แต่คู่รักที่อยู่ตรงหน้าเธอกลับไม่สนใจที่จะดูแม้แต่ห้องโชว์ด้วยซ้ำ ทั้งคู่เพียงแค่เหลือบมองแซนด์บ็อกซ์และสอบถามเกี่ยวกับราคา“ไม่จำเป็นหรอก พวกเราอยากรีบย้ายเข้ามา!”เฟนด์แสยะยิ้มและตอบอย่างไร้อารมณ์“ดีเลย ถ้าจ่ายเต็มมีส่วนลดให้แน่นอน บริษัทกำลังมีส่วนลดสำหรับบ้านพวกนี้ ดังนั้นมันจะมีราคาอยู่ที่ 110 ล้านเหรียญต่อหลัง!”พนักงานขายสาวสวยอายุน้อยคนนั้นยิ้มออกมา แต่ก็พึมพำอยู่ในใจว่า “อย่าบอกนะว่าพวกเขาวางแผนที่จะซื้อวิลล่าจริง ๆ!”เป็นเพราะราคาของบ้านพวกนี้ พวกเขาแทบจะขายไม่ได้เลยสักหลังต่อเดือน ยังไงก็ตาม ถ้าหากพวกเธอสามารถขายได้หนึ่งหลัง ค่าคอมมิชชั่นสำหรับเดือนนั้นก็จะเยอะมาก“110 ล้านเหรียญต่อหลังใช่ไหม? ถ้าผมจะซื้อ 20 หลัง มันก็จะเป็น 2.1 พันล้านเหรียญใช่ไหม?”หลังจากคำนวณในหัวแล้ว เฟนด์ก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไร้กังวล“ยี่-ยี่สิบหลัง?”พนักงานขายสาวสวยถอนหายใจออกมาอย่างแปลกใจ สงสัยว่าหูของเธอได้ยินผิดไปหรือเปล่า มันไม่ใช่เพียงแค่ยี่สิบเหรียญหรือ 200 เหรียญแต่มันมากถึง 2.1 พันล้านเหรียญ เป็นไปได้ไหมว่าคู่รักคู่นี้จะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย?“ใช่ ด้านนี้ ด้านที่ใกล้ประตู ผมอ
“เซ็น...เซ็นสัญญา?”ผู้จัดการก็ผงะไป ในชีวิตของเขาไม่เคยเห็นการซื้อที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อน“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! ผมมีเวลาไม่มาก หลังจากนี้ผมยังต้องไปซื้อของใช้ในบ้านอีก และผมจะย้ายมาที่นี่ตอนบ่ายนี้ คุณอยากจะขายหรือไม่ขาย?”กลับกัน เฟนด์ไม่อยากพูดคุยกับผู้จัดการอีกต่อไป แต่มองเขาด้วยสายตาอันตราย เฟนด์เริ่มหมดความอดทนแล้วผู้จัดการตกใจอีกครั้ง “แน่นอนครับท่าน! ผมเพียงแค่ไม่เคยเห็นใครใจกว้างแบบนี้มาก่อน!”ผู้จัดการตอบกลับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ในขณะเดียวกัน พนักงานขายสาวก็กำลังทำสัญญาซื้อขายเฟนด์ยิ้มออกมานิด ๆ ขณะที่เขาพูดกับผู้จัดการว่า “ยังไงก็ตาม ยอดขายทั้งหมดพวกนี้ต้องให้เครดิตกับพนักงานขายสาวคนนี้ เพราะเธอคือคนที่คอยตอนรับเราเป็นอย่างดี อย่าบังอาจมาขโมยเครดิตเธอล่ะ!”พนักงานขายสาวรู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ยินคำพูดของเฟนด์จนเธอเกือบจะร้องไห้ คู่รักคู่นี้ใจดีมากพวกเขาคิดถึงถึงพนักงานตำแหน่งต่ำ ๆ ด้วย“ไม่ต้องห่วง เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่ เพราะโบนัสของผู้จัดการขึ้นอยู่กับยอดขายรวมของทุกเดือน แม้ว่าผมอยากจะได้เครดิตจากการขายในวันนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์และไม่มีความหมาย!”ผู
“เธอมาที่นี่ได้ไม่ถึงเดือนก็จริง แล้วมันผิดตรงไหน? ยอดขายและผลงานของเธอในวันนี้เป็นสิ่งที่พวกเธอไม่สามารถทำได้ ตอนที่พวกเธอสองคนอยู่ตรงทางเข้า ทำไมพวกเธอไม่ไปบริการลูกค้าคู่นั้นแล้วทำการขายแบบนี้ล่ะ?”ผู้จัดการตอบกลับไป แทนที่เขาจะถูกทำให้โมโห เขาจึงเลือกออกไปรายงานกับผู้จัดการทั่วไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้แทนพนักงานขายทั้งสองสบตากัน ตอนนี้พวกเธอไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากรู้สึกผิดหวังมากขณะเดียวกัน ณ เมืองจิน หัวหน้าตระกูลแลมเบิร์ต ผู้พิทักษ์และผู้อาวุโสก็ได้มารวมตัวกัน“เราติดต่อลูคัสไม่ได้เลย ฉันกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ช่วงสองสามวันมานี้เราพยายามติดต่อเขามาโดยตลอด และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เราก็ติดต่อกับอีกสามคนไม่ได้เหมือนกัน หัวหน้าตระกูลฟรีแมนมาถามเราว่า สโนว์ ฟรีแมน ลูกสาวของเขาอยู่ที่ไหน สโนว์ออกไปกับลูคัสและมันเป็นหน้าที่ของตระกูลแลมเบิร์ตที่ต้องดูแลเธอให้ปลอดภัย!”หัวหน้าตระกูลแลมเบิร์ตขมวดคิ้ว สีหน้าเขาดูไม่ดีเลยการสูญเสียคนในตระกูลแลมเบิร์ตไปสามคนก็ทำให้หัวใจของพวกสมาชิกแตกสลายไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ลูคัส แลมเบิร์ต ยังเป็นลูกชายของนายท่านคนที่สองของตระก
เฟนด์และคนอื่น ๆ ออกมาซื้อของใช้ประจำวันก่อนที่จะไปซื้อรถใหม่ จากนั้นพวกเขาก็พักผ่อนกันอย่างมีความสุขขณะเดียวกันนั้น ในวิลล่าหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของเขา ดาราสาวสวยอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมากับดาราสาวอีกคนว่า “นี่มันแปลกมาก ฉันเห็นผู้พัฒนาโครงการกำลังสั่งสร้างกำแพงระหว่างทางที่กลับมา ตอนที่ฉันเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ พวกเขาบอกว่ามีคนซื้อวิลล่า 20 หลังในคราวเดียว และขอให้พวกเขาสร้างกำแพงล้อมรอบพื้นที่นั้น!”“วิลล่า 20 หลัง?!” ดาราสาวอีกคนสูดหายใจเข้าลึก ๆ “คนคนนั้นต้องร่ำรวยและมีอำนาจมากถึงสามารถซื้อวิลล่าจำนวนมากขนาดนั้นได้ ในเมืองนางแอ่นมีเศรษฐีมากมายนั่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ!”ดาราสาวอีกคนเม้มริมฝีปากและเริ่มบ่นว่า “มันค่อนข้างปกติก็จริง แต่เธอไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วเห็นกับตาตัวเอง หลังจากที่สร้างกำแพงแล้ว พื้นที่ปลูกต้นไม้ที่เราสามารถทำกิจกรรมได้ก็จะลดลง ฉันซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่นี่เพราะฉันชอบพื้นที่สีเขียวมาก ตอนนี้คนคนนั้นได้สร้างกำแพงล้อมรอบวิลล่าทั้ง 20 หลังแล้ว บ้านของเราก็จะตั้งอยู่ติดกับกำแพง”เบลค ไนท์ทำได้เพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา “แล้วเราจะทำยังไงกันดี? ค
นอกจากธิอันน่าแล้ว เบลคก็พยายามดิ้นรนเพื่อหนีจากคนพวกนี้ทั้งคู่แค่จะออกไปช้อปปิ้ง พวกเธอสวมแว่นกันแดดและไม่มีบอดี้การ์ดอยู่กับตัว ใครจะไปรู้ว่าพวกเธอจะเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้ทันทีที่พวกเธอก้าวออกจากบ้าน“คนพวกนี้กล้าดียังไงถึงมาลักพาตัวประชาชนตอนกลางวันแสก ๆ ?” ลาน่าอดที่จะไม่ช่วยไม่ได้พร้อมกับด่าออกมา เธอก้าวออกไปข้างหน้าและเตะก้อนหินเล็ก ๆ ที่เธอเห็นอยู่ข้างถนน ก้อนหินลอยไปข้างหน้าและกระแทกเข้าที่ต้นขาของชายคนหนึ่ง“อ๊ากก!” ชายคนนั้นร้องออกมาอย่างเจ็บปวดมากจนเกือบจะคุกเข่าลงกับพื้น“ใครเป็นคนทำ? แกอยากตายเหรอ?” ชายคนนั้นโกรธจัด เขาหันหน้ามองไปรอบ ๆ และตาสว่างเมื่อเห็นลาน่าวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างโกรธจัด “โอ้พระเจ้า เป็นผู้หญิงที่สวยและเซ็กซี่นี่เอง!”“อยากตายเหรอ? จับตัวเธอไปด้วย บางทีผู้กำกับของเราจะชอบเธอด้วย!” ชายอีกคนพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“นั่นสิ! เธอมีรูปร่างที่สวยงามมาก ฮ่าฮ่า เธออาจจะโด่งดังก็ได้ถ้าเธอแสดงหนัง!” ชายหลายคนในกลุ่มนั้นปล่อยมือชั่วคราวในขณะที่คนอื่น ๆ ยังจับตัวเบลคและธิอันน่าไว้“ผมสงสัย ทำไมเสียงของพวกเธอถึงฟังดูคุ้น ๆ จัง นั่นพวกเธอหนิ!” เฟนด์เหล
เบลคตกใจจนใบหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเธอเห็นเฟนด์เอื้อมมือมาที่หน้าอกช่างกล้าเสียจริง เธอคือซุปเปอร์สตาร์ดังนะ!ถ้าเธอไม่รู้มาก่อนว่าเฟนด์เป็นคนสุภาพ และเซเลน่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ เธออาจจะคิดว่าเฟนด์เป็นคนบ้ากามที่พยายามเอาเปรียบเธอหัวใจของเบลคเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ถอยหนีเมื่อคิดว่าเขาไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเลยเซเลน่าขมวดคิ้ว อยากรู้ว่าเฟนด์จะทำอะไรเฟนด์ยิ้มขณะถอดกระดุมเบลค“อ๊ะ!” เบลคตะโกน หน้าแดงขึ้นมาขณะที่เอาแขนบังหน้าอก คอเสื้อเธอเปิดออกหลังจากเฟนด์ปลดไปหนึ่งกระดุม“เครื่องติดตามตำแหน่ง” เฟนด์ยิ้มเย็นชาและกดลงไปเล็กน้อย ทำให้เห็นเศษที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางกระดุมที่แตก“เป็นไปได้ยังไง? มันเล็กมาก แล้วยัง...” เบลคสูดลมหายใจเข้าและคิดอย่างสั่น ๆเฟนด์หัวเราะคิกคัก “ผมว่าพวกเขาคงหาโอกาสทำอะไรบางอย่างเพราะรู้ว่าคุณออกจากบ้านโดยไม่มีบอดี้การ์ด ด้วยอุปกรณ์เล็ก ๆ แบบนี้” เฟนด์พูด“เธอซื้อเสื้อผ้าพวกนี้ที่ไหนเบลค? มันเป็นไปได้ยังไง...” ธิอันน่ากลัวไม่แพ้กัน ถ้าเฟนด์ไม่มาคงไม่มีใครรู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่เบลคนิ่งลง “ไอ้ผู้กำกับนั่นให้ฉันมาเมื่อวาน ช่วงนี้มันดูสวย ฉันก็เลยใ
“คุณ... คุณรวยจริง ๆ!” ธิอันน่ายิ้มและพูด“เอาล่ะ พี่เฟนด์ ไว้เราชวนมาทาอาหารค่ำกับเรา!” เบลคยิ้มและเดินกลับบ้านกับธิอันน่า “ฉันต้องกลับไปเปลี่ยน”“ได้สิ!” เฟนด์พยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เป็นดาราดังระดับเอ และมันคงไม่สุภาพถ้าหากปฏิเสธเธอไปซ้ำ ๆ ทั้งที่พวกเธออยากจะเลี้ยงขอบคุณ“ดูเหมือนว่าเมืองนางแอ่นจะไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุขนะ!” เซเลน่าอุทานขณะที่ทั้งสามเดินก็ยุติธรรมอยู่ สถานที่ที่นี่เป็นที่รู้จักกันในนามเมืองแห่งศิลปะการต่อสู้ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญและคนมีอำนาจมากรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีข่าวอยู่ตลอดว่าพรรคที่มีอำนาจหรือตระกูลถูกกำจัดไป” ลาน่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เมืองแห่งศิลปะการต่อสู้? เมืองนางแอ่นมีชื่อเสียงแบบนั้นเหรอ?” เซเลน่าขมวดคิ้ว เธอไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน“โอ้ พี่เซเลน่ายังไม่รู้เรื่องนี้ มีคนมีอำนาจมากมายในโลก มีคนทำงานเป็นบอดี้การ์ดเยอะที่เมืองศิลปะแห่งการต่อสู้นี้ หรือไม่ก็เปิดชมรมศิลปะการต่อสู้มาอย่างเก่าแก่ ที่นี่เป็นเมืองเก่า เลยมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย และเพราะศาสตร์โบราณพวกนี้ คนจึงชอบฝึกการต่อสู้กันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ” ลาน่าอธิบายอย
พ่อบ้าน ไททัส วู๊ด มองแนช วู๊ดที่นอนอยู่บนเตียง เขาพยักหน้ารับอย่างนิ่ง ๆ “เราเจอพวกเขา แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะกลับมาด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้ตอบชัดเจนว่าจะมาที่นี่หรือมาเมื่อไหร่ครับ”สายตาของแนชผิดหวังทันทีเมื่อไททัสพูดออกมา “มันเป็นความผิดของฉันเอง... ฉันทำผิดต่อพวกเขา ฉันไม่คิดว่าเฟนด์จะเกลียดฉันถึงขนาดปฏิเสธที่จะกลับมาหาครั้งสุดท้ายทั้งที่รู้ว่าฉันกำลังจะตาย เฮ้อ นี่คงเป็นเวรกรรมของฉันสินะ ว่าไหมล่ะ?”อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าไททัสจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “นายท่าน ผมเชื่อว่านายน้อยจะกลับมา เพราะว่าก่อนที่เราจะกลับมาโจแอนบอกว่าเฟนด์มีเรื่องสำคัญต้องทำและต้องใช้เวลาในการคิดเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าเฟนด์จะกลับมา แต่ต้องใช้เวลาสักพัก ไม่ช้าก็เร็ว” “จริงเหรอ?” แนชตาชื้นขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “มัน... มันดีจริง ๆ ที่ได้ยินแบบนั้น! ฉันไม่ได้เจอเฟนด์มาหลายปีแล้ว แล้วก็อยากเห็นว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว...!”“นายท่าน นายน้อยหล่อเหมือนท่านเลย!” ไททัสยิ้ม “นอกจากนั้น ยังมีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่ออีก สี่คนจากตระกูลแลมเบิร์ตไปหาพวกเทย์เลอร์ เพราะพวกเขาได้เข้าใจผิดกันมาก่อน คนพวกนั้นสร้างปัญ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ