หลังจากซอนย่าจากไป เซลีน่าก็เอนตัวพิงเก้าอี้แล้วขมวดคิ้ว "หัวหน้าคนนี้ดูเหมือนจะไม่พอใจในตัวเธอมาก นอกจากนี้เธอยังบังคับให้เธอดูแลพวกเขาด้วย ถ้าเธอไม่เห็นด้วย เธออาจจะกลายเป็นคนขี้เหนียวทันทีที่เป็นผู้จัดการ ที่ปฏิเสธไม่พาพวกเขาไป" "ช่างมันเถอะ โชคดีที่เมื่อวานเฟนด์ให้เงินกับเธอไว้เก้าแสนเหรียญ และแม่ของฉันให้เงินมาอีกหนึ่งแสนเหรียญ น่าจะเพียงพอสำหรับอาหารมื้อนี้ใช่ไหม?”เซเลน่ายิ้มอย่างขมขื่นและเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะเดียวกัน ชายวัยห้าสิบกว่า ๆ ของครอบครัวเทย์เลอร์ ได้กลับมาพร้อมความตื่นเต้น เขาเรียกนายใหญ่เทย์เลอร์ และสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลเทย์เลอร์ที่อยู่ด้วยกันมารวมกันทันที"ลุงทิมมี่ เกิดอะไรขึ้น?"อีวานบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้านในขณะที่เขาจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าวันนั้นเขาอารมณ์ไม่ดีเขาวางแผนจัดงานฉลองที่โรงแรมเมื่อวานนี้ และโชว์ความสําเร็จของตัวเองให้เซเลน่าและคนอื่น ๆได้เห็น แต่กลับกลายเป็นความอัปยศอดสูไม่คาดคิดว่าเรื่องจะจบลงด้วยความอับอายหลังจากฟื้นจากอาการเมาค้าง ถึงได้รู้ว่าคุณทันย่าได้จ้างไอ้ขยะอย่างเฟนด์มาเป็นบอดี้การ์ดให้กับตระกูลเดรคแบบไม่รู้อิโหน่อ
"ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะไม่ยอมรับเขาว่าเขาเป็นลูกเขยของเรา!""ถึงยังไงทุกคนก็รู้ข้อตกลงที่เราตกลงกับเขา แม้แต่นายน้อยไมเคิลเองก็รู้ เรากับเฟนด์มีข้อตกลงกันเดือนนึง"“นอกจากนี้ถ้าเรายอมรับเขาจริง เราคงไม่ขับไล่เขาและเซเลน่าออกจากตระกูลเทย์เลอร์” อีวานกล่าวนายใหญ่ก็พยักหน้า "เรื่องจริงที่เราไม่ได้ยอมรับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนในตระกูลเทย์เลอร์"เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นายใหญ่ก็หยุดและถามว่า "พูดถึงข่าวดีของเซเลน่าดีกว่า เธอได้ทํางานร่วมกับพวกตระกูลเดรคจริง ๆ ไหม?”ทิมมี่มีใบหน้าที่เคร่งขรึม "นายใหญ่ เมื่อวานไม่ใช่ทุกคนหรอกหรือที่รู้เรื่องนี้? และเซเลน่าเอง เธอก็มีความสามารถ เงินเดือนสิบล้านเหรียญต่อเดือนไม่สูงเกินไปหรอก อย่างไรเสีย เธอคือบุคคลากรในการทํางานของตระกูลเดรค เธอเป็นถึงผู้จัดการ!”"แล้วข่าวดีคืออะไร?"อีวานขมวดคิ้ว ทุกคนจึงสับสน"ผมได้ยินว่าพวกเดรคซื้อที่ดินไว้ทางใต้ของเมือง และพวกคุณก็รู้ว่าแผ่นดินนี้ใหญ่แค่ไหน!""เหนือสิ่งอื่นใด ตระกูลเดรคจะต้องพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในโครงการนี้ อสังหาริมทรัพย์เมืองใต้! ในอนาคตจะสร้างเป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด
"ใช่ มันน่าจะได้ผล เซเลน่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเทเลอร์ของเรา ถ้าไม่ใช่เรา เธอจะยังได้ประโยชน์จากโครงการใหญ่ ๆ แบบนี้อีกหรือ"เซซิเลียยิ้มและพูดทันที หากครอบครัวเทย์เลอร์สามารถเป็นตระกูลชนชั้นสูงระดับสองได้ เธอจะมีความมั่นใจและออกไปนอกบ้านพร้อมกับภูมิหลังของตระกูลได้อย่างภูมิใจในอนาคตเมื่อถึงเวลาหญิงสาวเหล่านั้นจากครอบครัวชนชั้นสูงชั้นสามที่ใกล้ชิดกับเธอจะอิจฉาเธอ พวกเขาจะพยายามทําให้เธอพอใจ"ใช่ เซเลน่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา ดังนั้นเธอก็จะต้องดูแลเราอย่างแน่นอน!"ธีโอดอร์พยักหน้า หลังจากจัดการความคิดนี้ไว้ในหัว เขามองอีวานแล้วพูดว่า "ถ้าแกจะขอโทษเธอ แกต้องใช้ความจริงใจ เข้าใจไหม?""ไม่ต้องห่วง ผมจะแสดงความจริงใจ!"อีวานยิ้มอย่างโล่งอกว่า “ผมเคยคิดแล้วว่า ตราบใดที่เธอดูแลครอบครัวของเรา ทําให้เราหาเงินได้ ฉันจะได้ตอบแทนเธอบ้าง...""คุณต้องระวังเรื่องแบบนี้นะ คนอื่นไม่ควรรู้เรื่องนี้ ถ้าคนอื่นรู้ เซเลน่าจะเสียชื่อเสียง เพราะเซเลน่าเพิ่งเริ่มทำงานร่วมกับตระกูลเดรค เธอยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากพวกเขา!"นายใหญ่เทย์เลอร์ไม่ได้มุ่งหวังที่จะอาศัยความสัมพันธ์นี้เพื่อให้ได้โครงการนี้ แต
หลังจากซอนย่าประกาศออกไป เธอก็ตรงไปที่ทางเดินด้านนอกและโทรออกพนักงานหญิงคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ หล่อนเดินมาหาเธอหลังจากที่เธอวางสาย "หัวหน้างาน คุณทํางานหนักเพื่อตระกูลเดรคมาหลายปีแล้ว พวกเขาจะไม่ให้เครดิตคุณ ทั้งที่คุณนั้นทำงานหนักมากได้อย่างไร? คุณไม่สมควรเลื่อนตําแหน่งเป็นผู้จัดการหรอกเหรอ? บริษัทมีตําแหน่งว่างสําหรับผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอที่จะทําให้เซเลน่าเป็นคนเดียวใช่ไหม?พนักงานหญิงคนนั้นพูดหลังจากที่เธอเข้าข้างซอนย่าซอนย่ารู้สึกโกรธมาก เพราะพนักงานเพิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออกมา ใบหน้าของเธอดูบูดบึ้งเพราะความโกรธที่เดือดพล่านภายในตัวเธอ เธอพยายามที่จะฝืนยิ้มออกมา "เฮ้อ เธอมีความสามารถมาก คุณทันย่าเป็นคนเลือกเธอมาเป็นผู้จัดการด้วยตัวเอง นอกจากนี้เซเลน่ายังแสดงศักยภาพของเธอในฐานะผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ตอนนั้นเมื่อเธอเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเทย์เลอร์!”“บ้าไปแล้ว ฉันเคยได้ยินมาว่าเธอถูกไล่ออกจากตระกูลเทย์เลอร์เมื่อห้าปีก่อน มีคนเคยเห็นเธอเก็บขยะเพื่อเอาไปขาย ฉันไม่รู้ว่าอะไรทําให้ คุณทันย่าพอใจในตัวเธอ"พนักงานคนนี้ก็รู้สึกไม่พอใจเช่นก
"สูงมากเลยเหรอ? ต่างจากผู้จัดการคนก่อน ๆ มากไหม? เธอไม่ได้รับเงินเดือน เดือนละแสนหรอกหรือ ถ้ารวมกับสวัสดิการต่าง ๆ เธอน่าจะได้เงินทั้งหมดประมาณหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเหรียญใช่ไหม?"ซอนย่าขมวดคิ้วขมวด เธอแปลกใจนิดหน่อย“ฉันได้ยินมาว่าแตกต่างกัน ถ้าฉันจำไม่ผิด เงินเดือนของเธอคือเดือนละหนึ่งล้านเหรียญ และโบนัสประจําปี!"ฟิลิเซีย พนักงานหญิงบอกว่า "ฉันไม่รู้ว่าทําไมเธอถึงได้เงินเดือนสูงขนาดนี้ คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ? ฉันเข้าใจว่า เพราะเธอเป็นญาติของตระกูลเดรคหรือเปล่า แต่เธอไม่ใช่! ฉันคิดว่าเธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการก็เพียงพอแล้ว ไม่จําเป็นต้องให้เงินเดือนสูงขนาดนั้น!"ซอนย่าเริ่มเครียดเมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าเธอเป็นผู้จัดการ เธอจะได้เงินเดือนสูงขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือเพราะเธอคือญาติห่าง ๆ ของตระกูลเดรค?คิดเพียงว่าเธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการ เซเลน่าก็ไม่เข้าร่วมกับบริษัท เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ตลอดทั้งช่วงบ่ายใกล้ได้เวลาเลิกงานแล้ว เซเลน่าก็เดินออกจากห้องทำงานเช่นเดียวกัน"ทุกคนวันนี้เป็นวันแรกของฉันที่ทํางานในบริษัท เพื่อที่จะกระชับมิตรภาพของเรา ฉันได้วางแผนที่จะพาทุก
"ใช่ครับ คุณไม่ได้บอกให้ฉันจัดการหรอกหรือ? ฉันได้จองห้องส่วนตัวเอาไว้ เป็นที่ขึ้นชื่อมากในตอนนี้ ค่าใช้ขั้นต่ำเพียงสองแสนเหรียญเท่านั้น!” “ฉันได้ยินมาว่าผู้จัดการ ได้เงินเดือนตั้งหนึ่งล้านเหรียญต่อเดือน คงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซอนย่าพูดด้วยรอยยิ้ม"เป็นไปไม่ได้! เงินเดือนผู้จัดการสูงขนาดนั้นเลยเหรอ""ว้าว… คุณจองห้องส่วนตัวหรือ? ผู้จัดการใจดีกับเรามาก ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำตั้งสองแสนเหรียญ!!!"..พนักงานคนอื่น ๆ ทุกคนมีชีวิตชีวา พนักงานหญิงบางคนถึงขั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ จากสถานการณ์ เซลีน่าเหมือนถูกบังคับด้วยความรู้สึกที่น่ากลัว ความรู้สึกนี้สะท้อนออกมาบนใบหน้าของเธอ สองแสนเหรียญเป็นค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ พวกเขาอาจจะใช้เงินในมื้อเย็นมากกว่านั้น นอกจากนี้เธอก็ยังไม่รู้จํานวนว่าจะใช้จ่ายในห้องคาราโอเกะเท่าไรเธอโกรธมาก และอยากจะพูดให้ซอนย่าฟัง มันน่าสะอิดขยะแขยงที่ผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจแทนเธอโดยที่ไม่ขอคําปรึกษาจากเธอน่าเสียดายที่เธอทําแบบนั้นไม่ได้ เธอรู้ดีว่าซอนย่าทำงานที่นี่มานาน และเป็นหัวหน้า... เธออาจมีเพื่อนสนิท อยู่รอบตัวเธอ ถ้าเซเลน่าต่อว่าซอนย่า มันไม่มีผลดีต่อเซเลน่าเลยถ้าพ
เซเลน่ารีบเดินออกจากบริษัทอย่างรวดเร็ว หลังคนจากที่คนอื่น ๆ ทยอยกันออกไปพร้อมกับสีหน้าบูดเบี้ยวตลอดเวลาเธอมีเงินติดตัวแค่หนึ่ง 100,000 เหรียญ แต่อาหารมื้อค่ำกับคาราโอเกะเธออาจจะต้องจ่ายเงินถึง 300,000 เหรียญ เธอรู้สึกไม่สบายใจถึงอย่างไร เซเลน่าก็ไม่มีทางเลือก หากเธอทําให้ซอนย่าประสบความสําเร็จ เธออาจจะได้ใช้ช่วงเวลาที่น่าสมเพชในบริษัทนี้ในอนาคตนอกจากนี้ เงินเดือนของเธอก็มากพอสมควร แม้จะใช้เงินไปมากก็ตาม ตราบเท่าที่เธอได้รับเงินเดือนก้อนแรก เธอก็สามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดกับเรื่องการเงินได้หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เธอไม่สามารถคิดหาทางออกได้ดีกว่า เธอจึงตัดสินใจโทรหาฟีโอน่าจะว่าไปแล้ว เฟนด์เคยนำเงินออกไปใช้หนึ่งล้านเหรียญก่อนหน้านี้ ส่วนฟีโอน่ามีประมาณ 800,000 เหรียญ เธอแค่เอาเงินบางส่วนจากฟีโอน่าก่อน เพื่อที่จะแก้ไขในเรื่องนี้"แม่..."เซเลน่าเรียกเธอเบา ๆ หลังจากที่ฟีโอน่ารับสาย"เซเลน่า ทํางานเป็นไงบ้าง"ฟีโอน่าถามอย่างร้อนใจ เธอไม่รอให้เซเลน่าพูดอะไรมากกว่านี้ "เซเลน่า จะบอกให้นะ เราตัดสินใจแล้ว ลูกหย่ากับเฟนด์ดีกว่า ยิ่งเร็วยิ่งดี บางทีลูกน่าจะคิดบ้างนะ พรุ่งน
ฟีโอน่ายังดื้อรั้นมุมปากของเซเลน่ายิ้มอย่างเหนื่อยใจ เธอวางสายด้วยความเจ็บปวดเพราะความผิดหวัง"เฮ้ ที่รัก เกิดอะไรขึ้น วันนี้เป็นวันแรกที่คุณไปทำงาน ทำไมถึงได้ดูอารมณ์ไม่ดี!"บังเอิญที่เฟนด์เอารถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามาจอดตรงหน้าเธอพอดี เขาเอาไอศกรีมที่เขาซื้อมายื่นให้กับเซเลน่า "อากาศค่อนข้างร้อน มันยังเช้าอยู่เลย ผมเลยขับรถไปซื้อไอติมมาให้คุณสองอัน!"เซเลน่าตอบรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเฟนด์ด้วยรอยยิ้มแห่งความเศร้า เธอหยิบไอศกรีมมากินก่อนจะคร่ำครวญว่า "สามี ฉันไม่รู้จะทํายังไงดี ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทวันแรก ฉันเจอกับดักแผนของคนอื่น แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันผิดหวังคือแม่ ฉันขอยืมเงินสามแสนเหรียญจากแม่ และบอกแม่ว่าจะคืนให้เมื่อได้เงินเดือน แต่แม่ไม่ยอมให้ฉันยืม เพราะเธอคิดว่าคุณกําลังเดือดร้อน และคุณต้องการเงินก้อนนี้ เพื่อชดใช้ให้กับใครบางคน สําหรับปัญหาที่คุณก่อขึ้น" เฟนด์รู้สึกเศร้าทันทีที่เห็น เซเล่น่าสีหน้าเศร้าหมอง เขาเดินมายิ้มนิด ๆ "ที่รัก ไม่เป็นไร ถ้าคุณต้องการเงินก็แค่บอกสามีของคุณ คุณอยากได้ 300,000 เหรียญใช่ไหม ผมจะพาคุณไปถอนเงินที่ธนาคารหนึ่งล้านเหรียญ ผมจะให้คุณ เพื่อที่คุณจะได
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ