เมื่อลีเห็นว่าเดวิดพูดประเด็นนี้ขึ้นมาตรง ๆ เขาจึงตอบกลับไปว่า “พูดตามตรงเลยนะ คุณก็รู้เหมือนฉันว่าพรรคอินทรีต้องสูญเสียไปอย่างมากก่อนหน้านี้ เราสูญเสียคนไป 300 คน และเราได้สืบหาคนที่เป็นฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังการตายของพวกเขาแล้ว เราต้องล้างแค้นการตายของพวกเขาด้วยการฆ่าเขา!” “โอ้? งั้นคุณหาเขาเจอหรือยัง?” หัวใจของเดวิดเกือบจะเต้นผิดจังหวะ เขาถามต่อว่า “นายท่านนิวแมน แล้วทำไมคุณถึงมาที่นี่? เฮ้ อย่าบอกนะว่าคุณสงสัยคนของพวกเราคนใดคนหนึ่ง? คนของคุณ 300 คนล้วนเป็นชนชั้นสูงที่มาจากสำนักงานใหญ่ หนึ่งในนั้นยังเป็นหนึ่งในสี่นักสู้ระดับสูงของพรรคอินทรีอีก เราไม่มีทางที่จะฆ่าคนจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างแน่นอน!” “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด! คุณเข้าใจฉันผิด นายท่านวิลสัน” ลีตอบอย่างรีบร้อย “ที่ฉันมาฉันไม่ได้มาสร้างปัญให้กับคุณ แต่ฉันมาที่นี่เพราะอยากจะร่วมมือกับคุณต่างหาก!” ลีหยุดครู่หนึ่งและเหลือบมองไปทางไมเคิลซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “จากการตรวจสอบของเรา เฟนด์เป็นคนฆ่าคน 300 คนของเรา” เขาพูดต่อ “ลูกเขยของตระกูลเทย์เลอร์ เฟนด์ หมอนั่นแหละ!” “ว่าไงนะ!” ไมเคิลอุทานออกมาทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น สีห
ในตอนนั้นเอง เฟนด์และคนอื่น ๆ เพิ่งทานอาหารกลางวันที่โรงแรมเสร็จ พวกเขากำลังจะกลับหลังจากอิ่มจากอาหารอร่อย ๆ“มันก็ไม่ได้แพงขนาดนั้น? เราใช้เงินไปแค่เจ็ดแสนกว่าเหรียญเอง ฉันคิดว่าบิลจะมากว่าหนึ่งล้านซะอีก!” ตอนนี้ฟีโอน่ารวยแล้ว เธอพูดออกมาอย่างภูมิใจไม่รู้สึกย้อนแย้งในคำพูดของเธอเลย “แม่ แม่...ลืมช่วงเวลาที่เราต้องดิ้นรนเพราะความความยากจนไปแล้วจริง ๆ เหรอ?” เซเลน่ายิ้มอย่างขมขื่น เธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อ่า ทำไมแม่จะต้องเปรียบเทียบกับตัวเองในสมัยก่อนด้วยล่ะ? ตอนนี้แม่มีลูกเขยที่หาเงินมาให้ได้ และลูกสาวของฉันก็หาเงินได้เยอะเหมือนกัน แน่นอนว่าฉันควรจะตามใจตัวเองบ้างสิ เงินมีไว้เพื่อให้ใช้!” ฟีโอน่ายิ้มและมองไปที่โจแอนที่อยู่ข้าง ๆ “ไปกันเถอะโจแอนที่รัก เมื่อวานฉันเห็นเสื้อผ้าสวย ๆ อยู่ร้านหนึ่ง ฉันคิดว่ามันเหมาะกับคุณมาก ทำไมเราไม่ไปช้อปปิ้งกันล่ะ?” “มันแพงไหม?” โจแอนขมวดคิ้ว เธอจำได้ว่าครั้งที่แล้วเฟนด์พาเธอมาซื้อเสื้อผ้ามากมายและของที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ นานา จนถึงถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ชินกับมัน อีกอย่างเฟนด์ยังให้เงินเธอใช้อีกจำนวนมาก ตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือแล้
ฟลินน์พูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง เขากัดฟันแน่นด้วยความโกรธแค้นและขมขื่น“อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยกับเรื่องนี้เลย คนที่ฉันส่งไปพร้อมที่จะจัดการกับเฟนด์โดยไม่ต้องฆ่าเขา เรายังต้องรอดูเขาทำตัวโง่ ๆ และตายอย่างทรมานในงานวันเกิดของเซเลน่าอีก” เคนพูดพร้อมยิ้มอย่างเหยียดหยาม แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรออกไม่กี่วินาทีต่อมา คนจำนวนมากกว่าสิบสองคนก็เดินออกจากตรอก ดูคลุมเครือและน่าสงสัยฟลินน์ขมวดคิ้วขณะมองกลุ่มคนที่ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากตรอก “คนพวกนี้ไว้ใจได้เหรอเคน?”“ไม่ต้องห่วง ฉันกลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดเผย ฉันจึงจ้างพวกอันธพาลมา แต่ก็มีคนที่แข็งแกร่งอยู่หลายคนและพวกเขาก็น่าเชื่อถือได้อย่างแน่นอน!” เคนพูดอย่างมั่นใจ “แน่นอนว่าพวกเขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟนด์ถ้าเฟนด์ไม่ถูกวางพิษ แต่โชคดีที่เขาอ่อนแอลงเพราะยาพิษ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้ตัวแน่นอน มั่นใจได้เลยว่าคนพวกนี้หนึ่งถึงสองคนฝีมือดีพอจัดการกับเขาได้แน่”ถึงอย่างนั้นฟลินน์ก็ยังกังวลมากและค่อนข้างแปลกใจ เมื่อเขาเห็นผู้หญิงที่สวย ๆ สี่คนอยู่กับเฟนด์ “ดูเขาสิ เขามีผู้หญิงสี่เดินตามเขาด้วย และมีเข็มกลัด 'บอดี้การ์ดขอ
“เป็นไปได้ยังไง? พวกมันมีตั้งสิบสองคน! แค่ไม่กี่วินาทีเองเหรอ? ทุกคนก็ล้มลง!” กรามของเคนแทบค้างเมื่อเห็นเหตุการณ์พลิกผันที่เกิดขึ้น วิธีการที่พวกอันธพาลพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว“นายไม่ได้บอกว่าคนที่จ้างมาไว้ใจได้เหรอ เคน? ดูสิ เราล้มเหลวในการทดสอบพลังที่แท้จริงของหมอนั่นอีกแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรเลย และคนของเราทั้งหมดก็ล้มลงไปแล้ว!” ท่าทางของฟลินน์ที่แสดงออกมาอย่างโกรธจัด หน้าอกของเขาถึงกับกระเพื่อม“ฟลินน์ มันเป็นเรื่องบังเอิญ นี่เป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน! ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงพวกนั้นจะเก่งขนาดนี้!” เคนยิ้มอย่างเขิน ๆ เขาทำได้เพียงมองดูขณะที่เฟนด์เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งพวกเขาในรถไว้“บอดี้การ์ดหญิงพวกนั้นไม่ใช่แค่สิ่งประดับ!” ฟลินน์พูดหลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ได้ “เพราะนายกลัวว่าเฟนด์จะจำบอดี้การ์ดที่ติดตามเวลาปกติได้ ฉันก็เหลือทางเลือกเดียวคือโทรหานายท่านของตระกูลไวท์”เคนพยักหน้าหลังจากคิดเรื่องนี้ “ตกลง โทรเลยและเอาให้แน่ใจว่านายได้คนที่มีฝีมือดีหลายคนมานะ ยังไงกก็ตาม มันจะดีที่สุดถ้านายไม่บอกพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับขาของนายตอนนั้น ฉันกลัวว่าพวกเขาจะโกรธมากแล้วจะตามล่าเฟนด์ทั
เฟนด์หัวเราะเสียงดังหลังจากที่พูดจบ“คุณพูดเรื่องอะไร?” เซเลน่าที่อยู่ข้าง ๆ หยิกต้นขาของเขาเบา ๆ แล้วกลอกตาใส่เขา “ฉันไม่อยากให้ลูกสาวของฉันโตไปเป็นผู้หญิงร่างถึกนะ!”“ด้วยรูปลักษณ์ของไคลี่ เธอจะต้องไม่เป็นผู้หญิงร่างหนาแบบนั้นหรอก!” เฟนด์พูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ยังไงก็ตาม เราก็คงต้องสอนทักษะให้เธอเพื่อที่เธอจะได้เรียนรู้เอาไว้ป้องกันตัวเองได้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอเดินไปเจอคนเลวและเธอไม่สามารถป้องกันตัวเองได้? ดูลูกสาวผมสิ เธอจะต้องน่าทึ่งมากแน่เมื่อเธอโตขึ้น!”เซเลน่าพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ได้ ยังไงเธอก็เป็นลูกสาวของฉัน!”...หลังจากนั้นไม่นาน เฟนด์ก็พาภรรยาและลูกสาวไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พวกเขามีความสุขในยามบ่ายด้วยกันและกลับบ้านในตอนดึกสองสามวันต่อมาทุกอย่างดูปกติดีอย่างไรก็ตาม 20 วันก่อนวันเกิดของเซเลน่า มีบางอย่างเกิดขึ้น ขณะที่เขากำลังขับรถกลับบ้าน เขาถูกขว้างไว้กลางทางคนในชุดดำหลายคนลงมาจากรถตรงหน้าเขา พวกเขาก็หักนิ้วเพื่อข่มขู่ขณะที่เดินเข้ามาใกล้เฟนด์จึงลงมาจากรถหลังจากนั้น“ฟลินน์ ครั้งนี้เราจะจัดการเขาให้ได้ คราวนี้เป็นบอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งมากกว่าจากตระกูลของนาย
“ฮ่า ๆ! แกอวดดีนักนะไอ้หนุ่ม!” บอดี้การ์ดคนหนึ่งหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขากำหมัดเหวี่ยงเข้าหาเฟนด์เมื่อเห็นเขาวิ่งเข้ามาเปรี้ยง!หมัดของทั้งคู่ปะทะกัน และพลังที่แข็งแกร่งก็ทำให้เกิดลมแรงส่งผลให้ชายคนนั้นตัวลอยออกไปอัก!ผู้ชายคนนั้นไอเป็นเลือดออกมาและไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าชายตรงหน้าเขาจะมีพลังแบบนั้น พลังของเฟนด์แข็งแกร่งเกินกว่าเขามาก มันรุนแรงราวกับภูเขาถล่มเปรี้ยง!ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นและเลือดไหลออกมาจากปาก ใบหน้าซีดเซียวเปรี้ยง!เฟนด์ยังคงไม่หยุดชกไปที่คอของชายคนนั้น มีเสียงดังขึ้นมาแล้วเขาก็ล้มลงบนพื้นสิ้นลมหายใจปัง ปัง ปังอีกสองสามหมัดตามเข้ามา ยอดฝีมือหลายคนหมดลมหายใจตรงนั้นที“ป-เป็นไปไม่ได้!” ใบหน้าของชายที่นอนอยู่บนพื้นซีดเซียวทันทีที่เห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป เพื่อนของเขาทุกคนคือนายท่าน แต่กลับถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย“อ๊าก!” ชายอีกคนที่มีทักษะถึงระดับพันตรี ถูกเฟนด์ฆ่าตายอย่างง่ายดายภายในเวลาแค่สองวินาทีเท่านั้น“แกเป็นคนสุดท้ายแล้ว ทีนี้เชื่อฉันหรือยัง?” เฟนด์ยิ้มเยาะใส่ชายที่นอนกองอยู่บนพื้นขณะเดินเข้าไปใกล้เฟนด์หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูง เขาสูบมันอ
เมื่อเฟนด์คลายมือร่างของชายคนนั้นก็ล้มลงไปกับพื้น ดวงตาเขาแข็งค้างด้วยความตกใจ“มีคนฆ่าตัวตายเยอะเลย” เฟนด์ยิ้มเยาะเย้ย เดินกลับไปที่รถของเขาและออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วคราวนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องแสดงให้คนเหล่านี้เห็นถึงผลที่ตามมา เพราะมันจะเป็นเรื่องยากที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหากมีคนพวกนี้มายุ่งด้วยตลอดเวลา…เคนขับรถออกมาไกล เขายังคงกังวลแม้ว่าสังเกตแล้วว่าเฟนด์ไม่ได้ตามหลังมา เขาจะหายใจทั่วท้องได้ก็ต่อเมื่อถึงคฤหาสน์ตระกูลคลาร์กแล้ว“นี่ฉันกำลังเพ้อเจ้ออยู่หรือเปล่า ฟลินน์? มีคนที่แข็งแกร่งอย่างมากในพวกพันตรีจากตระกูลไวท์ แต่เฟนด์... เฟนด์กลับฆ่าพวกเขาอย่างง่ายดาย?!” เคนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยความร้อนรนและประหม่าฟลินน์ขมวดคิ้วและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้โดนยาพิษเลย? อีวานกับซีน่าหลอกเราหรือเปล่า?”เคนกำหมัดแน่นหลังจากได้ยินสิ่งที่ฟลินน์พูด “เวรเอ๊ย ไหน ๆ นายก็เริ่มพูดมาแล้ว ฉันก็ชักจะสงสัยแล้วสิว่าเราโดนซีน่าปั่นหัว ถ้าเฟนด์ถูกวางยาจริง ๆ เขาคงไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น ที่สำคัญ เฟนด์ได้ฆ่านายท่านที่เทียบเท่ากับพันตรีใ
ไม่นาน เคนก็พาทุกคนไปที่โรงแรมในห้องอาหารส่วนตัวและเริ่มสั่งอาหารเมื่อสั่งอาหารเสร็จ เคนก็มองไปที่ซีน่าและถามว่า “คุณซีน่า คุณแน่ใจไหมว่าเฟนด์ดื่มยาพิษไปแล้วจริง ๆ?”ซีน่าตกใจกับคำถาม เธอดูไม่แน่ใจก่อนจะตอบว่า “ใช่ ฉันเห็นด้วยตาของตัวเองว่าเขาดื่มมันเข้าไป ฉันเป็นคนส่งน้ำนั่นให้เขาด้วยตัวเอง แล้วเขาก็ดื่มเข้าไปครึ่งขวดในเวลาเดียวกัน ที่เหลือก็โยนทิ้งถังขยะ”“จำไม่ผิดใช่ไหม?” เคนถามย้ำ ยังคงสงสัยว่าที่แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่“ไม่ผิดแน่ ฉันจำได้ทุกอย่างอย่างชัดเจน! เขาดื่มมันเข้าไปอย่างแน่นอน” ซีน่าปกป้องตัวเอง “ทำไมเหรอนายน้อยคลาร์ก เกิดอะไรขึ้น? สงสัยฉันงั้นเหรอ?”ซีน่าคิดได้อย่างนั้นเธอก็แสดงสีหน้าเย็นชาทันที “ฉันเสี่ยงชีวิตไปทำงานให้พวกคุณ รู้ไหมว่าฉันกลัวมากขนาดไหน? ฉันกลัวว่าเฟนด์จะรู้ทัน แล้วฉันก็เพิ่งจะหายใจได้ทั่วท้องตอนที่เห็นเขาดื่มน้ำนั่น กล้าดียังไงมาสงสัยว่าฉันโกหก!”อีวานหันไปหาเคนและพูดว่า “นายน้อยคลาร์ก เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนายถึงมาถามซีน่าเรื่องนี้? เธอไม่เห็นจำเป็นต้องมาโกหกเรา ต่อให้เธอจะทำเรื่องนั้นไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม”แล้วเคนก็ตอบกลับไปว่า “สิบก
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ