พ่อบ้าน ไททัส วู๊ด มองแนช วู๊ดที่นอนอยู่บนเตียง เขาพยักหน้ารับอย่างนิ่ง ๆ “เราเจอพวกเขา แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะกลับมาด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้ตอบชัดเจนว่าจะมาที่นี่หรือมาเมื่อไหร่ครับ”สายตาของแนชผิดหวังทันทีเมื่อไททัสพูดออกมา “มันเป็นความผิดของฉันเอง... ฉันทำผิดต่อพวกเขา ฉันไม่คิดว่าเฟนด์จะเกลียดฉันถึงขนาดปฏิเสธที่จะกลับมาหาครั้งสุดท้ายทั้งที่รู้ว่าฉันกำลังจะตาย เฮ้อ นี่คงเป็นเวรกรรมของฉันสินะ ว่าไหมล่ะ?”อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าไททัสจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “นายท่าน ผมเชื่อว่านายน้อยจะกลับมา เพราะว่าก่อนที่เราจะกลับมาโจแอนบอกว่าเฟนด์มีเรื่องสำคัญต้องทำและต้องใช้เวลาในการคิดเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าเฟนด์จะกลับมา แต่ต้องใช้เวลาสักพัก ไม่ช้าก็เร็ว” “จริงเหรอ?” แนชตาชื้นขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “มัน... มันดีจริง ๆ ที่ได้ยินแบบนั้น! ฉันไม่ได้เจอเฟนด์มาหลายปีแล้ว แล้วก็อยากเห็นว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว...!”“นายท่าน นายน้อยหล่อเหมือนท่านเลย!” ไททัสยิ้ม “นอกจากนั้น ยังมีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่ออีก สี่คนจากตระกูลแลมเบิร์ตไปหาพวกเทย์เลอร์ เพราะพวกเขาได้เข้าใจผิดกันมาก่อน คนพวกนั้นสร้างปัญ
“ยังมีอีกนะครับ ห้าปีที่แล้วโจแอนป่วยหนักและต้องการเงินผ่าตัดหนึ่งล้าน...” แล้วไททัสก็เล่าทุกอย่างให้แนชฟังกับเรื่องเมื่อห้าปีก่อนของเฟนด์และโจแอนแนชกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เขาค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี “เธอกล้าดียังไงให้คนมาเป็นพ่อบ้านแทนแล้วทำให้เฟนด์เสียหน้า! ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขานั่งคุกเข่าอยู่ตลอดทั้งคืน! ลิลลี่ เธอมันโหดร้ายเกินไปมากจริง ๆ !” เพราะเหตุนี้แนชจึงสั่งว่า “เบธ พานังเฒ่ามาที่นี่ ฉันต้องฆ่าลิลลี่กับอีเวตต์ ลาโกริโอ! กล้าดียังไงมาแกล้งทำเป็นพ่อบ้าน?!”แนชรู้ทันทีว่า 'ผู้หญิงอ้วน' ที่ไททัสพูดถึงคืออีเวตต์ ลาโกริโอ คนใช้ส่วนตัวของลิลลี่ เธอเป็นคนใช้ส่วนตัวของลิลลี่ตอนที่ลิลลี่แต่งงานกับตระกูลวู๊ด และทำตามคำสั่งของลิลลี่มาเสมอ แม้จะเป็นเรื่องผิด"นายท่าน เราทำไม่ได้!" ไททัสประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ และพูดต่อว่า "นายท่าน จริงอยู่ที่นายหญิงทำตัวไม่เหมาะสม แต่ตระกูลวู๊ดตอนนี้แต่ตระกูลวู๊ดตอนนี้ยังไม่มีใครมาเป็นผู้นำได้ แม้ว่าคุณจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม แต่คุณก็ป่วยหนัก ถ้าภายในพวกเราเกิดสงครามขึ้น ตระกูลอื่น ๆ ที่เฝ้ามองอยู่จะเข้ามาเล่นงานพวกเรา! เราจะทำยัง
“ฉันไม่สนหรอกว่าความสัมพันธ์พวกนั้นจะดีแค่ไหน เธอก็เป็นแค่คนใช้ แต่ปฏิบัติกับลูกชายฉันโหดร้ายมาก ไม่ใช่แค่ทำเป็นพ่อบ้านเท่านั้นนะ แต่ยังทำให้เฟนด์ต้องอับอายคุกเข่าอยู่ข้างนอกนั่นทั้งคืน เฟนด์คือลูกชายฉัน และฉันต้องล้างแค้นให้เขา...!” แนชกำหมัดแน่นด้วยความคับอกคับใจเบธเห็นด้วยกับแนช เธอพยักหน้าและแนะนำว่า “ใช่ แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม รอจนกว่านายน้อยเฟนด์จะมา ฉันว่านั่นเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะหาเหตุผลในการฆ่าเธอ ถ้าเธอกล้าทำให้นายน้อยต้องอับอายตอนที่อยู่ที่นี่ แล้ววิธีนี้คุณก็จะได้ล้างแค้นให้นายน้อยเห็น เขาจะได้รู้ว่าคุณห่วงเขาขนาดไหน”แนชตาแววเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เยี่ยมมาก! โอ๊ย ฉันจะหวังให้เฟนด์มาได้ยังไง... ถ้าเขาอยู่ที่นี่สักสองสามวันก็คงดี แม้ว่าจะไม่อยากได้มรดกของเราก็ตาม...”ขณะนั้น แนชไอดังค่อกแค่ก…ตอนเที่ยง ทั้งเฟนด์ เซเลน่า และลาน่าได้ดื่มกาแฟเรียบร้อยแล้วเฟนด์สังเกตเห็นร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล ที่นั่นมีการตกแต่งอย่างสวยงาม “ไปกินข้าวกันเถอะ!” เฟนด์แนะนำ “ร้านนั้นดูดีนะ ไปดูกัน!”ขณะเดียวกัน... “ดูผู้ชายคนนั้นสิ! มีผู้หญิงสวย ๆ อยู่ด้วยตั้งสองคน ฉันอิจฉาเขาจริง!”
ชายคนนั้นก้มตัวเล็กน้อยเพื่อให้มือของเขาพิงโต๊ะที่เซเลน่านั่งอยู่ได้ นาฬิกาเรือนนั้นดูเด่นขึ้นมาจากข้อมือชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อยขณะที่อวดนาฬิกาหรูและพูดอีกว่า “ยินดีที่ได้เจอผู้หญิงสวยเช่นนี้นะครับ พวกคุณอยากเป็นเพื่อนกับผมไหม? แลกการติดต่อกัน ตราบใดที่คุณยินดีเป็นเพื่อนผม ผมจะจ่ายค่าอาหารวันนี้ให้!”นายน้อยควินตันพูดอย่างมั่นใจและมีรอยยิ้มบนหน้า เขาเชื่อว่าผู้หญิงสวย ๆ ส่วนใหญ่ซื้อได้ด้วยเงินนอกจากนั้น ราคาอาหารในร้านนี้ก็ไม่เท่าไรสำหรับเขา ดูจากคำพูดของสาวสวยคนนี้แล้ว พวกเขาอาจจะเลือกออกไปเพราะไม่มีเงินซื้ออาหารของร้านนี้ สุดท้ายแล้วคนจนส่วนใหญ่ก็ซื้ออาหารที่นี่ไม่ได้ พวกเขาคงจะออกไปหลังจากเห็นเมนูเขาคงจะนั่งด้วยแล้วถ้าไม่มีผู้ชายที่โต๊ะนี่ เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกนี้เป็นอย่างไรกันเขาเชื่อว่าผู้หญิงพวกนี้จะเขียนเบอร์โทรมาให้อย่างลับ ๆ ในภายหลัง ถ้าพวกเธอไม่โง่ล่ะก็นะ นี่ไม่ได้ครั้งแรกที่เขาเจอเช่นนี้ ตราบใดที่พวกเธอยอมให้จีบได้ ก็หมายความว่าครั้งต่อไปพวกเธอก็น่าจะมาหาได้ถ้าขอให้มาหาชายคนนั้นมองสาวสวยทั้งสอง หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นเมื่อขยับเข้าไปใกล้ ๆ เขาคาดหวั
เสียงข่มขู่ของนายน้อยควินตันชัดเจนขึ้นเมื่อเขามองออกไปข้างนอกและมีบอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนสูบบุหรี่อยู่ข้าง ๆ รถของเขา“ฮ่า ๆ ! นายน้อยควินตัน หนังหน้าของคุณมีค่าแค่ไหนกัน?” เฟนด์กลั้นหัวเราะไม่ไหวเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ภรรยาฉันปฏิบัติกับคุณอย่างดีและปฏิเสธอย่างสุภาพ เราไม่อยากมีปัญหา ดังนั้น จะเป็นการดีถ้าคุณรีบ ๆ ออกไปซะ มันจะดีกับเราทุกคน นอกจากนั้น เธอไม่ใช่ผู้หญิงเห็นแก่เงิน เธอแต่งงานกับผมอย่างมีความสุข เข้าใจไหม?”เฟนด์ไม่กลัวที่จะได้เจอกับนายน้อยควินตัน และยังคงมีความกล้าหาญในขณะที่เฟนด์อยากจะทำตัวติดดินที่เมืองนางแอ่นเพราะเพิ่งย้ายเข้ามา แต่เขาก็มีขีดจำกัดที่ไม่ควรมีใครมาล้ำเส้น และนั่นก็คือเรื่องเซเลน่า ภรรยาเขา เขารู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเมื่อชายคนนั้นชวนเซเลน่าออกไปยิ่งไปกว่านั้น ภรรยาของนักรบสูงสุดจะถูกรังแกแบบนั้นได้อย่างไร? จะให้ใครมาทำเช่นนั้นกับเธอได้อย่างไร?สุดท้ายแล้ว มันก็มีคนมีอำนาจมากมายในเมืองนางแอ่น ใครจะไปรู้ว่านายน้อยควินตันที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี่คือใคร?“ฮ่า ๆ! มีสามีแล้วไง? หลายคนก็แต่งงานแล้วทั้งนั้น!” นายน้อยควินตันเยาะเย้ยเฟนด์ “ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหลายคน
เคเลบตัดสินใจอย่างหนักแน่น แล้วทั้งสี่ก็พุ่งเข้าหาลาน่าลาน่าส่ายหัวเมื่อทั้งสี่วิ่งเข้ามา เธอแสดงความแข็งแกร่งออกมาแค่เสี้ยวเดียวอย่างไม่ต้องการสร้างความวุ่นวาย ที่ต้องการทั้งหมดคือแค่สอนให้คนพวกนี้ยอมรับความพ่ายแพ้และออกไปซะ เธอไม่คิดว่าพวกนี้จะมั่นใจในตัวเองมากกว่าเดิมและเข้ามาพร้อม ๆ กัน เปรี้ยง! ปัง! ตูม!ลาน่าไม่ออมมืออีกต่อไป ชายสี่คนล้มลงไปกับพื้นขณะที่เธอเตะออกไปไม่ยั้งแรง เลือดกระอักออกมาจากปากขณะที่พวกเขาหน้าซีดเผือด“นายน้อย!” บอดี้การ์ดหลายคนรีบเข้ามาเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น“เวรเอ๊ย ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งจริง ๆ เหมือนว่าเราจะไปหาเรื่องเธอไม่ได้นะ!” นายน้อยควินตันยืนขึ้นเช็ดเลือดจากมุมปาก“นายน้อย ไม่ต้องห่วง เราจะฆ่าเธอเพื่อคุณ!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งชี้กริซไปหาลาน่าเห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดพวกนี้แข็งแกร่งกว่าพวกเด็กรวย ๆ ที่ไร้ประโยชน์มากนายน้อยอีกสามคนที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายน้อยควินตัน แต่พวกเขาไม่ได้มาจากตระกูลที่แข็งแกร่งเช่นควินตัน พวกเขาจึงดูแลด้วยความเคารพ“โธ่เอ๊ย... เหมือนว่าพวกแกจะไม่ยอมไปกันเลยนะถ้าไม่โดนสั่งสอน!” ลาน่า
“นายน้อยควินตันนี่มาจากตระกูลที่แข็งแกร่งหรือเปล่า?” เซเลน่ากังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็คือคนของเมืองนางแอ่น เป็นไปไม่ได้เลยว่าพวกเธอจะไปเหยียบหางตระกูลที่มีอำนาจเร็วเกินไป ใช่ไหม?พนักงานมองทุกคนก่อนอธิบายอย่างนุ่มนวลว่า “จะให้พูดยังไงดีล่ะ... พวกเขาเคยเป็นครอบครัวเล็ก ๆ มาก่อน ไม่ค่อยมีอิทธิพลอะไรเสียเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ถือว่ามีอำนาจแข็งแกร่งในที่นี้” พนักงานหยุดก่อนพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ลุงรุ่นที่สองของนายน้อยควินตันกลับมาจากสนามรบ สถานะของตระกูลควินตันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วตอนนี้ก็เป็นตระกูลชนชั้นสามแล้ว พวกเขาพัฒนาไปไกล เพราะลุงเขาเป็นราชาสงคราม!”“ราชาสงคราม?” เฟนด์ไม่กลัวเลย แต่กลับรู้สึกโกรธจัดแทนในฐานะราชาสงครามที่สง่างาม เขายอมให้หลานชายมาทำตัวเช่นนี้ในที่สาธารณะได้อย่างไร? ถ้าเป็นเฟนด์ จะไม่หยุดแค่ไม่ช่วยนายน้อยควินตันแน่... เฟนด์จะกระทืบแทน!“คุณจะบอกว่าราชาสงครามคนนี้ไม่รู้ถูกผิดแล้วรู้จักแค่ปกป้องหลานตัวเองเหรอ?” ลาน่าไม่พอใจหลังจากได้ยินคำอธิบายจากพนักงานเสิร์ฟ เธอถามกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา“ใช่ นายน้อยได้รับการสนับสนุน ก็เ
แล้วเฟนด์ก็กินด้วย ในขณะที่อาหารราคาแพง แต่รสชาติมันก็อร่อยจริง ๆ นอกจากนั้นก็พากันดื่มอะไรบางอย่างอีกด้วยสิบนาทีผ่านไป...“นี่ นายน้อยควินตันไม่ได้กลับมาแก้แค้น เหมือนจะแค่เห่าแต่ไม่กัดนะ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย!” ลาน่ายิ้มยกแก้วไวน์แดงขึ้นมา “พี่เฟนด์กับพี่สะใภ้ ดื่ม!”เซเลน่ายิ้มและพูดกับลาน่าว่า “แน่นอน! ตอนบ่ายดื่มไม่เยอะจะดีที่สุด เราจะได้ไม่เมา!”“ไม่ต้องห่วง ฉันกับพี่เฟนด์คุมแอลกอฮอลล์ได้ดี ไวน์ขวดหนึ่งไม่มีผลอะไรกับเราเลย” ลาน่าดื่มไวน์เข้าไปในครั้งเดียว รอยยิ้มไม่หายไปจากใบหน้าขณะมองเซเลน่า “แต่อย่าลืมนึกถึงตัวเองนะคะพี่สาว อย่าเมา!”“ฉันคุมได้ไม่เท่าพวกคุณหรอก แต่ขวดหรือสองขวดก็ไม่มีผลอะไรเหมือนกัน” เซเลน่ายิ้ม “สุดท้าย ฉันต้องดื่มตอนที่เริ่มทำงานให้กับตระกูลเทย์เลอร์ ก็เลยได้ฝึกมาบ้างแล้ว”“จริงเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เอามาอีกขวด นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ดื่มกับพวกคุณ!” ลาน่ายักไหล่ เธอค่อนข้างอิจฉาเซเลน่าสำหรับลาน่า เฟนด์เป็นเหมือนพระเจ้า เขาเป็นไอดอลของเธอ แข็งแกร่งและหล่อมากถ้าไม่รู้ว่าเฟนด์แต่งงานและซื่อสัตย์กับภรรยามากเธอเองก็อยากจะเป็นผู้หญิงของเขาถึ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ