“เขานี่แปลกจริง ๆ ฉันห่วงเขาแทบตาย แต่เขาดันทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะงั้น!” ชารอนเม้มปากก่อนจะเดินเข้าไปต่อคิว“เฟนด์ มาด้วยกันสิ!” ทันย่าตามหลังเฟนด์ ก่อนจะผลักเขาให้เข้าไปต่อคิว เมื่อเธอเห็นว่าเขาทำหน้าเหมือนไม่อยากเล่น“เอ่อ ไม่เป็นไรน่า พวกคุณเล่นกันไปเลย ผมคิดว่ามีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่เล่น มันเด็กเกินไป!” เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่น เขาหมดหนทาง“นี่ นายว่าพวกเราเด็กงั้นเหรอ?” อีวอนน์หันมากรอกตาใส่เฟนด์ “ฉันไม่สนใจหรอกนะ ไหน ๆ เราก็มาที่นี่แล้ววันนี้ อยากน้อยนายก็ต้องเล่นเครื่องเล่นทั้งหมดเป็นเพื่อนพวกเรา”“ใช่เลย! พวกเราจะพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์ทำตัวแบบเด็ก ๆ อย่างพวกเราวันนึง!” ทันย่าก็พูดขึ้นมาทันที“เฟนด์ ฟังจากเสียงของคุณแล้ว เป็นไปได้จริง ๆ เหรอ ที่คุณไม่เคยไปสวนสนุกเลยสักครั้งน่ะ?” ชารอนครุ่นคิด อดไม่ได้ที่จะถามเฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่น และคร่ำครวญออกมา “ใช่ ผมอยากจะมาที่นี่ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของผมจนเกินไป ผมทำได้เพียงแค่มองคนอื่นเล่นจากด้านนอกเท่านั้น หลังจากที่ผมโตขึ้น ผมก็วุ่นอยู่กับงาน ผมเริ่มทำงานส่งอาหาร และหลังจากนั้น ผมก็ได้เป็นทหาร เพราะฉะนั้น
“คุณเคยเล่นมาก่อนรึเปล่า?” เฟนด์ถาม แล้วมองไปที่อีวอนน์ เดรค“อืมม ฉันอยากเล่นมาตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เล่นเลย!” อีวอนน์พูด และยิ้มอย่างเข้มแข็ง“งั้นเราเข้าไปด้วยกันเถอะ! ผมสงสัยจริง ๆ ว่ามันจะเป็นยังไง ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าโลกนี้ไม่มีผี และถึงมี ผมก็ไม่กลัวหรอก เพราะผมคิดว่าถ้าผีนั่นดีจริง เขาคงสามารถฆ่าปีศาจที่จะเข้ามาหาเขาได้!” เฟนด์พูดอย่างไม่แยแส “ใช่ เราลองไปกันเถอะ แต่คุณต้องสัญญานะ ว่าคุณจะดูแลพวกเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม?” ชารอน จอร์จพูดแทรกขึ้นมา มันเป็นโอกาสที่หายากมากที่จะได้ออกมาเที่ยวกับเฟนด์ และเธอก็คงไม่มีทางพลาดโอกาสนั้นไปแน่“ใช่ ถ้าคุณไปด้วย ฉันก็จะลองดู!”ทันย่าหัวเราะ ก่อนจะพูดว่า “จริง ๆ และฉันก็ค่อนข้างสงสัยเหมือนกัน ฉันได้ยินมาว่า ผีที่ว่า จริง ๆ แล้วก็คือคนแต่งตัวเป็นผีนั่นแหละ มันจะน่ากลัวสักแค่ไหนกันเชียว!”“ฮ่าฮ่า งั้นไปกันเถอะ!” เฟนด์พูดขึ้นมา ก่อนจะเดินเขาไปในบ้านผีสิงพร้อมสาวสวยทั้งสามคน“อ๊า!” เพียงไม่กี่ก้าวเท้านั้น ชารอน จอร์จพบว่าตัวเธอนั้นขี้กลัวมาก ๆ และจับแขนของเฟนด์แน่น หน้าของเธอดูเหมือนจจะหดลง แล้วเธอก็แสดงท่าทีที่กลัวอย่างสุดขีด
“น่ากลัวมาก ๆ ฉันจะไม่มีทางกลับไปเล่นเหมือนกัน เสียดายจริง ๆ ไม่น่าเล่นเลย!”ดูไม่ออกเลยว่าชารอนกลัวจริง ๆ หรือเธอแกล้งแสดงกันแน่แต่ร่างกายของเธอแนบชิดกับเฟนด์มากกว่าเดิมอีก เฟนด์รู้สึกอายเกินกว่าจะมองไปที่เธอด้วยซ้ำ“ว้าว ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย? ผู้หญิงสามคน กอดผู้ชายคนเดียวงั้นเหรอ?”“สวรรค์ ฉันล่ะอิจฉาจริง ๆ ! พวกเธอกอดเขาโคตรแน่น และร่างกายของพวกเธอก็ดูดีเอามาก ๆ พระเจ้า เขาโชคดีจริง ๆ เลย!”“ฉันอยากเป็นเขาจัง ทำไมฉันไม่พาสาว ๆ สวย ๆ มาบ้านผีสิงบ้างนะ? โอ้ เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันไม่รู้จักสาวสวย ๆ ด้วยซ้ำ!”ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขณะที่เห็นพวกเขาเกาะกลุ่มกัน“นี่ ผู้หญิงคนนั้นใช่นายหญิงน้อยที่สองของตระกูลเดรครึเปล่า? ว้าวเธอกอดผู้ชายคนนั้นแน่นจริง ๆ …”“เฮ้ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนอีวอนน์ เดรคเลย อีกคนนั่นใช่ชารอน จอร์จรึเปล่า? พระเจ้า น่าดูจริง ๆ ! ฉันโคตรอิจฉาเลย!” ชายคนนึงจำพวกเธอทั้งสามคนได้ ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นแชะ! ผู้หญิงสองสามคนที่ยืนดูอยู่ เอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปพวกเขาอย่างลับ ๆ ถ้าภาพนี้หลุดออกไป พวกเขาต้องดังแน่ อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่า
ในตอนนี้ ชายทั้งสามคนที่อยู่ที่กรีน ฮอลล์ในวันนั้น ได้กลับมาแล้ว หลังจากที่ส่งชายคนที่แกล้งตาบอดที่โรงพยาบาล และหาคนมาดูแลเขาขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาในลานบ้าน หนึ่งในพวกเขาหันไปหาคนที่ผอมกว่าใครในกลุ่ม แล้วพูดว่า “มังกี้ ไอ้นักเลงนั่นบอกว่าจะมาในวันพรุ่งนี้ คิดว่าเขาจะมาจริง ๆ ไหม? เขาก็แค่บอดี้การ์ด แต่เขาต้องมีความสามารถแน่ ๆ ถึงได้เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลเดรค ฉันว่าเราจะประเมินเขาต่ำไปไม่ได้!”ชายอีกคนมองไปที่มังกี้แล้วพูดว่า “พี่มังกี้ ไอ้นักเลงนั่นชื่อเฟนด์ เขาเป็นลูกเขยของตระกูลเทย์เลอร์ พี่จะประเมินเขาต่ำไปไม่ได้จริง ๆ เมื่อก่อนนี้ เขาช่วยชีวิตเทพีแห่งสงครามเอาไว้ เขามีความสัมพันธ์ดี ๆ กับเหล่าตำนานต่าง ๆ เช่นเทพีแห่งสงคราม พี่คิดว่า…”มังกี้พูดแทรกขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความกลัวของเขา “ก็ได้ ตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากจะต้องตรงไปตรงมากับเขา แล้วดูว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไรต่อ!”“ใช่ คราวนี้เราต้องตรงไปตรงมากับเขา และให้รูปเขาไปซะ ถ้าเขาต้องการ!”ชายอีกสองคนในกลุ่มพยักหน้าเห็นด้วย และทั้งสามก็เดินเข้ามาข้างในต่อ“โอ้ มังกี้ พวกนายกลับมาแล้วเหรอ? ของดีวันนี้เป็นไงบ้าง
มูซัคดูอึ้งมาก เขาพูด “อะไรนะ? นายจะบอกว่าไม่ใช่ทันย่าที่อยากจะมีเรื่องอย่างงั้นเหรอ แต่จริง ๆ แล้ว คือบอดี้การ์ดของเธอที่ต้องการหาความจริงน่ะนะ? ทันย่าเห็นด้วยกับเรื่องนั้นได้ยังไง? เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน ที่จะมาหาเรื่องเรา?”“ใช่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้นักเลงนั่นมันหมายความว่ายังไง มันพูดอีกด้วยว่ามันจะมาหาพวกเราในวันพรุ่งนี้ และบอกอีกด้วยว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะฉะนั้นมันจะมาคนเดียว!”มังกี้รู้สึกว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ “ผมไม่รู้ว่าไอ้นักเลงนั่นมันโกหกรึเปล่า แต่ไอ้นักเลงนี่ไม่ควรไปยุ่งด้วยอย่างยิ่งเลย เขาเป็นลูกเขยของตระกูลเทย์เลอร์!”“เขาน่ะเหรอ?”ท่าทีของมูซัคซึมลง เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น “ฉันคงไม่ห่วงอะไรเลย ถ้าเขาเป็นแค่บอดี้การ์ดธรรมดาน่ะ แต่ฉันได้ยินมาว่าไอ้อาชญากรนั่น เขาเป็นคนหัวร้อน ฉันคิดว่าพวกอาจจะเรากำลังจะมีปัญหา!”“คนหัวร้อน? หมายความว่าไง?”“นี่พี่หมายถึงว่า เขาชอบก่ออาชญากรรมอย่างงั้นเหรอ?” มังกี้ถามพร้อมขมวดคิ้วมูซัคพยักหน้า “ฉันไม่มีหลักฐานมากนัก แต่ฉันคิดว่าการล่าพรรคเทพเจ้ามังกร ต้องเกี่ยวอะไรกับไอ้เฟนด์นี่แน่ ๆ ”“ไม่มีทาง พรรคเทพเจ้ามังกรเก่งจะตาย พ
เฟนด์ทำหน้าบึ้ง ก่อนจะถาม “ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง? ทำไมนายดูเป็นทุกข์และกระวนกระวายขนาดนั้น? นายไปทำให้ใครโกรธมารึเปล่า?”ไทเกอร์พยักหน้า ก่อนจะพูดว่า “ร้านข้าง ๆ ของเราขายได้ไม่ดีเลย และเขาก็เริ่มโทษพวกเรา พวกเขาอ้างว่าเราปล้นธุรกิจของพวกเขา แล้วเขาก็เอานักเลงมาหาเรื่องเรา พวกนักเลงนั่นมาทุกวัน พวกเขาแต่ละคนจะมานั่งที่โต๊ะ แล้วสั่งแค่ถั่วหนึ่งจาน แล้วพวกเขาก็นั่งอยู่ที่ร้านทั้งวัน เพราะแบบนี้ เราเปิดร้านต่อไปไม่ไหวแล้ว!”“ไอ้พวกกากเดนสังคม ไอ้พวกนี้นี่มันระยำจริง ๆ !” เฟนด์กำหมัดแน่น เขาโมโหมาก ๆ เขาไม่คิดเลยว่าร้านข้าง ๆ จะน่าไม่อายขนาดนี้เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนจะถามว่า “แล้วร้านข้าง ๆ ขายดีขึ้นรึเปล่า?”“ไม่ได้ดีขึ้นเลย มีร้านอาหารร้านใหญ่บนถนน พวกเขาไม่กล้าโทษร้านนั้น เลยเอาความโกรธมาลงที่ผมแทน อาหารของเขารสชาติแย่มาก เขาเลยโทษว่าผมไปขโมยธุรกิจของเขา ตั้งแต่นั้น ผมไม่มีธุรกิจแล้ว แต่ร้านของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเลย!”ไทเกอร์โกรธจัด เขาพูดอย่างหมดหนทาง “เฮ้อ ผมกำลังจะแพ้แล้วจริง ๆ ในตอนแรก เราก็คิดจะสู้ แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าพวกเขาจะมาทุกวันแบบนี้”“แล้วตอนนี้ล่
“อร๊าย!”ภรรยาของไทเกอร์กลัวตาย หน้าซีดเผือด และถอยหลังอย่างระมัดระวัง “อย่ามายุ่งกับฉันนะ! ฉันบอกคุณไปแล้วนะว่าถ้าสามีของฉันรู้เรื่องนี้ เขาฆ่าคุณแน่!”“ฮ่า ๆ ช่างน่าขำ สามีของเธออ่อนแอขนาดนั้น ต่อให้เขามีสิบชีวิตเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเราหรอก”ชายผมสั้นหัวเราะออกมาเสียงดังและพูดต่อว่า “งั้นบอกฉันมาซิว่า เธอคิดจะชดใช้ให้ฉันยังไง? ฉันเริ่มจะปวดท้องแล้ว ฉันอยากให้เธอพาฉันไปห้องน้ำและช่วยแก้อาการปวดท้องให้ฉันหน่อย ไม่งั้นก็จ่ายมาสองแสนเหรียญ ฉันจะคิดว่ามันเป็นค่ารักษาพยาบาลของฉัน!”“สองแสนเหรียญ!”ภรรยาของไทเกอร์ได้ยินจำนวนเงินที่มากเกินจริง เธอหายใจเข้าลึก ๆ เธอรู้ว่าเธอไม่มีเงินพอ เธอจ่ายให้ไอ้พวกนี้ได้ หรือแม้ว่าเธอจะจ่ายให้พวกมันสองแสนเหรียญในครั้งนี้ได้แต่ไอ้สารเลวพวกนี้ก็คงหาเรื่องรังแกเธออยู่ดี เธอกลัวว่าจะมีการเรียกร้องเงินจำนวนมากจากพวกมันอีกในอนาคต“อะไรอีกล่ะ? เธอไม่มีเงินงั้นเหรอ? ถ้าเธอไม่มีเงิน เธอก็ต้องชดใช้ให้ฉันด้วยร่างกายของเธอ!”“ไม่ต้องห่วง สามีของเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้ ฉันไม่บอกเขาหรอกน่า ฮ่าฮ่า!”ชายผมสั้นหัวเราะอย่างมีความสุข เดินเข้าไปหาภรรยาของไทเกอร์ เตรียม
กลุ่มชายอันธพาลรวมตัวกันที่ทางเข้าร้านอาหารและล้อมเฟนด์ไว้อย่างรวดเร็วไทเกอร์รู้ว่าเฟนด์สามารถทำอะไรได้บ้างจึงไม่รู้สึกกังวลเลย แต่ภรรยาของเขายังกังวลอยู่นิดหน่อย เธอจึงถามขึ้นมาว่า “ไทเกอร์ พี่ใหญ่จะสู้กับพวกมันทั้งหมดได้เหรอ? เราควรจะจ่ายเงินให้พวกมันดีกว่าไหม? ไม่งั้นพวกมันก็อาจจะยังมารบกวนเราอีกหลังจากที่พี่ใหญ่ของคุณจากไป”“ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่รู้ว่าต้องทำยังไง แค่เขาแสดงออกมาเพียงครั้งเดียว พวกมันก็คงต้องคิดให้ดีก่อนที่จะมายุ่งกับเราอีกในอนาคต!” ไทเกอร์เชื่อมั่นใจตัวเฟนด์สุด ๆ“เด็กน้อย แกมีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ? อย่าแค่อวดดีนะ!” ชายผมสั้นหักนิ้วของเขาและถามเฟนด์ในขณะที่เขากำลังหักนิ้วสิ่งเดียวที่เขากังวลคือเด็กนี่จะแค่อวดดีและไม่มีเงินจ่ายให้พวกเขาในภายหลัง“พวกแกไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก” เฟนด์พูดอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดต่อว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องใช้มือเลยด้วยซ้ำก็เอาชนะพวกแกทุกคนได้!”“ฮ่าฮ่า แกนี่ชอบพูดอวดดีจังนะ แกคิดว่าจะเอาชนะพวกเราได้โดยที่ไม่ต้องใช้มืองั้นเหรอ? ฉันคิดว่าแกคงทำอย่างที่พูดมานั้นไม่ได้หรอก!”ชายผมสั้นหัวเราะและพูดต่อว่า “ถ้าแกทำได้จริง ฉันจะคุกเข่าต่อหน้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ