“คุณผู้หญิง คุณไปว่านายท่านก็ไม่ได้เพราะเขาก็ตกอยู่ในสถานะลำบากเหมือนกัน ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เขาต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับครอบครัว! นอกจากนี้เขาก็ได้ให้เงินล้านกับคุณทุกปี และไม่มีใครรู้เรื่องที่ลูกชายของคุณคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน!” ชายชราพูดอย่างกังวล “ฉะนั้น ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นลิลลี่ ลาโกริโอ ที่ขอให้คนงานโกหก ทำให้พวกเราเข้าใจผิดกัน!”หญิงสาวคิดและพูดว่า “คุณป้า ถ้าไม่ยกโทษให้ก็ไม่เป็นไร แต่นายท่านกำลังจะตาย และฉันหวังว่าคุณจะกลับไปเยี่ยมนายท่านพร้อมกับนายน้อย คิดเสียว่านี่เป็นการเคารพกันครั้งสุดท้าย นายท่านละเมอชื่อคุณทุกวัน ฉันเชื่อว่าเขาจะมาพบนายน้อยเฟนด์ด้วยตัวเองถ้าลุกขึ้นได้!”“ตอนนี้แย่หมดแล้วเหรอ?” โจแอนกังวลเล็กน้อยหลังจากได้ยินเช่นนั้น เธอเคยรักแนช และเขาก็เป็นพ่อเฟนด์ นั่นปฏิเสธไม่ได้เธอไม่ได้กังวลเมื่อได้ยินชายชราพูดว่าแนชป่วยหนัก เธอรู้ว่าตระกูลเป็นตระกูลชนชั้นสูง หมายความว่าเขามีลูกน้องและผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมมากมายอยู่รอบตัว แนชจะได้รับการรักษาอย่างง่ายดายแม้ว่าจะป่วยก็ตาม ฟังดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง“อาการนายท่านหนักมาก ก่อนหน้านี้เราจ้างทีมแ
ชายชร่าครุ่นคิด ก่อนจะพูดกับโจแอนอีกครั้ง “หนึ่งในหมอของพวกเราบอกว่า นายท่านจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินสามเดือนเท่าด้วยอาการล่าสุดของเขา ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราหวังอย่างยิ่งว่าคุณจะอยู่กับเราจนถึงสามเดือนครับ” ชายชรายื่นนามบัตรให้กับโจแอน หลังจากที่เขาพูดจบ “ก็ได้!” โจแอนรับนามบัตรจากเขา เธอมองที่อยู่ที่อยู่บนนามบัตร และออกไปในที่สุด หลักจากที่โจแอนจากไป หญิงสาวก็ถามพ่อบ้าน “พ่อบ้าน คุณคิดว่าเฟนด์จะไปรึเปล่า?” ชายชรายิ้มอย่างขมขื่น “ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ในเมื่อโจแอนรับนามบัตรไปแล้ว ผมเชื่อว่าเธอต้องเกลี้ยกล่อมเฟนด์แน่ เฮ้อ ทำยังไงดีล่ะ… ตระกูลวู๊ดติดค้างพวกเขามากเกินไป และผมเข้าใจ ไม่ว่าพวกเขาจะตัดสินใจยังไงก็ตาม!” หญิงสาวขมวดคิ้วหลังจากครุ่นคิด “อย่างไรก็ตาม มาดามลิลลี่คงไม่พอใจแน่ ถ้ารู้ว่าเราใช้วิธีนี้เพื่อให้เฟนด์กลับมา ผู้หญิงคนนั้นดูมีความสุขตลอดเวลา ฉันล่ะกังวลจริง ๆ ว่าเฟนด์จะได้รับอันตราย ถ้าเขากลับไปหาตระกูลวู๊ด!” ชายชราก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นกัน “นั่นเป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่ อย่างไรก็ตาม เหล่าบุคคลสำคัญ และผู้อาวุโส ต้องอยู่ฝั่งเฟนด์แน่ ในเมื่อพวกเ
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะพูดว่า “อย่างไรก็ตาม นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่า นายน้อยเฟนด์ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ แต่เป็นคนที่รักษาคำพูด ท่านผู้เฒ่าและคนอื่น ๆ ต้องอยู่ข้างเฟนด์แน่ ๆ นั่นจะทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะช่วยเฟนด์แน่ ในทางตรงกันข้าม มันอาจจะทำให้ผู้หญิงฉลาด ๆ คนนั้น ลิลลี่ ตั้งเป้าไปที่เฟนด์ก็ได้!”“ก็ได้ ฉันหวังว่าโจแอนจะหว่านล้อมเฟนด์ได้ เพราะมีความเป็นไปได้ว่าเราจะทำแบบนั้นเช่นกัน โจแอนเป็นแม่ของเขา และเธออาจจะมีหวังก็ได้!” ชายชราพูดขึ้นมาในที่สุดในช่วงตอนบ่าย อีวานได้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ซีน่าก็มาเพื่อรับเขาอีวานอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา หลังจากที่ทั้งคู่ก้าวออกมาจากออฟฟิศ “แปลกจริง นี่ก็หกโมงเย็นแล้ว ทำไมเคนกับคนอื่น ๆ ถึงยังไม่โทรมาหาผมอีกล่ะ? นอกจากนั้นแล้ว ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่รึไง ว่าฆ่าเฟนด์เสร็จแล้ว ให้ถ่ายรูปมาด้วยน่ะ?”“พวกเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุรึเปล่า?” ซีน่าหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะเดา“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? เฟนด์โดนวางยาไปแล้ว และถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงยังมีชีวิตอยู่ ร่างกายของมันก็คงไม่ดีเท่าตอนแรกหรอก!” อีวานพูดอย่างตรงไปตรงมา “นอกจากนั้นแล้ว นักฆ่าพวกนั้
“หมอนั่นเป็นแค่หมอจริง ๆ รึเปล่า?” อีวานเดินออกมาจากเกาะพร้อมกับซีน่า เธอคิด ก่อนจะจุดไฟเผาเกาะทั้งเกาะ“เราจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้ไม่ได้ ไม่งั้น นายท่านตระกูลคลาร์ก กับนายท่านตระกูลฮิวโก้จะต้องตามผมมาแน่ ๆ หลังจากที่อ่านข้อความบนมือถือของพวกเขา!” อีวานคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าพวกเขารู้ว่า ลูกชายของพวกเขาถูกฆ่าหลังจากจ้างนักฆ่าไปฆ่าเฟนด์แล้วล่ะก็ นายท่านทั้งสองต้องโทษว่าเป็นความผิดของผมแน่ ๆ !”“ใช่ โดยเฉพาะนายท่านตระกูลฮิวโก้ไม่อยากให้นีลยุ่งกับคุณแล้วด้วยนะ เขาต้องสงสัยคุณแน่ ถ้าเขารู้ว่าลูกชายของเขาตาย!” ซีน่าก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพูดออกมา“โอ้ ใช่ อย่าบอกใครเรื่องวันนี้ล่ะ เข้าใจไหม?” อีวานครุ่นคิด ก่อนจะเตือนซีน่าหลังจากที่พวกเขามาถึงรถ“อย่าห่วงไปเลย ฉันไม่ได้โง่นะ ฉันจะไม่บอกอะไรกับใครทั้งนั้น!” ซีน่ายิ้ม ก่อนที่ทั้งคู่จะจะขับรถออกไป“เราเสียเงินไปกว่าสองล้านเหรียญ และเฟนด์ก็ยังอยู่ เรามีปัญหาแล้วล่ะ หมอนั่นมันเก่งจริง ๆ !” หลังจากที่พวกเขามาถึงโรงแรม อีวานและซีน่าก็สั่งอาหารกลับไปที่ห้อง พวกเขาเปิดขวดไวน์ขึ้นมาหนึ่งขวด ก่อนจะกระดกไวน์เต็มปากไปหลายครั้
“เฮ้อ ปัญหาเยอะจริง นายใหญ่พูดว่าเขาเองก็รู้สึกแย่ เพราะเราทำให้ตระกูลของเคลลี่ต้องอับอาย เพราะงั้น พวกเราต้องไปที่นั่นแต่เช้า เพื่อทานอาหารเที่ยงกับพวกเขา มันหมายความว่า เราต้องเจอเฟนด์กับเซเลน่าอีกครั้ง!” ตอนนี้ยังเช้าอยู่ และอีวานก็พูดออกมาอย่างหมดความอดทน ขณะที่เขาก้าวออกมาจากโรงแรมซีน่า ที่อยู่ข้าง ๆ เขา เอ่ยความเห็นออกมา “โดยเฉพาะฟีโอน่า เธออวดรวยจริง ๆ เพราะตอนนี้ครอบครัวของเธอร่ำรวยแล้ว ราวกับว่าเธอกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าเธอรวยอย่างไงอย่างงั้น เธอซื้อกระเป๋าแบรนด์วันละหลายใบ เสื้อผ้าอีกเป็นโหล เธอคิดว่าเธอคงจะใส่มันหมดล่ะมั้ง?”อีวานถึงกับพูดไม่ออก เมื่อได้ยินถ้อยคำขี้อิจฉาที่ออกมาจากปากของซีน่า ถ้าซีน่ารวย เธอก็คงทำเหมือนฟีโอน่าแน่นอนในตอนนี้ เฟนด์และคนอื่น ๆ ต่างก็พากันออกมาเดินทอดน่องที่คฤหาสน์ของตระกูลเทย์เลอร์ถึงแม้ว่านายท่านตระกูลโกลด์ เคลลี่ และสมาชิกตระกูลโกลด์จะไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่พวกเขาก็ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้เจอเฟนด์ พวกเขาไม่แสดงท่าทีโมโหเลยสักนิด ในทางกลับกัน มันเป็นความรู้สึกของการประจบสอพลอ พวกเขารู้แน่นอนว่าเฟนด์น่ากลัวขนาดไหน เขาจะก
“นั่นใครน่ะ? กล้าดียังไงมาสร้างปัญหาที่คฤหาสน์ของตระกูลเทย์เลอร์ของพวกเราน่ะ!” เฟนด์ ธีโอดอร์ และคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวน เดินออกไปดูทันทีธีโอดอร์ก็เป็นนายท่านของตระกูลเทย์เลอร์ เป็นธรรมชาติที่เขาต้องเดินนำหน้า โดยมีนายใหญ่เทย์เลอร์ เฟนด์ และคนอื่น ๆ เดินตามหลัง“ฮ่าฮ่า คนเยอะเหมือนกันนะ!” ชายคนนั้นหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “หลายปีที่แล้ว เขาขอให้นายน้อยจากตระกูลเทย์เลอร์ ให้เข้าร่วมสงครามเมื่อเขาอายุครบ 18 ปีไม่ใช่รึไง? ทำไมฉันถึงได้ข่าวมาว่า ไอ้บ้าอีวานยังมีชีวิตอยู่อีกล่ะ?”“คนพวกนี้เป็นใครกัน? แล้วเรื่องในครอบครัวของเราเกี่ยวอะไรกับพวกแก?” ธีโอดอร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยหลังจากที่ได้ยิน ทั้งสี่คนที่อยู่ตรงทางเข้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาเริ่มกังวล โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นว่าบอดี้การ์ดของพวกเขาโดยชายคนนั้นจัดการได้เร็วขนาดไหน“ฮ่าฮ่า นายล่ะ? นายเป็นใคร?” ชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ตอบคำถามของธีโอดอร์ ในทางกลับกัน เขายิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนจะพูดว่า “ถ้าดูไม่ผิด นายคงจะเป็นนายท่านของตระกูลเทย์เลอร์สินะ ใช่ไหม? ฉันไม่คิดเลยว่านายจะลืมเรื่องระหว่างเราเมื่อห้าปีที่แล้วไปแล้ว นี่น
“ฮ่าฮ่า..พ่อหนุ่ม พูดแบบนั้นไม่ถูกนะ สำหรับเราแล้ว เฟนด์ไม่ใช่คนนอก แต่เป็นหนึ่งในสมาชิกของเรา เพราะเขาเข้ากับเราได้ดียังไงล่ะ!” ธีโอดอร์หัวเราะ เขาดูค่อนข้างมั่นใจเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าทักษะการต่อสู้ของเฟนด์นั้นดีขนาดไหน และแม้แต่จอมพลก็สู้เขาไม่ได้ ถึงเขาจะไม่รู้เลยว่า คนพวกนี้มาจากตระกูลที่แสนมีอิทธิพลตระกูลไหน แต่เขาก็ยังคงพูดอย่างตรงไปตรงมา “พ่อหนุ่ม เราจะไม่เอาเรื่องที่นายฆ่าบอดี้การ์ดของเรา กลับไปเถอะ ขอร้องล่ะ!”“ฮ่าฮ่า มุกตลกจริง! เรามาตั้งไกล แต่คุณหวังว่าเราจะกลับไป เพราะคุณขอเนี่ยนะ?” ชายอีกคนก็หัวเราะเช่นกัน เขาก้าวออกมาสองก้าว “วันนี้ คุณต้องส่งตัวอีวาน เทย์เลอร์มาให้เรา และให้คนที่ไปรบแทนอีวาน คุกเข่าต่อหน้าพวกเราแล้วขอโทษซะ ไม่งั้นเราไม่ยอม!”“นาย...นายจะบอกว่า ให้ทั้งคู่คุกเข่าขอโทษ ก็พอแล้วใช่ไหม?” นายใหญ่เทย์เลอร์พิจารณาสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ คนพวกนี้มาจากเมืองจิน และมียอดฝีมือมากมายอยู่ที่นั่น ยอดฝีมือบางคนก็ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ เหมือนกบจำศีล ทักษะการต่อสู้ของพวกเขา เทียบเท่ากับเทพสงครามได้เลยนั่นจึงเป็นสาเหตุที่คนที่แสนทรงพลังจากเมืองจินพวกนี้ ดูถูกเทพสงคราม และราช
“ฮ่าฮ่า ถึงผมจะอยากส่งเขาให้กับคุณ แต่ผมว่าผมไม่ทำดีกว่า ต้องมีคนไม่มีความสุขแน่ ๆ ถ้าผมทำแบบนั้น!” เฟนด์ยักไหล่ แล้วผายมือออกอย่างไม่แยแส ขณะที่เขาพูด “ผมเกรงว่าคุณจะฆ่าใครไม่ได้เลยน่ะสิ อย่างไรก็ตาม ภรรยาและครอบครัวของผมก็อยู่ตรงนี้ เป็นไปไม่ได้หรอกนะ ที่ผมจะนั่งดูเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยน่ะ!”“เฟนด์ นายพูดเรื่องอะไร? หมายความว่าอะไร ที่นายบอกว่านายอยากส่งอีวานไปน่ะ? นายคิดแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อนายเป็นลูกเขยที่แต่งกับตระกูลของเรา แถมนายยังเป็นสมาชิกของตระกูลเทย์เลอร์อีกด้วย?” ธีโอดอร์ประหลาดใจมากดมื่อเขาได้ยินว่าเฟนด์อยากส่งอีวานไปให้อีกฝ่าย ถ้าเป็นอย่างงั้น ลูกชายของเขาต้องตายอย่างแน่นอนธีโอดอร์ยังคงกังวลอยู่ ถึงเขาจะคุยกับเฟนด์แล้วก็ตาม สุดท้ายแล้ว ทั้งสี่คนที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีความสามารถแค่ไหนตอนที่พวกเขาโจมตีตระกูลเทย์เลอร์ และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด“ทุกคน พวก...พวกเราส่วนใหญ่มากจากตระกูลโกลด์ เราไม่ใช่สมาชิกของตระกูลเทย์เลอร์นะ เรามาทานอาหารกลางวันเฉย ๆ เรากลับเลยได้ไหม ปัญหาของตระกูลเทย์เลอร์ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลยนี่?” นายท่านตระกูลโกลด์ยืนหยัดข้า
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ