เฟนด์ยิ้มอย่างเยือกเย็นในใจ เมื่อเขาเห็นท่าทีของชายตาบอด เขาพุ่งต่อยไปที่จมูกของชายตาบอดทันทีอย่างไรก็ตาม เฟนด์ต่อยเขาอย่างช้า ๆ “ทำอะไรน่ะ?” ชายคนที่ช่วยชายตาบอดจับแขนของเฟนด์ทันที “แค่ปล้นของคนตาบอกยังไม่พอ นี่นายจะทำร้ายเขาด้วยเหรอ? นายไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ทำแบบนี้! นายนี่มันไม่ใช่คนแล้ว!” “ฮ่าฮ่า ถ้าฉันเดาไม่ผิด ดูเหมือนว่า พวกนายสามคนจะทำงานกับเขาสินะ! ฉันเดาถูกไหมล่ะ?!”เฟนด์หัวเราะ เขาขยับมือนิดหน่อย ก่อนจะดึงมือออกมาจากอีกฝ่าย เขามองไปที่พวกเขาอย่าแรง ๆ “แสดงต่อสิ!”ชายสองคนเดินเข้ามาทันที “ไอหนุ่ม นายทำเกินเหตุไปแล้วนะ นายพูดจาไร้สาระอะไรอย่างนั้น? สำหรับเราแล้ว นายมันก็แค่คนบ้า นายพูดว่าอะไรนะ พวกเรามาเป็นกลุ่มอย่างงั้นเหรอ? มันไม่สำคัญหรอกนะที่นายจะแกล้งคนตาบอด แต่นายใส่ร้ายพวกเราด้วยเหมือนกันงั้นเหรอ?”“ใช่ เล่นมันเลย!” ชายคนที่จับแขาเฟนด์ก่อนหน้านี้พูดขึ้นมาทั้งสามล้อมรอบเฟนด์ทันทีปัง! ปัง! ปัง!อย่างไรก็ตาม เฟนด์เตะพวกเขา และทั้งสามคนก็กระเด็น ไปตกลงบนพื้นที่ห่างออกไปสองถึงสามเมตร แต่ละคนสำลักเลือดออกมา“เป็นไปได้ยังไงกัน? เขาโคตรแข็งแรงเลย!” ผู้คนที่อยู่
“นายจะถ่ายรูปพวกนี้ไปทำไมกัน?” เฟนด์ยิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนจะถามต่อ “ฉันไม่คิดว่านายจะเก็บไว้ดูเองหรอกนะ ใช่ไหมล่ะ?”เขามองไปที่อีกฝ่าย ที่ใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามไต่ขึ้นมาบนพื้น แล้วพยักหน้า “ใช่ พวกเราทั้งสี่คนเก็บเอาไว้ดู พวกเราแค่อยากรู้อยากเห็น!”“อยากรู้อยากเห็นอย่างงั้นเหรอ?” ท่าทีของเฟนด์เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที เขาออกแรงไปที่ต้นขาของชายคนนั้นมากกว่าเดิม“อ๊าก!” ชายคนนั้นร้องออกมาเสียงดังทันที เขาเจ็บปวดมาก ถึงขนาดที่ว่าเส้นเลือดที่หน้าผากของเขาปูดออกมากร็อบ! เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาอย่างชัดเจน “โอ้พระเจ้า แรงเขาดีจริง ๆ !”“ใช่ บอดี้การ์ดของตระกูลเดรคน่ะ ไม่ใช่คนโง่นะ มันน่ากลัวมากที่เพียงแค่เขาเหยียบครั้งเดียว กระดูกของชายคนนั้นก็หักอย่างไม่มีชิ้นดี!”“ฮ่าฮ่า ทำให้คนในตระกูลเดรคโกรธเหมือนฆ่าตัวตายชัด ๆ ถ้าใครในตระกูลเดรคอยากฆ่าใครสักคน ก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่ามดนั่นแหละ!”ฝูงชนรอบ ๆ พวกเขา เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น “คุณทันย่า คุณชารอน และน้องสาวที่แสนน่ารัก ขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะคะ!” สาว ๆ กลุ่มนั้นเดินเข้ามาขอบคุณเฟนด์และคนอื่น ๆ ทันที “ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรหร
“ตอนนี้เธอกลัวงั้นเหรอ? ตระกูลอื่น ๆ ที่ไร้ประโยชน์คงจะกลัวตระกูลเดรคอะไรนั่น แต่คนจากคิงส์ตัน ฮอลล์ไม่กลัวหรอกนะ!” เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นทันย่าหน้าหม่นลง“คิงส์ตัน ฮอลล์แข็งแกร่งรึเปล่า? แข็งแกร่งกว่าตระกูลของคุณอย่างนั้นเหรอ?” เฟนด์ขมวดคิ้วด้วยท่าทีสงสัยเขารู้ว่าทันย่าเป็นคนที่ไม่กลัวอะไร และชอบสร้างความตื่นเต้นให้ผู้อื่นอยู่เสมอ เขาไม่เคยเห็นเธอกลัวมาก่อนอย่างไรก็ตาม ทันย่ากำลังกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆจะเป็นไปได้หรือว่า คนที่มีอิทธิพลอย่างลับ ๆ พวกนี้ จะแข็งแกร่งกว่าตระกูลเดรค?ทันย่ามองไปที่เฟนด์ ก่อนจะอธิบายอย่างเงียบ ๆ “พวกคิงส์ตัน ฮอลล์มีพรรคพวกจำนวนมาก และถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาณาเขตกลาง นอกเหนือจากนั้นแล้ว พวกเขามีนักสู้ที่มีฝีไม้ลายมือดีเยอะมาก พลังของพวกเขาสามารถสู้กับตระกูลเดรคของพวกเราได้ ถ้าพวกเราหาเรื่องพวกเขา ไม่ต้องเดาเลยว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ!”อีวอนน์ก็พยักหน้าทันที ก่อนจะพูดว่า “จริง ๆ แล้ว นี่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราเข้าใจร่วมกันว่า จะเก็บเรื่องพวกนี้ไว้เป็นความลับ เขาก็พัฒนาข
“กรีนสกาย ฮอลล์อย่างงั้นเหรอ?” เฟนด์ครุ่นคิด แล้วพูดออกมา “ก็ได้ พวกนายกลับไปก่อนก็ได้ แล้วบอกคนในกรีนสกาย ฮอลล์ด้วยล่ะ ว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปหา วันนี้เราต้องจัดการปัญหานี้ให้ได้ และบอกเหตุผลดี ๆ ให้ฉันฟัง มิฉะนั้น นายจะมาโทษฉันไม่ได้ ถ้าฉันทำอะไรขึ้นมา!”“ก็ได้ ไอหนุ่ม นายพูดออกมาเองนะ พรุ่งนี้มาหาเราที่กรีนสกาย ฮอลล์ มาคนเดียวล่ะ พวกเราจะรอนายอยู่ที่นั่น!” ชายคนนั้นรู้สึกโล่งภายในใจ อย่างน้อย เขากับเพื่อนก็กลับไปได้สักทีในตาของเขา เฟนด์พยายามจะหาทางออก ขณะที่เขาพูดว่าเขาจะไปที่กรีนสกาย ฮอลล์คนเดียวเพื่อไปจัดการพวกเขาเขาเดาว่า เฟนด์ไม่กล้าพอที่จะมาที่กรีนสกาย ฮอลล์คนเดียว ในวันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเขายั่วโมโหกรีนสกาย ฮอลล์ ก็เหมือนเขายั่วโมโหคิงส์ตัน ฮอลล์ด้วย อะไรก็ตามที่เฟนด์พูดออกมา ก็เพื่อที่จะหาทางออกให้ตัวเอง เพราะทันย่า ที่ชอบออกมาเปิดหูเปิดตา จะได้ไม่ต้องอับอายหลังจากที่เขาพูดจบ ชายทั้งสามก็รีบพยุงชายที่ขาหักขึ้นมา และรีบออกไปทันที“นาย…นายไม่ได้จะไปจริง ๆ ใช่ไหม พรุ่งนี้น่ะ? กรีนสกาย ฮอลล์ ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ถ้านายจะไปแล้วทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิม มันก็ไม่ต่างอะไ
“เขานี่แปลกจริง ๆ ฉันห่วงเขาแทบตาย แต่เขาดันทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะงั้น!” ชารอนเม้มปากก่อนจะเดินเข้าไปต่อคิว“เฟนด์ มาด้วยกันสิ!” ทันย่าตามหลังเฟนด์ ก่อนจะผลักเขาให้เข้าไปต่อคิว เมื่อเธอเห็นว่าเขาทำหน้าเหมือนไม่อยากเล่น“เอ่อ ไม่เป็นไรน่า พวกคุณเล่นกันไปเลย ผมคิดว่ามีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่เล่น มันเด็กเกินไป!” เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่น เขาหมดหนทาง“นี่ นายว่าพวกเราเด็กงั้นเหรอ?” อีวอนน์หันมากรอกตาใส่เฟนด์ “ฉันไม่สนใจหรอกนะ ไหน ๆ เราก็มาที่นี่แล้ววันนี้ อยากน้อยนายก็ต้องเล่นเครื่องเล่นทั้งหมดเป็นเพื่อนพวกเรา”“ใช่เลย! พวกเราจะพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์ทำตัวแบบเด็ก ๆ อย่างพวกเราวันนึง!” ทันย่าก็พูดขึ้นมาทันที“เฟนด์ ฟังจากเสียงของคุณแล้ว เป็นไปได้จริง ๆ เหรอ ที่คุณไม่เคยไปสวนสนุกเลยสักครั้งน่ะ?” ชารอนครุ่นคิด อดไม่ได้ที่จะถามเฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่น และคร่ำครวญออกมา “ใช่ ผมอยากจะมาที่นี่ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของผมจนเกินไป ผมทำได้เพียงแค่มองคนอื่นเล่นจากด้านนอกเท่านั้น หลังจากที่ผมโตขึ้น ผมก็วุ่นอยู่กับงาน ผมเริ่มทำงานส่งอาหาร และหลังจากนั้น ผมก็ได้เป็นทหาร เพราะฉะนั้น
“คุณเคยเล่นมาก่อนรึเปล่า?” เฟนด์ถาม แล้วมองไปที่อีวอนน์ เดรค“อืมม ฉันอยากเล่นมาตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เล่นเลย!” อีวอนน์พูด และยิ้มอย่างเข้มแข็ง“งั้นเราเข้าไปด้วยกันเถอะ! ผมสงสัยจริง ๆ ว่ามันจะเป็นยังไง ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าโลกนี้ไม่มีผี และถึงมี ผมก็ไม่กลัวหรอก เพราะผมคิดว่าถ้าผีนั่นดีจริง เขาคงสามารถฆ่าปีศาจที่จะเข้ามาหาเขาได้!” เฟนด์พูดอย่างไม่แยแส “ใช่ เราลองไปกันเถอะ แต่คุณต้องสัญญานะ ว่าคุณจะดูแลพวกเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม?” ชารอน จอร์จพูดแทรกขึ้นมา มันเป็นโอกาสที่หายากมากที่จะได้ออกมาเที่ยวกับเฟนด์ และเธอก็คงไม่มีทางพลาดโอกาสนั้นไปแน่“ใช่ ถ้าคุณไปด้วย ฉันก็จะลองดู!”ทันย่าหัวเราะ ก่อนจะพูดว่า “จริง ๆ และฉันก็ค่อนข้างสงสัยเหมือนกัน ฉันได้ยินมาว่า ผีที่ว่า จริง ๆ แล้วก็คือคนแต่งตัวเป็นผีนั่นแหละ มันจะน่ากลัวสักแค่ไหนกันเชียว!”“ฮ่าฮ่า งั้นไปกันเถอะ!” เฟนด์พูดขึ้นมา ก่อนจะเดินเขาไปในบ้านผีสิงพร้อมสาวสวยทั้งสามคน“อ๊า!” เพียงไม่กี่ก้าวเท้านั้น ชารอน จอร์จพบว่าตัวเธอนั้นขี้กลัวมาก ๆ และจับแขนของเฟนด์แน่น หน้าของเธอดูเหมือนจจะหดลง แล้วเธอก็แสดงท่าทีที่กลัวอย่างสุดขีด
“น่ากลัวมาก ๆ ฉันจะไม่มีทางกลับไปเล่นเหมือนกัน เสียดายจริง ๆ ไม่น่าเล่นเลย!”ดูไม่ออกเลยว่าชารอนกลัวจริง ๆ หรือเธอแกล้งแสดงกันแน่แต่ร่างกายของเธอแนบชิดกับเฟนด์มากกว่าเดิมอีก เฟนด์รู้สึกอายเกินกว่าจะมองไปที่เธอด้วยซ้ำ“ว้าว ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย? ผู้หญิงสามคน กอดผู้ชายคนเดียวงั้นเหรอ?”“สวรรค์ ฉันล่ะอิจฉาจริง ๆ ! พวกเธอกอดเขาโคตรแน่น และร่างกายของพวกเธอก็ดูดีเอามาก ๆ พระเจ้า เขาโชคดีจริง ๆ เลย!”“ฉันอยากเป็นเขาจัง ทำไมฉันไม่พาสาว ๆ สวย ๆ มาบ้านผีสิงบ้างนะ? โอ้ เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันไม่รู้จักสาวสวย ๆ ด้วยซ้ำ!”ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขณะที่เห็นพวกเขาเกาะกลุ่มกัน“นี่ ผู้หญิงคนนั้นใช่นายหญิงน้อยที่สองของตระกูลเดรครึเปล่า? ว้าวเธอกอดผู้ชายคนนั้นแน่นจริง ๆ …”“เฮ้ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนอีวอนน์ เดรคเลย อีกคนนั่นใช่ชารอน จอร์จรึเปล่า? พระเจ้า น่าดูจริง ๆ ! ฉันโคตรอิจฉาเลย!” ชายคนนึงจำพวกเธอทั้งสามคนได้ ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นแชะ! ผู้หญิงสองสามคนที่ยืนดูอยู่ เอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปพวกเขาอย่างลับ ๆ ถ้าภาพนี้หลุดออกไป พวกเขาต้องดังแน่ อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่า
ในตอนนี้ ชายทั้งสามคนที่อยู่ที่กรีน ฮอลล์ในวันนั้น ได้กลับมาแล้ว หลังจากที่ส่งชายคนที่แกล้งตาบอดที่โรงพยาบาล และหาคนมาดูแลเขาขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาในลานบ้าน หนึ่งในพวกเขาหันไปหาคนที่ผอมกว่าใครในกลุ่ม แล้วพูดว่า “มังกี้ ไอ้นักเลงนั่นบอกว่าจะมาในวันพรุ่งนี้ คิดว่าเขาจะมาจริง ๆ ไหม? เขาก็แค่บอดี้การ์ด แต่เขาต้องมีความสามารถแน่ ๆ ถึงได้เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลเดรค ฉันว่าเราจะประเมินเขาต่ำไปไม่ได้!”ชายอีกคนมองไปที่มังกี้แล้วพูดว่า “พี่มังกี้ ไอ้นักเลงนั่นชื่อเฟนด์ เขาเป็นลูกเขยของตระกูลเทย์เลอร์ พี่จะประเมินเขาต่ำไปไม่ได้จริง ๆ เมื่อก่อนนี้ เขาช่วยชีวิตเทพีแห่งสงครามเอาไว้ เขามีความสัมพันธ์ดี ๆ กับเหล่าตำนานต่าง ๆ เช่นเทพีแห่งสงคราม พี่คิดว่า…”มังกี้พูดแทรกขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความกลัวของเขา “ก็ได้ ตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากจะต้องตรงไปตรงมากับเขา แล้วดูว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไรต่อ!”“ใช่ คราวนี้เราต้องตรงไปตรงมากับเขา และให้รูปเขาไปซะ ถ้าเขาต้องการ!”ชายอีกสองคนในกลุ่มพยักหน้าเห็นด้วย และทั้งสามก็เดินเข้ามาข้างในต่อ“โอ้ มังกี้ พวกนายกลับมาแล้วเหรอ? ของดีวันนี้เป็นไงบ้าง
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ