“บอดี้การ์ด?” เมื่อฟีโอน่าได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเธอก็หมองลง เธอจ้องไปที่เฟนด์อย่างโกรธจัด สูดหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยออกมา “เฟนด์ นายจะไปประกวดนางงามเหรอ? พวกนี้เป็นบอดี้การ์ดแบบไหนกัน? พวกเธอทั้งหมดดูเหมือนดอกไม้และอัญมณี พวกเธอจะเป็นบอดี้การ์ดได้ยังไง?”เฟนด์พูดไม่ออก เขาไม่รู้จะอธิบายออกไปยัง ทำได้เพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่น “แม่ครับ ผมขอให้เพื่อนช่วยหาบอดี้การ์ดให้ ผมไม่ได้บอกว่าต้องการผู้ชายหรือผู้หญิง และไม่คิดว่าเขาจะเลือกทีมบอดี้การ์ดหญิงล้วนให้ผม!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เอเลนรู้สึกว่าไม่ค่อยยุติธรรม ส่วนตัวแล้วเธอกลัวว่าเฟนด์จะไล่พวกเธอไปเมื่อเธอคิดบางอย่างได้ เธอก็ก้าวออกมาเพื่อแสดงความรู้สึกของเธอ “มีอะไรผิดปกติเหรอถ้าเป็นผู้หญิง? คุณไม่ควรดูถูกผู้หญิงนะ เราทุกคนเป็นวีรบุรุษหญิงที่นำเกียรติยศมาสู่ประเทศ ขนาดประเทศนี้ยังไว้วางใจให้เราปกป้อง แล้วอะไรทำให้คุณคิดว่าเราไม่สามารถปกป้องคุณได้?”ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปที่เฟนด์ “ถ้าพี่ชายไม่หล่อขนาดนี้ พวกเราก็คงไม่มา!”เอเลนไม่ได้หมายถึงแค่ความดูดีของเฟนด์เท่านั้น แต่เธอยังหมายถึงการปรากฏตัวของเขาและออร่าของเข
เฟนด์คิดว่าการที่ผู้หญิงพวกนี้ขับรถดี ๆ แบบนี้ หมายความว่าพวกเธอไม่จำเป็นต้องใช้หรือขาดเงินเลย เขาคิดว่ามันแปลกที่พวกเขามาที่นี่เพียงเพื่อค่าจ้างแค่สองพันเหรียญต่อเดือนสำหรับแม่ยายของเขา เขาถึงกับพูดไม่ออกเพราะเธอยอมถอยเพียงเพราะหญิงสาววัยประมาณยี่สิบกว่า ๆ เรียกเธอว่า 'พี่สาว' อันที่จริง ดูเหมือนว่าเอเลนน่าจะอายุน้อยกว่าเซเลน่าอีก“ใช่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นคุณป้าที่อ่อนเยาว์เช่นนี้!” เอเลนพูดอย่างแก่นแก้ว“ผู้หญิงคนนี้ปากหวานมาก เพราะงั้นพวกเธอได้เป็นบอดี้การ์ดของเราแล้ว ฉันไม่อยากทำให้ชีวิตยุ่งยากมากขึ้นโดยไม่จำเป็น แค่แสดงให้ฉันเห็นว่าเธอมีความสามารถอะไรบ้าง อย่างเช่น เธอสามารถชกมวยหรือตีลังกากลับหลังได้ไหม ถ้าฉันรู้สึกว่าความสามารถของเธอโอเค ก็อยู่ที่นี่ต่อได้!”ฟีโอน่ามีความสุขมาก เธอไม่อยากให้ชีวิตของสาว ๆ ยากขึ้นไปอีกเอเลนพูดโดยไม่ต้องคิดว่า “นั่นมันง่ายเกินไป เราควรทำอะไรที่ยากกว่านั้นอีกหน่อย!” ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็เดินไปที่มุมกำแพงใกล้ ๆ หยิบอิฐสีแดงขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วขอให้ออร์คิดถือมันไว้สูง ๆ “อย่าบอกนะว่าเธอคิดที่จะทำให้อิฐแตกออก?” ฟีโอน่ากลืนน้ำลาย เธอคิ
เฟนด์มองดูชุดของสาว ๆ และรู้สึกปวดหัวกับมันนิดหน่อย เขาพูดออกมาว่า “ในเมื่อพวกเธอเป็นบอดี้การ์ดของเรา พวกเธอจะต้องรักษารูปลักษณ์และสวมเครื่องแบบ ฉันเกรงว่าเสื้อผ้าอย่างกระโปรงสั้น ๆ แบบนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่”“เฮ้ ทำไมนายถึงเข้มงวดนัก ผู้หญิงไม่ควรมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหรอ? ฉันชอบที่พวกเธอแต่งตัวแบบนี้! พวกเธอแต่งตัวได้สวยเหมาะกับขาพวกเธอที่ยาว มันมีอะไรผิดงั้นเหรอ? แบบนี้ก็ดูดีแล้วนี่!” ฟีโอน่าพูดแทรกขึ้นมาทันทีและพูดต่ออีกว่า “ด้วยการแต่งตัวแบบนี้ คนอื่นก็จะไม่รู้ว่าพวกเธอเป็นบอดี้การ์ด พวกเธอก็เป็นเหมือนตำรวจนอกเครื่องแบบ แบบนี้มันไม่ดีกว่าเหรอ? ฉันไม่ชอบให้มีกลุ่มบอดี้การ์ดที่ใส่เครื่องแบบเดินตามหรอกนะ มันดึงดูดความสนใจมากเกินไป!”โชคดีที่ออร์คิดได้ทันและพูดว่า “คุณป้าคนสวย ไม่ต้องห่วง เราคุยกันเรื่องนี้แล้วในระหว่างทางมาที่นี่ เราคิดว่าเราจำเป็นต้องมีเครื่องแบบเพื่อให้เราดูเหมาะสมมากขึ้น แต่เราไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าที่เป็นทางการ เราคิดไว้แล้วว่าจะใส่ชุดไหน! พวกเราจะใส่กางเกงยีนส์ฤดูร้อน รองเท้าผ้าใบสีขาว และเสื้อเชิ้ตสีขาว เรากำลังคิดว่าควรจะมีสัญลักษณ์ของครอบครัวเทย์เลอร์
“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันมีความสามารถพอตัว ฉันไม่ต้องการบอดี้การ์ด หน้าที่หลักของพวกเธอคือปกป้องลูกสาว ภรรยา และพ่อตาแม่ยายของฉัน นอกจากฉันแล้ว ทุกคนในครอบครัวต้องมีบอดี้การ์ดอยู่ด้วยหนึ่งหรือสองคน!”เฟนด์คิดและพูดต่อว่า “ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอทั้งหมดติดตามเราตอนออกไป เพียงแค่หนึ่งหรือสองคนก็พอแล้ว พวกเธอไม่จำเป็นต้องตามมาหรอกเพียงแค่ออกไปซื้อเสื้อผ้า”เอเลนได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกหดหู่ใจทันที เธอหน้าลงและอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา“พวกเธอควรไปพักผ่อนในบ้านได้แล้ว ในเมื่อฉันเป็นนายของพวกเธอ พวกเธอทุกคนก็ควรฟังฉัน!” เฟนด์พูดพลางมองไปที่เอเลนอย่างตรงไปตรงมา“ค่ะ นายท่าน! เราจะเชื่อฟังคำสั่งของท่านทุกอย่างในอนาคต!”เอเลนยิ้ม การได้คุยอย่างใกล้ชิดกับท่านนักรบสูงสุดในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ“ไปกันเถอะแม่!” เฟนด์รีบพาโจแอนออกไปซื้อของอย่างรวดเร็วสาวสวยทั้งสิบคน ต่างถือกระเป๋าเดินทางของตัวเอง และมีเจนนี่นำไปยังที่พักของพวกเธออย่างรวดเร็ว เมื่อจัดการที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจนนี่ก็จากไป ทันทีที่เจนนี่จากไป บอดี้การ์ดสาว ๆ พวกนั้นก็รวมตัวกัน“ว้าว ท่านนักรบสูงสุดยิ่งมองนานเท่าไหร่ท่านก็
“ฮ่า ๆ ที่รัก ทำไมถึงโทรมาหาผมได้ล่ะ? คิดถึงผมล่ะสิ?”อีวาน เทย์เลอร์ที่อยู่อีกด้านของปลายสายพูดหยอกล้อเธอ“แน่นอน ฉันคิดถึงคุณ ไม่ได้เจอกันแค่วันเดียวแต่รู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปสามฤดูเลย ฉันกลัวที่จะถูกเบ็นจับได้ ฉันต้องหาข้อแก้ตัวทุกครั้งเพื่อแอบออกไปเจอคุณ!”ซีน่าจีบอีวานและพูดว่า “เฮ้ อีวาน คุณรู้ไหมว่าวันนี้ฉันกลัวว่าจะตายจริง ๆ คุณคงไม่ได้เจอฉันอีกแน่เลย ฟีโอน่ากับฉันซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งคู่ออกไปเดินเล่นแล้วจู่ ๆ พวกเราก็ถูกลักพาตัวไป!”“อะไรนะ!” อีวานตกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาสอบถามต่อว่า “มันเกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นคนลักพาตัวเธอไป? แล้วเธอปลอดภัยดีไหม?"เมื่อรู้ว่าอีวานเป็นห่วงเป็นใยเธอ ซีน่าก็รู้สึกมีความสุข เธอพูดวว่า “ไม่ต้องห่วง พวกเราทั้งคู่ปลอดภัยดีแล้ว สิ่งที่สำคัญของเรื่องนี้ก็คือเพราะไอ้บ้าเฟนด์ ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไปทำให้นายน้อยของตระกูลเซนอสจากเมืองมังกรฟ้าโกรธ...”ซีน่าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อีวานฟังอย่างรวดเร็วอีวานได้ยินอย่างนั้นและตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า “บ้าเอ๊ย นี่มันเยี่ยมไปเลย!”ซีน่ารูกสึกโกรธขึ้นมาชั่วขณะ “ว่าไงนะ? กล้าดียังไงถึงพูดว่ามั
“เอ๊ะ จะบ้าเหรอ? คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? คุณไม่จำเป็นต้องรอให้คนของพวกเขามา เราจะไปหาพวกเขาเองและบอกให้พวกเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วปล่อยให้พวกเขามาฆ่าเฟนด์ซะ มันไม่ง่ายกว่าเหรอ?”ยิ่งอีวานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น“บ้าจริง ตระกูลเซนอสนี้น่ากลัวกว่าตระกูลคลาร์ก ตระกูลวิลสัน และตระกูลฮิวโก้รวมกันเสียอีก พวกเขามีพลังมากกว่าเยอะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีเงิน ตราบใดที่พวกเขามีเงิน พวกเขาก็สามารถหาคนที่มีฝีมือมาทำตามข้อตกลงได้ ฮ่า ๆ คราวนี้เฟนด์ตายแน่!”“หืม ฉันสงสัยว่าเฟนด์ไปทำให้ตระกูลเซนอสโกรธแค้นได้ยังไง! โอ้ ฉันคิดว่าฉันจำได้แล้ว ตอนที่ต่อสู้กันอยู่ เขาบอกว่ามันเป็นการแก้แค้นให้อาจารย์ของเขา ราชาแห่งสงครามเป็นอาจารย์ของเขา โอ้ ใช่แล้ว ต้องเป็นแม็กนัส ซัทเธอร์แลนด์แน่ ถ้าเฟนด์ไม่ได้ไปบอกเทพีเจ้าแห่งสงคราม แม็กนัส ซัทเธอร์แลนด์ก็อาจจะไม่ตาย...”ซีน่าเริ่มคิดข้อสรุปที่อาจจะเป็นไปได้ทั้งหมดและตั้งสมมติฐานขึ้นมา“ซีน่า คุณกำลังคิดอะไรอยู่? เฟนด์ไปทำให้พวกเขาโกรธเคืองได้ยังไงไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือเฟนด์จะต้องตายจริง ๆ ในรอบนี้!”
ในตอนนั้นเองเฟนด์กำลังอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าและซื้อเสื้อผ้าให้โจแอนมากมาย พวกเขายังซื้อเครื่องประดับทองคำ ต่างหูทองคำ และกำไลหยกเพิ่มเติมอีกด้วย หลังจากแปลงโฉมแล้ว ความงดงามของโจแอนก็เริ่มเปล่งประกายออกมา“ไม่เลว ไม่เลวเลย เอาสร้อยเส้นนี้ด้วย รูดบัตรเครดิต!”เฟนด์พยักหน้าอย่างพอใจและเรียกเก็บเงินทันที“หยุดซื้อของได้แล้ว ลูกใช้เงินมากไปแล้วนะ เก็บเงินที่หาได้มาไว้บ้าง ลูกไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นหรอก ลูกและเซเลน่าอายุยังน้อย มีอีกหลายอย่างที่ลูกต้องใช้จ่าย ไคลี่ก็ยังเด็กอยู่เลย และลูกอาจจะมีลูกเพิ่มอีก ก็จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกอย่างลูกเพิ่งจะจ้างพนักงานไปจำนวนมากที่บ้าน...มีบอดี้การ์ดมากมาย ทั้งหมดนี้จะต้องใช้เงินจำนวนมาก...”นิสัยเก่า ๆ นั้นแก้ยากเเกินไปสำหรับโจแอน เธอก็ยังรู้สึกแย่เมื่อเฟนด์ใช้เงิน วันนี้เป็นวันที่เขาใช้เงินเพื่อเธอมากเกินไปจริง ๆ“แม่ครับ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ขาดแคลนเงิน!”เฟนด์เอาของที่ซื้อ แล้วตามโจแอนออกไป “โอเค ผมจะหยุดซื้อของแล้ว กลับบ้านกันเถอะ แม่ ถ้าผมจะอยากซื้อตระกูลเดรคทั้งหมด มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม่ยังคิดว่าผมไม่มีเงินอยู่หรือเปล่า?”ถึงแม
“ใครมันช่างกล้ามาตีนายน้อยของพวกเรา? วอนหาที่ตายรึไง?”ชายวัยกลางคนพูดขึ้นมา ร่างกายของเขาอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ มองเพียงแวบเดียว ก็รู้ได้เลยว่าเขาแข็งแรงขนาดไหน“ฉันรู้ มันวอนหาที่ตายจริง ๆ ! เวรเอ๊ย! ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก ไอ้พวกที่มีอิทธิพลจากอาณาเขตกลางน่ะ!”ชายวัยกลางคนอีกคนพูดขึ้นมา เขาเดือดดาล “พวกเราต้องสอบสวนปัญหา หาไอ้คนที่อยู่เบื้องหลังการตายของนายน้อยมาให้ได้ แล้วฆ่ามันซะ!”แดร็คส่ายหน้า “ฉันว่า คืนนี้พวกเราออกไปจากที่นี่เงียบ ๆ ดีกว่า ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเราอีกต่อไป!”“ทำไมล่ะ? นายท่าน เรามีทั้งบ้าน และโรงงานมากมายที่นี่ นายท่านจะบอกว่า ไม่ต้องการพวกมันอีกแล้ว อย่างงั้นเหรอ?”หนึ่งในพวกเขาเต็มไปด้วยท่าทีที่สับสน เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมนายท่านถึงตัดสินใจแบบนั้น“ดูเหมือนว่าควิลจะอยู่กับจอมพลเซน ถ้าควิลตาย บอดี้การ์ดของเขาก็คงตายด้วยเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างงั้น จอมพลเซนคงโทรมาหาฉันไปแล้วล่ะ!”แดร็คถอนหายใจ “แต่จอมพลเซนก็ยังไม่โทรมา มันหมายความว่า เขาเองก็อาจจะตายไปแล้วเช่นกัน พวกเรายั่วโมโหคนที่ไม่ควรไปซะแล้ว ในตอนนี้ อาณาเขตกลางนั้นเล็กก็จริง แต่อย่าลืมว่า ม
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ