“เราควรไปกำจัดคนที่กรีนสกายฮอลล์ด้วยไหม?” ลาน่าถามเฟนด์ ขณะที่เปลวไฟกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรงต่อหน้าพวกเขา หลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่สักพัก เฟนด์ก็ส่ายหัว “พวกเขาสูญเสียไปมากแล้วในครั้งนี้ คนของพวกเขาตายไปหลายคน รวมทั้งนักสู้ชั้นยอดพวกนั้นด้วย สิ่งที่เหลืออยู่ของพวกกรีนสกายฮอลล์ก็เหลือแต่พวกกุ้งแห้งไร้ประโยชน์และพวกหัวหน้าเท่านั้น มันแน่นอนแล้วว่า กรีนสกายฮอลล์ถูกทำลาย พวกเขาก็เหลือแค่เปลือกแต่วิญญาณของพวกเขาหายไปแล้ว! เหตุการณ์ในวันนี้จะสอนบทเรียนให้พวกเขา จับตาดูพวกเขาไว้และค่อยมาดูกันว่าปฏิกิริยาของพวกเขาจะเป็นยังไงหลังจากนั้น!” เฟนด์หยุดไปพักหนึ่งและพูดต่อว่า “เพราะยังไงซะ ก็ยังมีพวกคิงส์ตันฮอลล์หนุนหลังกรีนสกายฮอลล์อยู่ ถ้าเราฆ่าหัวหน้าของกรีนสกายฮอลล์และคนที่เหลือ ฉันเกรงว่าคิงส์ตันฮอลล์จะไม่ยอมง่าย ๆ พวกเขาคงเข้ามาแทรกแซงอย่างแน่นอน!” ลาน่าโบกมือเพื่อที่จะแสดงความเห็น “จริง ๆ แล้ว วันนี้ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเหลือแล้ว ดังนั้นอย่างมากพวกเขาก็จะแค่สงสัยคุณ มาดูกันว่าพวกเขาจะหยุดแค่นี้หรือเปล่า แต่ถ้าพวกเขาอยากหาเรื่องมาตายเองก็ไม่ใช่ความผิดของเรา!” “ทำได้ดีมาก! พวกเธอสองคนทำได
อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นที่เธอเจอเมื่อวานนี้เป็นใคร ลอว์เรนซ์ออกไปพร้อมนักสู้ฝีมือดีที่มีพลังหลายคน แต่ยังไม่มีใครกลับมาเลย นี่แสดงให้เห็นว่าคนคนนั้นน่ากลัวเพียงใด“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขายังไม่กลับมาอีก?” ตอนนี้เฮคเตอร์มีสีหน้ามืดมน เขารู้สึกไม่ดีขณะที่อยู่บ้านและรอพวกเขากลับมาครั้งนี้เขาส่งคนไป 400 คนและทุกคนล้วนเป็นนักสู้ชั้นยอด มีระดับปรมาจารย์ประมาณสี่ถึงห้าคนไปกับพวกเขาด้วย และยังมีปรมาจารย์อีกสองถึงสามคนจากคิงส์ตันฮอลล์ด้วย เขาไม่เคยจัดกลุ่มนักสู้ชันยอดจำนวนมากมาทำงานร่วมกันแบบนี้เลยแต่ยายเฒ่าคาสเตลลาโนและคนอื่น ๆ ควรจะกลับมาอย่างช้าก็ก่อนรุ่งสาง แต่นี่ยังไม่เห็นพวกเขากลับมาเลยเขารีบส่งลูกน้องไปที่สถานที่ซื้อขายเพื่อหาคำตอบ สีหน้าของเขาซีดเมื่อได้ยินข่าวที่ลูกน้องบอกเขาโรงงานร้างกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วและคนของเขาไม่มีใครกลับมาเลย แสดงให้เห็นว่าพวกเขาถูกฆ่าตายและศพของพวกเขาก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน!“นายท่าน เรา...เราควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ เฮคเตอร์มองเขาอย่างกังวล “หมอนั่นเป็นใคร? ทำไมเขาถึงได้ทรงพลังมากนัก? เขาเป็นผู้มีอิทธิพลมหาศาลงั้นเหรอ?
“ฮ่าฮ่า แน่นอน! นี่เป็นโรงแรมที่ดีที่สุด! ผมอยากจองชั้นบนสุดทั้งหมด มันเป็นบริเวณขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับจัดงานแต่งงานแน่นอน!” เคลลี่หัวเราะแล้วพูดต่อว่า “แต่สถานที่ชั้นบนอาจจะราคาแพงนิดหน่อย ผมได้ยินมาว่าค่าจองเพียงแค่สถานที่ชั้นบนนั่นก็ราคารสองร้อยล้านเหรียญแล้ว!”“จริงเหรอ? มัน…มันไม่แพงไปเหรอ? เราเปลี่ยนสถานที่เป็นชั้นอื่นไม่ดีกว่าเหรอ?” เซซิเลียพูดขณะที่รู้สึกซาบซึ้งมาก เพราะยังไงเสีย ความตั้งใจของเคลลี่ก็มีความสำคัญกว่า"ไม่มีทาง!" เคลลี่ปฏิเสธออกมาตรงๆ “เราแต่งงานกันเพียงแค่ครั้งเดียว อีกอย่างเฟนด์ก็โฆษณาว่าเขาจะจัดงานวันเกิดที่ดังไปทั่วทั้งเมืองให้ภรรยาของเขาไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็ต้องจัดงานแต่งงานของเราให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ฮ่าฮ่า งานแต่งงานของเราจะกลายเป็นงานที่ดังไปทั่วทั้งเมืองแทน และงานที่เขาจัดจะกลายเป็นงานที่น่าขายหน้าแทน!”เห็นได้ชัดว่าเคลลี่ไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน เฟนด์ไม่เพียงแต่ชนะแล้วได้เงินเก้าสิบล้านเหรียญจากเขาเท่านั้น แต่ที่สำคัญเขายังสูญเสียบอดี้การ์ดไปแปดคนในวันนั้นด้วย มันทำให้เขาสูญเสียความภาคภูมิใจเขาอยากจะแสดงความภูมิใจต่อหน้าต
“จะเป็นเฟนด์หรือเปล่าที่จองสถานที่นี้ไว้? งานเลี้ยงของพวกเขาตรงกับวันแต่งงานของเรา!” เคลลี่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่เขานึกขึ้นได้“ไม่มีทาง! เป็นไปได้ยังไง?” เซซิเลียพูดขึ้นมาทันที “ถ้ามันถูกจองไว้หลายวันก่อนหน้านี้ ก็แสดงว่าเขามีเงินหนึ่งหมื่นล้านเหรียญ แต่ตระกูลครัวเทย์เลอร์เพิ่งเจอกับความสูญเสียเพราะเฟนด์ไปทำร้ายนายน้อยทิโทธี จึงเสียโครงการเซ้าท์ ซิตี์ไป เพื่อที่จะรักษาหน้าและรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลเทย์เลอร์เอาไว้ เฟนด์จึงโอนหนึ่งหมื่นล้านเหรียญนั้นให้กับตระกูลเทย์เลอร์!”เซซิเลียหยุดไปสักพักก่อนจะพูดต่อว่า “ดังนั้นฉันคิดว่าเขาคงมีเงินเพียงแค่หนึ่งร้อยล้านเหรียญถ้ารวมกับเก้าสิบล้านเหรียญที่เขาได้จากคุณไปก่อนหน้านี้!”“ผมก็คิดแบบนั้น...เขาไม่ได้โอนเก้าสิบล้านเหรียญนั่นให้แม่ยายเหรอ? ผมอยากรู้ว่าฟีโอน่าจะคืนเงินให้เขางั้นเหรอ?!” เคลลี่คิดเกี่ยวกับมันและพูดออกมา“โอ้ จริงด้วย!” เซซิเลียนึกขึ้นได้ทันที “ฉันลืมไปเลยว่าเฟนด์ให้เงินนั่นกับฟีโอน่าไปแล้ว แล้วฉันก็รู้จักคนอย่างฟีโอน่าดี เธอไม่มีวันคืนเงินที่ให้เธอแล้วอย่างแน่นอน เธอคงยอมให้เฟนด์ขายหน้าและไม่จัดงานวันเกิดที่ยิ่งใหญ่มากกว
เห็นได้ชัดเลยว่าเคลลี่และเซซิเลียได้เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาต้องทำโดยไม่รู้ตัว พวกเขาจะต้องทำให้ดีกว่างานเลี้ยงเฟนด์และเซเลน่าหลังจากคิดอะไรออก เคลลี่ก็แสดงความเห็นออกมาว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นเราไปจองชั้นอื่นกันเถอะ! ได้ยินมาว่าชั้นก่อนชั้นบนค่อนข้างดีอยู่นะ มีหน้าต่างแบบฝรั่งเศสบานใหญ่ ๆ ที่สวยมากด้วย!”แต่ผู้จัดการไวท์มีสีหน้าแปลก ๆ เธอยิ้มอย่างขมขื่น “ต้องขออภัยคุณทั้งสองคนด้วยจริง ๆ แต่ชั้นนั้นมีคนจองไปแล้ว อันที่จริง จองทั้งโรงแรมไปเลยด้วยซ้ำ”เคลลี่และเซซิเลียอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “เป็นไปได้ยังไง? ทั้งโรงแรมเนี่ยนะ?!” ทั้งสองคนอุทานเสียงดัง “นั่นมันเท่าไหร่กัน? เจ้านายคุณคงไม่ตกลงใช่ไหมถ้ามันไม่ใช่อย่างน้อยสองพันล้าน? นี่โรงแรมเจ็ดดาว!”“ใช่แล้ว เขาเป็นใครกันแน่? รวยมากเลย!” เซซิเลียค่อนข้างอิจฉาเพราะชั้นบนสุดคือชั้นที่แพงที่สุด ในขณะที่ชั้นล่างถูกกว่า ความจริงที่ว่ามันมากไปที่จองทั้งโรงแรมเลย“ฮ่า ๆ! มันไม่ได้แพงขนาดนั้น จริง ๆ แล้ว เจ้านายฉันขอแค่หนึ่งพันล้าน! ถือว่าลดไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์!” ผู้จัดการสาวสวยหัวเราะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นส่วนลดมากขนาดนี้ในขณะที่ทำงานที่นี่
เคลลี่กอดเอวเซซิเลียทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ที่รัก คุณพูดอะไรน่ะ?” เคลลี่พูด “ถ้าผมไม่อยากจัดชั้นบนสุดผมคงไม่พูดตั้งแต่ทีแรกหรอกใช่ไหม? ทำไมผมต้องเข้าไปในโรงแรมแล้วพยายามจองมันด้วย? ผมคิดด้วยว่าในเมื่อมีคนจัดงานใหญ่ที่นี่ นักธุรกิจรวย ๆ แล้วก็พวกคนมีอำนาจจะมางานที่นี่กัน ใช่ไหม?” เคลลี่ยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า “ถึงตอนนั้น คนมากมายก็จะมางานแต่งของเรา คุณไม่คิดเหรอว่าเฟนด์จะขายหน้าที่รู้ว่ามีคนจองทั้งโรงแรมไปแล้ว? ผมแน่ใจว่ามีคนไม่มากนักที่จะไปงานเลี้ยงของเขา!”ในที่สุดเซซิเลียก็เข้าใจได้ว่าเธอเข้าใจเคลลี่ผิด ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้น “นั่นสิ! ทำไมฉันคิดแบบนั้นไม่ได้? ในเมื่อมีคนจองโรงแรมเจ็ดดาวทั้งโรงแรม เฟนด์กับเซเลน่าจะทำให้คนทั้งเมืองตกตะลึงกันได้ยังไง? ที่นี่เป็นที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุดในเมืองนี่!”“ใช่แล้ว! เฟนด์จะต้องรู้สึกขายขี้หน้ามากเพราะเสียเงินไปเยอะกับการโฆษณา!” เคลลี่พอใจอย่างมากกับเรื่องที่ได้รู้ เพราะมีใครบางคนมามีส่วนร่วมทำให้เฟนด์ลำบากและขายขี้หน้า นั่นหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องจัดงานแต่งแบบชนชั้นสูงไม่ใช่เหรอ? เขาแค่ทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะต้องดีกว่าสิ่งท
“ถูกต้อง! ทำไมผมคิดแบบนั้นไม่ได้นะ? ‘ปลุกเร้าคนทั้งเมือง’ นี่คือที่เฟนด์หมายถึงใช่ไหมเนี่ย? ผมคิดว่าเขาจะหมายถึงงานสวย ๆ มีเสน่ห์ซะอีก! นี่ล้อกันเล่นมาตลอดเลยเหรอ?” เคลลี่ฝอยขณะกอดอกฟีโอน่ารู้สึกขายหน้ามาก ถ้ารู้ว่าพวกนี้จะเยาะเย้ยเธอคงไม่เดินเข้าไปทักฟีโอน่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนเรื่อง “นี่คือสิ่งที่ฉันปล่อยให้พวกเขาจัดการ ฉันเชื่อว่าเฟนด์จะมีแผน ยังไงก็ตาม แล้วพวกเธอล่ะจองสถานที่แล้วหรือยัง?”“ยังหรอกครับ แต่เรามาที่นี่เพื่อจองโรงแรม” เคลลี่ตอบพร้อมยิ้ม “เราดูโรงแรมหกดาวนี้ไว้ แล้วก็วางแผนไว้ว่าจะจองชั้นบนด้วย!”“ชั้นบนสุด!” ฟีโอน่าสูดหายเข้าเมื่อได้ยิน “ฉันได้ยินมาว่าค่าจองบนนั้นมีราคาถึง หนึ่งร้อยแปดสิบแปดล้านแปดแสนแปดหมื่นเหรียญ ไม่ใช่แค่ใหญ่เท่านั้นนะ แต่ยังมีที่ให้ชมวิวอย่างหรูหราอีกด้วย นอกจากนั้น หลังคาของชั้นนั้นก็ทำจากกระจกทำให้มองเห็นท้องฟ้าได้ ที่นี่มีโรงแรมหรู ๆ แค่สามที่ในเมืองเท่านั้น!”“จะให้ว่ายังไงดีล่ะ? นี่มันก็คืองานแต่งของผมกับเซซิเลีย เราต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่สิ นอกจากนั้น ตระกูลโกลด์ก็ไม่ได้ยากจนนี่ ใช่ไหม?” เคลลี่ถอนหายใจยิ้ม ๆ “เฟนด์บอกว่าจะทำให้เป
“ฉันสงสัยว่าใครกันที่เป็นคนรวยที่ฟุ่มเฟือยคนนั้น!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดโพล่งขึ้นมา“คน ๆ นั้นรวยจริง ๆ” ฟีโอน่าโพล่ง “มันน่าเจ็บใจตอนที่เปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ๆ พวกนั้นรวยขนาดนั้นได้ยังไง?! ทำไมลูกสาวฉันไม่ยอมแต่งงานกับคนรวย ๆ แบบนี้? ไปแต่งกับเฟนด์ตัวปัญหาแล้วเงินที่ทำงานมาก็เพื่อใช้แก้ปัญหาพวกนั้น”ฟีโอน่าเดินออกไปอย่างขมขื่น...เธอเห็นเฟนด์กับเซเลน่าดื่มกาแฟกันอย่างสบาย ๆ ตอนที่กลับมาถึงบ้าน และทำให้สีหน้าเธอบูดกว่าเดิม“เฟนด์ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดลูกสาวฉันแล้วนี่ ใช่ไหม? จองโรงแรมแล้วหรือยัง?” ฟีโอน่าวางถุงช้อปปิ้งลงด้วยสีหน้าเย็นชา เธอเดินเข้าไปหาเฟนด์และพูดอย่างโกรธ ๆ “ฉันเตือนแล้วไง ถ้าไม่มีเงิน ก็อย่าทำตัวเหมือนมีเงิน แกเป็นลูกเขยเรานะ ลูกเขยของตระกูลเทย์เลอร์ ถ้าแกเสียหน้าคนอื่น ๆ ก็จะเสียหน้าตามไปด้วย เข้าใจไหม?!”เซเลน่าขมวดคิ้ว “แม่ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมยังอารมณ์ไม่ดีอีกในเมื่อซื้อของกลับมาเยอะแยะแล้ว? มีใครมาทำให้อารมณ์เสียเหรอ?” เซเลน่าถามอย่างใจเย็นฟีโอน่าแสดงท่าทีเยือกเย็น พร้อมไอเย็นประกายออกมา เธอยังคงจ้องไปที่เฟนด์ “แกจองโรงแรมแล้วหรือยัง?” เธอถามซ้ำ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ