะดูดีกว่าดาราสองคนนี้อีกนะเนี่ย” ชายหัวล้านพูดยิ้ม ๆ ขณะแสดงท่าทีหยาบคาย“เหมือนว่าผู้กำกับแวกเนอร์อะไรนี่จะค่อนข้างมีอำนาจนะ ฉันเคยทำโทษไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาขณะมองคนตรงหน้าเบลคกังวลเมื่อเห็นผู้ชายจำนวนมาก เธอคิดว่าพวกนี้คงจะเก่งกว่าคนก่อน ๆ เธอมองเฟนด์อย่างกังวล “ฉันขอโทษค่ะ เหมือนว่าจะทำให้พวกคุณเดือดร้อนอีกแล้ว มันยากที่จะจัดการกับพวก...พวกนี้!”เฟนด์ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องกังวลไปครับ พวกขยะ ผู้กำกับแวกเนอร์นี่อยากตายหรือยังไง พังไม่เป็นท่าแล้วยังจะมาลองอีกนะ ต้องสั่งสอนซะแล้ว!”“ผู้กำกับแวกเนอร์ไม่ใช่แค่ผู้กำกับเท่านั้นนะ ตระกูลเขารวยมากและเป็นถึงชนชั้นสาม! ไม่งั้นจะมีเงินลงทุนสร้างหนังห่วย ๆ ได้ยังไงกัน?
ชายหัวล้านและคนอื่น ๆ โดนฆ่าตายเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน เฟนด์กับลาน่าปล่อยพวกเขาไปผ่อนผัน“นั่น... แข็งแกร่งเกินไปไหม?” เบลคและธิอันน่าสูดหายใจเข้า น้อยครั้งนักที่พวกเธอจะได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยความสามารถเช่นนี้“ฮ่า ๆ! ไม่มีอะไรหรอก!” เฟนด์หัวเราะและพูดกับคนที่นอนอยู่บนพื้นว่า “ฉันคือเฟนด์ กลับไปบอกนายน้อยแวกเนอร์แกให้เลิกกวนใจคุณเบลคและคุณธิอันน่าได้แล้ว พวกเธอเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ ก็ให้ระวังตัวไว้ในตลอดชีวิตที่เหลือ”ธิอันน่าและเบลคที่ยืนอยู่มองเฟนด์อย่างตกใจ เขาดูมีความควบคุมผู้ชายพวกนั้นได้อย่างเหลือเชื่อ ไปรุกรานคนพวกนั้นให้เธอ และยังสัญญาว่าจะปกป้องพวกเธออีก“ไปกันเถอะ ได้เวลากลับแล้ว” เฟนด์หันมายิ้มให้ก่อนเดินออกไปหลังจากที่เดินออกไป ชายคนหนึ่งก็รีบโทรหาผู้กำกับแวกเนอร์ “นายน้อยแวกเนอร์ เราเจอกับคนแข็งแกร่งเข้าให้แล้ว ผู้หญิงสวมหน้ากากกับผู้ชายที่แข็งแกร่งมาก เราสู้เขาไม่ได้ คนของเราไม่แม้แต่จะสู้ได้เลย แถมตายอย่างง่ายดาย มีรอดแค่ไม่กี่คนเท่านั้น!”“เป็นไปได้ยังไง? แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” ใบหน้าของนายน้อยแวกเนอร์นิ่งลง กำห
ผู้อาวุโสจากตระกูลแวกเนอร์แสยะยิ้มกับคำพูดของนายน้อยแวกเนอร์ ดวงตาของเขาดูถูกเขาเกลียดคนที่ข่มเหงคนอื่น แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาติดหนี้นายน้อยแวกเนอร์และตระกูลแวกเนอร์เอาไว้ ผู้อาวุโสก็เดินออกจากรถ"คนนี้เป็นใคร?" เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ไกล ๆ“นายน้อยแวกเนอร์ หรือที่รู้จักในนามผู้กำกับแวกเนอร์! เขามาเร็วมาก!” เบลคมอง ใบหน้าของเธอนิ่งลงเล็กน้อย เธอไม่สบายใจที่พาปัญหามาให้เฟนด์“ดี ดีเลยที่มา มาสั่งสอนมันกันเถอะ มันจะได้ไม่คิดแต่เรื่องแย่ ๆ พวกนี้ทุกวัน คราวนี้จะเปลี่ยนให้มันเป็นขันทีไปเลยจะได้ไม่อยากได้ผู้หญิงตลอดเวลา” เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาขณะมองผู้ชายพวกนั้น เขากำหมัดอย่างที่ชอบทำ“แกตายแน่วันนี้ กล้ามาท้าทาย ดีแลน แวกเนอร์!” ดีแลนเดินเข้ามาไม่ไกลจากที่เฟนด์อยู่และหยุด เขายิ้มเย็นชาขณะมองเซเลน่ากับลาน่าหัวจรดเท้า “ไอ้หนุ่ม แกทำได้ดีเลยนะวันนี้ มีแต่ผู้หญิงสวย ๆ อยู่รอบกาย แม้ว่าฉันจะเสียลูกน้องไปหลายคน แต่ก็เหมือนจะได้มากกว่าเสีย ฟังดูยุติธรรมไม่ใช่เหรอถ้าเราจะพาเบลคกลับไปด้วยวันนี้”“ใช่ นายน้อย มันเสียเปล่าแน่ถ้าคุณไม่ได้อีกสามคนที่เหลือ! ฮ่า ๆ !” บอดี้การ์ดคนอื่น ๆ เริ่ม
“อะไรกัน?” ผู้อาวุโสไม่คิดเลยว่าเฟนด์จะไวกว่าเขาขนาดนี้ แถมยังหลบการโจมตีของเขาได้อีก ในขณะที่เขากำลังตั้งสติอีกครั้ง เฟนด์ก็เตะไปที่ท้องของเขา ตู้มมม! เสียงดังกึกก้องดังขึ้น ขณะที่ผู้อาวุโสโดนเตะจนกระเด็นไปข้างหลังหลายเมตร เขายืนหยัดบนพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มือเพื่อทรงตัว ฟิ้วว! อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาพยายามทรงตัว เขาสัมผัสได้ถึงความหวานที่พุ่งออกมาจากลำคอของเขา เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก หน้าของเขาซีดเผือด “เป็นไปไม่ได้! นั่นมันพลังอะไรกัน?” ดวงตาของดีแลนเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นผู้อาวุโสกระอักเลือด เขาอ้าปากกว้าง ราวกับว่าคางของเขาแทบจะแตะพื้น “พระเจ้า! แม้แต่ราชาสงครามเจ็ดดาราก็สู้เขาไม่ได้งั้นเหรอ!” ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ จากตระกูลแวกเนอร์ต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้อาวุโสคนนั้นคือหมากตัวสุดท้ายของพวกเขา และเขาก็เป็นสาเหตุที่ดีแลนกล้าอาละวาดออกมา อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสคนนี้ก็ติดหนี้บุญคุณพวกเขา และเขาก็วางแผนจะใช้ผู้อาวุโสให้เป็นประโยชน์ในเวลาคับขันเช่นนี้ ดีแลนไม่เคยหยิบโอกาสนั้นออกมาใช้เลย แต่คราวนี้เขาต้องใช้ เพราะคนส่วนใหญ่ในตระกูลของเขา และบอดี้การ์ดถูก
“ไอ้หนู ฉัน...ฉันเป็นนายน้อยของตระกูลชนชั้นสูงระดับที่สามเลยนะ! นายฆ่าฉันไม่ได้นะโว้ย!” ขาของเขาย้วยเป็นวุ้น เขากลัวสุดขีด เขาอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ขาสองข้างไม่ให้ความร่วมมือ เฟนด์พลิกฝ่ามือของเขา และดาบสีดำก็ในมือของเขาก็ไร้ร่องรอย มันหายไปในอากาศ “ฉันไม่ฆ่านายหรอก” ดีแลนรู้สึกโล่ง เขายิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “นั่นเป็นการเลือกที่ฉลาดมาก น้องชาย มีเพื่อนย่อมดีกว่าศัตรูอยู่แล้ว จริงไหม? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายเป็นน้องของฉัน แล้วเราก็จะเป็นเพื่อนรักกัน นายควรรู้ไว้นะ ว่าเป็นเพื่อนกับตระกูลชนชั้นสุงระดับที่สามเนี่ย มีแต่จะเป็นประโยชน์กับนายทั้งนั้นแหละ!” ตูม! หลังจากที่ดีแล่นพูดจบ เฟนด์ก็กระทืบเท้าใส่ดีแล่น เหยียบไข่ของเขาจนแตก “อ๊าก!” ดีแลนคุกเข่าด้วยความเจ็บปวดทันที เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดสุดขีด สีหน้าของเขาซีดเผือด “ฉันว่าฉันจะไม่ฆ่านาย แต่ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำให้นายเป็นขันทีนี่!” เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนจะพูดเสริมอย่างเกลียดชังว่า “ไปซะ ตอนนี้ ขันที นายควรเลิกเพ้อถึงผู้หญิงได้แล้ว ด้วยของขวัญแห่งการจากลานี่ไงล่ะ!” “ไอ้หนู แก... แก
อย่างไรก็ตาม คำเตือนของธิอันน่าไม่ได้เข้าหูเฟนด์เลยด้วยซ้ำ “ผมรู้” เฟนด์พูด “ครอบครัวของพวกเขาเป็นชนชั้นสูงระดับที่สามสินะ ใช่ไหม? ผมไม่ค่อยสนใจตระกูลชนชั้นสูงระดับที่สามอะไรนั่นเท่าไหร่ คุณก็เห็นแล้วนี่ ว่าผมไม่กลัวราชาสงครามเจ็ดดาราด้วยซ้ำ ทำไมผมต้องกลัวตระกูลชนชั้นสูงระดับสามนั่นด้วยล่ะ?” “ไม่ ฉันเกรงว่าครอบครัวเขาจะมีอะไรมากกว่านี่คุณคิดน่ะ” ธิอันน่าส่ายหัวอย่างไม่มีใครคาดคิด “ใช่ ตระกูลแวกเนอร์เป็นชนชั้นสูงระดับที่สาม แต่ลูอิซา โลว แม่ของดีแลน เป็นตระกูลที่ทรงพลังของกลุ่มอำนาจใต้ดิน ตระกูลนี้แข็งแกร่งมาก แต่พ่อแม่ของลูอิซา ไม่ชอบพ่อของดีแลน และไม่ยอมรับพวกเขา เพราะงั้น พวกเขาไม่ได้สนใจลูอิซามากนัก ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างแย่ และแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย” ธิอันน่าหยุดไปครู่นึง ก่อนจะอธิบายต่อ “ไม่อย่างไรก็ตาม ดีแลนยังคงเป็นหลานพ่อแม่ลูอิซา ฉันเชื่อว่าพวกเขาต้องสนใจเรื่องนี้แล้วไม่ปล่อยมันไปเฉย ๆ แน่ ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก ๆ ” สีหน้าของเฟนด์ดูเคร่งขึมขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินคำพูดของธิอันน่า “ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าไอ้ขยะนั่นจะมีญาติแบบนั้นด้วย แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบพว
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ