โชคดี?คนรอบข้างไม่ได้โง่ มีดทั้งหกเล่ม เขวี้ยงถูกฮาร์วีย์ด้วยด้ามมีด เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญและฮาร์วีย์ก็เป็นหัวหน้าทีม ถ้าเค้าไม่ใช่คู่แข่งของเฟนด์ ใครยังจะกล้าท้าดวลเฟนด์?"ไม่หรอก คุณสุดยอดมาก! ไปเถอะ ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นคู่ต่อสู้กับคุณ ฉันจะพาคุณไปพบพ่อ ปู่ และพี่ชายของฉัน”"หลังจากที่เจอพวกเขาแล้ว ฉันจะจัดที่พักไว้ให้ แน่นอนว่าถ้าช่วงบ่ายคุณไม่มีอะไร คุณสามารถไปรับภรรยาคุณตอนเลิกงานได้ทันที คุณมีอิสระได้ทุกเมื่อถ้าคุณต้องการออกไปข้างนอก หรือถ้าคุณต้องการจะพักที่คฤหาสน์เดรค หรือที่ไหนก็ได้ตามใจคุณ!” ทันย่ายิ้มจาง ๆ แล้วเดินไปข้างในกับเฟนด์บอดี้การ์ดพวกนั้น มองหน้ากันไปมา พวกเขาตกตะลึงอีกครั้ง"ถ้าฉันฟังไม่ผิด เธอบอกว่าเขาสามารถเลิกงานได้ตลอดเวลาใช่หรือเปล่า?""ใช่ เขาไม่จําเป็นต้องพักอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเดรค เขาสามารถแวะมาดูได้ทุกเมื่อ"บอดี้การ์ดถึงกับอึ้งไปตาม ๆ กัน อะไรกันวะเนี่ย! ได้รับเงินเดือนยี่สิบล้านดอลลาร์ แต่เขากลับได้รับอิสรภาพมากที่สุด ในบรรดาพวกเขา เป็นใครกันแน่? ผู้นำของตระกูลเดรค ปฏิบัติต่อเขาดีมากจริง ๆ "คุณปู่คะ พ่อ พี่ นี่คือเฟนด์!"
เขายังมีความสงสัยในความสามารถของเฟนด์อีกด้วย เฟนด์มีเงินเดือนสูงถึงยี่สิบล้านเหรียญ ถ้าเขาไม่คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย มันคงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอีกอย่างตั้งแต่เฟนด์ตอบตกลง เขาก็ไม่อยากที่จะหยุดมันแล้วทันทีที่ทิโมธีเดินออกมาจากบ้าน เขาก็เห็นฮาร์วีย์และบอดี้การ์ดอีกสองสามคนกำลังเดินไปข้างหน้าเขาดีใจจนหัวใจเต้นแรง ฮาร์วีย์แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บังคับบัญชาเขาโบกมือทันทีและร้องออกมาว่า "ฮาร์วีย์ มาลองดูบอดี้การ์ดคนใหม่คนนี้นะ ใจเย็น ๆ นะ ยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!"..ปากของทิโมธียิ้มนิด ๆ เขาอดใจไม่ไหวที่จะเห็นเฟนด์โชว์ความโง่ออกมา ถ้าเฟนด์ไม่สามารถสู้ฮาร์วีย์ได้ เขาก็คงจะลำบากใจที่จะจ่ายเงินเดือนสูงขนาดนี้ใช่ไหม?ทันย่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้"เธอหัวเราะทําไม?"ทิโมธีขมวดคิ้วและสับสน“ไม่ ไม่มีอะไร"ทันน่าเอามือกุมอุ้มท้องขณะเดียวกัน ฮาร์วีย์และบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็หันกลับมามีบอดี้การ์ดจํานวนหนึ่งหยดเลือดออกจากมุมปาก บางรายถึงกับมีรอยเท้าชัดเจนที่หน้าอกฮาร์วีย์ก็ไม่รอดเหมือนกัน เลือดที่มุมปากของเขายังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ เขาถามอย
"โอเค เฟนด์ไปกันเถอะ!"ทันย่าเอามือไขว้หลังไว้ พร้อมรอยยิ้มในขณะที่เธอพาเฟนด์ไปยังบ้านพักที่อยู่ไม่ไกล หลังจากที่เฟนด์จากไป สีหน้าของเจมส์ก็ขมึงทึงทันที เขาพูดกับทิโมธีว่า "ทิโมธี ฉันบอกอะไรแกไว้บ้าง? ไม่ว่าเฟนด์จะเป็นอย่างไร เราก็ควรให้เกียรติเขาด้วย ยังไงเราก็หาประวัติเด็กคนนี้ในกองทัพไม่ได้ เขาอยู่ที่นั่นมา 5 ปี ฉันคาดว่าข้อมูลของเขาอาจอยู่ในแฟ้มลับสุดยอด!"ทิโมธีก้มหัวลงแล้วพูดเบา ๆ "พ่อ ผมไม่ได้ไม่ให้เกียรติเขา ผมแค่รู้สึกว่าเงินเดือนเขาเดือนละยี่สิบล้านเหรียญมันสูงเกินไปสําหรับบอดี้การ์ดคนหนึ่ง เลยอยากลองดูว่าเขาชํานาญแค่ไหน"ขณะนั้นเขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ "ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะมีความสามารถ ความสามารถนี้ต้องเป็นสุดยอดในกองทัพ ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมเขาถึงรู้จักเทพเจ้าแห่งสงคราม!""ฉันว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นนายทหาร บางทีเขาอาจจะเป็นถึงจอมพล!""เป็นไปได้ที่เขาจะไม่อยากเปิดเผยตัวตนของตัวเอง!" เจมส์กล่าวพร้อมกับพยักหน้าขณะที่ฟิโอนาและคนอื่น ๆ กลับมาบ้านแล้ว พวกเขามีสีหน้าที่ไม่สูดีหนัก"พวกคุณไปไหนกันมา ทําไมพวกถึงทําสีหน้ากันแบบนี้?แอนดรูว์เห็นพวกเขาสามคน เขาไม่สามารถปกป
ฟีโอนาวิตกกังวลมาก เธอรู้สึกตื่นตระหนก"เราจะทําอย่างไรดีล่ะ เขาเป็นคนทำ มันไม่เกี่ยวกับครอบครัวเราหรอก!""นอกจากนี้ฉันไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็นลูกเขยของเรา!"ฟีโอน่าแสดงจุดยืนของเธอทันที"ใช่ เขาก็ไม่ได้เป็นพี่เขยของผม!"เบ็นไม่ลังเลที่จะหันให้เฟนด์ คําว่า "พี่เขย" ที่เขาพูดออกมาอย่างอบอุ่นเมื่อวานนี้ถูกลืมไปในทางกลับกัน งานวันแรกของเซเลน่ากําลังไปได้สวยเธอไม่คิดว่าตระกูลเดรควางแผนจะลงทุนโครงการใหญ่ ๆ ทางตอนใต้ของเมือง พวกเขาซื้อที่ดินผืนใหญ่ และพัฒนาให้เป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับหรูในฐานะผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ซึ่งเป็นผู้ดําเนินการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างแค่เพียงผู้เดียวเซเลน่าปลื้มมากตระกูลเดรคถึงกับให้หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อมาแบ่งเบาภาระบางส่วนของเธอหัวหน้าคนนี้ชื่อ ซอนย่า นีล เป็นญาติห่าง ๆ ของคนในตระกูลเดรค"ซอนย่า ต่อจากนี้เรามาร่วมมือกันเถอะ!"เซเลน่ายิ้ม ขณะที่เธอพูดเช่นนั้นกับซอนย่าที่อยู่ด้านหน้า เธอกําลังนั่งอยู่ในห้องทํางานของเธอ"คุณเซเลน่า คุณเป็นคนสุภาพมาก คุณเป็นผู้จัดการ ฉันเป็นหัวหน้า ฉันควรฟังคุณและทําตามที่คุณบอก!"ซอนย่ายิ้ม แต่คําพูดข
หลังจากซอนย่าจากไป เซลีน่าก็เอนตัวพิงเก้าอี้แล้วขมวดคิ้ว "หัวหน้าคนนี้ดูเหมือนจะไม่พอใจในตัวเธอมาก นอกจากนี้เธอยังบังคับให้เธอดูแลพวกเขาด้วย ถ้าเธอไม่เห็นด้วย เธออาจจะกลายเป็นคนขี้เหนียวทันทีที่เป็นผู้จัดการ ที่ปฏิเสธไม่พาพวกเขาไป" "ช่างมันเถอะ โชคดีที่เมื่อวานเฟนด์ให้เงินกับเธอไว้เก้าแสนเหรียญ และแม่ของฉันให้เงินมาอีกหนึ่งแสนเหรียญ น่าจะเพียงพอสำหรับอาหารมื้อนี้ใช่ไหม?”เซเลน่ายิ้มอย่างขมขื่นและเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะเดียวกัน ชายวัยห้าสิบกว่า ๆ ของครอบครัวเทย์เลอร์ ได้กลับมาพร้อมความตื่นเต้น เขาเรียกนายใหญ่เทย์เลอร์ และสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลเทย์เลอร์ที่อยู่ด้วยกันมารวมกันทันที"ลุงทิมมี่ เกิดอะไรขึ้น?"อีวานบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้านในขณะที่เขาจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าวันนั้นเขาอารมณ์ไม่ดีเขาวางแผนจัดงานฉลองที่โรงแรมเมื่อวานนี้ และโชว์ความสําเร็จของตัวเองให้เซเลน่าและคนอื่น ๆได้เห็น แต่กลับกลายเป็นความอัปยศอดสูไม่คาดคิดว่าเรื่องจะจบลงด้วยความอับอายหลังจากฟื้นจากอาการเมาค้าง ถึงได้รู้ว่าคุณทันย่าได้จ้างไอ้ขยะอย่างเฟนด์มาเป็นบอดี้การ์ดให้กับตระกูลเดรคแบบไม่รู้อิโหน่อ
"ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะไม่ยอมรับเขาว่าเขาเป็นลูกเขยของเรา!""ถึงยังไงทุกคนก็รู้ข้อตกลงที่เราตกลงกับเขา แม้แต่นายน้อยไมเคิลเองก็รู้ เรากับเฟนด์มีข้อตกลงกันเดือนนึง"“นอกจากนี้ถ้าเรายอมรับเขาจริง เราคงไม่ขับไล่เขาและเซเลน่าออกจากตระกูลเทย์เลอร์” อีวานกล่าวนายใหญ่ก็พยักหน้า "เรื่องจริงที่เราไม่ได้ยอมรับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนในตระกูลเทย์เลอร์"เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นายใหญ่ก็หยุดและถามว่า "พูดถึงข่าวดีของเซเลน่าดีกว่า เธอได้ทํางานร่วมกับพวกตระกูลเดรคจริง ๆ ไหม?”ทิมมี่มีใบหน้าที่เคร่งขรึม "นายใหญ่ เมื่อวานไม่ใช่ทุกคนหรอกหรือที่รู้เรื่องนี้? และเซเลน่าเอง เธอก็มีความสามารถ เงินเดือนสิบล้านเหรียญต่อเดือนไม่สูงเกินไปหรอก อย่างไรเสีย เธอคือบุคคลากรในการทํางานของตระกูลเดรค เธอเป็นถึงผู้จัดการ!”"แล้วข่าวดีคืออะไร?"อีวานขมวดคิ้ว ทุกคนจึงสับสน"ผมได้ยินว่าพวกเดรคซื้อที่ดินไว้ทางใต้ของเมือง และพวกคุณก็รู้ว่าแผ่นดินนี้ใหญ่แค่ไหน!""เหนือสิ่งอื่นใด ตระกูลเดรคจะต้องพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในโครงการนี้ อสังหาริมทรัพย์เมืองใต้! ในอนาคตจะสร้างเป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด
"ใช่ มันน่าจะได้ผล เซเลน่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเทเลอร์ของเรา ถ้าไม่ใช่เรา เธอจะยังได้ประโยชน์จากโครงการใหญ่ ๆ แบบนี้อีกหรือ"เซซิเลียยิ้มและพูดทันที หากครอบครัวเทย์เลอร์สามารถเป็นตระกูลชนชั้นสูงระดับสองได้ เธอจะมีความมั่นใจและออกไปนอกบ้านพร้อมกับภูมิหลังของตระกูลได้อย่างภูมิใจในอนาคตเมื่อถึงเวลาหญิงสาวเหล่านั้นจากครอบครัวชนชั้นสูงชั้นสามที่ใกล้ชิดกับเธอจะอิจฉาเธอ พวกเขาจะพยายามทําให้เธอพอใจ"ใช่ เซเลน่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา ดังนั้นเธอก็จะต้องดูแลเราอย่างแน่นอน!"ธีโอดอร์พยักหน้า หลังจากจัดการความคิดนี้ไว้ในหัว เขามองอีวานแล้วพูดว่า "ถ้าแกจะขอโทษเธอ แกต้องใช้ความจริงใจ เข้าใจไหม?""ไม่ต้องห่วง ผมจะแสดงความจริงใจ!"อีวานยิ้มอย่างโล่งอกว่า “ผมเคยคิดแล้วว่า ตราบใดที่เธอดูแลครอบครัวของเรา ทําให้เราหาเงินได้ ฉันจะได้ตอบแทนเธอบ้าง...""คุณต้องระวังเรื่องแบบนี้นะ คนอื่นไม่ควรรู้เรื่องนี้ ถ้าคนอื่นรู้ เซเลน่าจะเสียชื่อเสียง เพราะเซเลน่าเพิ่งเริ่มทำงานร่วมกับตระกูลเดรค เธอยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากพวกเขา!"นายใหญ่เทย์เลอร์ไม่ได้มุ่งหวังที่จะอาศัยความสัมพันธ์นี้เพื่อให้ได้โครงการนี้ แต
หลังจากซอนย่าประกาศออกไป เธอก็ตรงไปที่ทางเดินด้านนอกและโทรออกพนักงานหญิงคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ หล่อนเดินมาหาเธอหลังจากที่เธอวางสาย "หัวหน้างาน คุณทํางานหนักเพื่อตระกูลเดรคมาหลายปีแล้ว พวกเขาจะไม่ให้เครดิตคุณ ทั้งที่คุณนั้นทำงานหนักมากได้อย่างไร? คุณไม่สมควรเลื่อนตําแหน่งเป็นผู้จัดการหรอกเหรอ? บริษัทมีตําแหน่งว่างสําหรับผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอที่จะทําให้เซเลน่าเป็นคนเดียวใช่ไหม?พนักงานหญิงคนนั้นพูดหลังจากที่เธอเข้าข้างซอนย่าซอนย่ารู้สึกโกรธมาก เพราะพนักงานเพิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออกมา ใบหน้าของเธอดูบูดบึ้งเพราะความโกรธที่เดือดพล่านภายในตัวเธอ เธอพยายามที่จะฝืนยิ้มออกมา "เฮ้อ เธอมีความสามารถมาก คุณทันย่าเป็นคนเลือกเธอมาเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง นอกจากนี้เซเลน่ายังแสดงศักยภาพของเธอในฐานะผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ตอนนั้นเมื่อเธอเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเทย์เลอร์!”“บ้าไปแล้ว ฉันเคยได้ยินมาว่าเธอถูกไล่ออกจากตระกูลเทย์เลอร์เมื่อห้าปีก่อน มีคนเคยเห็นเธอเก็บขยะเพื่อเอาไปขาย ฉันไม่รู้ว่าอะไรทําให้ คุณทันย่าพอใจในตัวเธอ"พนักงานคนนี้ก็รู้สึกไม่พอใจเช่นก
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ