เซเลน่าอดที่จะทำสีหน้านิ่งเฉยไม่ได้ เธอหัวเราะ “ฉันล้อเล่นน่า!” เธอพูดอย่างขำ ๆ “ฉันจะโกรธคุณได้ยังไงกันล่ะ? นึกถึงหน้าอีวานตอนเช็ดรองเท้าคุณแล้วก็นะ มันต้องน่าสนใจมากแน่ ๆ คงแปลกประหลาดน่าดู ทำไมคุณไม่ถ่ายรูปฉากนั้นที่รอคอยมานานแล้วแชร์มาให้ฉันดูล่ะ คุณน่าจะแบ่งปันความสนุกกับฉันนะ!”“นี่ผมลืมคิดไปเลย ครั้งหน้าแล้วกันนะ!” เฟนด์หัวเราะขณะโยกชิงช้าที่ไคลี่นั่งอยู่ไคลี่รู้สึกเหมือนกำลังโบยบินราวกับตัวเองเป็นนกที่อยู่บนท้องฟ้า เด็กหญิงสัมผัสได้ถึงความรักจากพ่อของเธอ คนอื่นจะมาเรียกเธอว่าเด็กกำพร้าไม่ได้อีกต่อไปในตอนนั้นเอง เซเลน่าก็คิดอะไรได้ “โอ๊ะ จริงสิ แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับผู้หญิงรวยคนนั้นล่ะ? เธอจะมาจริง ๆ เหรอ?” เซเลน่าถาม “ฉันไม่รู้เลยนะว่าคุณเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชา!”“ที่จริง ผมสูงกว่านั้นมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ คุณรู้แค่ว่าสามีของคุณแข็งแกร่งจริง ๆ แม้แต่ราชาแห่งสงครามก็เคารพผม” เฟนด์ยิ้ม เขาทำได้แค่บอกใบ้ออกไปเล็กน้อยหลังจากสังเกตแล้วว่าแถวนี้ไม่มีใครอยู่“อวดไปเถอะ คุณเป็นถึงหัวหน้าผู้บังคับบัญชา เฟนด์ ก็ไม่แย่หรอกนะที่จะมีเงินถึงสองพันล้าน น่าแปลกจริงที่คุณเป็นห
เฟนด์กระแอมเมื่อเซเลน่ากลับมา “ที่รัก มันไม่ใช่แบบนั้น ประเด็นคือเราไม่มีบ้านใช่ไหม?” เขาพูดแก้ตัว “นอกจากนั้น บ้านหลังนี้ยังอยู่ตรงข้ามคฤหาสน์เทย์เลอร์อีก มันสะดวกที่คุณจะได้ไปเยี่ยมตอนไหนก็ได้! แถมยังอยู่ตรงกลางระหว่างโรงเรียนของไคลี่กับที่ทำงานของเรา ทำเลนี้ดีมาก ผมก็เลยประมูลมา!”…“ราชาแห่งสงครามห้าดารา ไซล์ วอล์คเกอร์ ก็มาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับนายใหญ่เทย์เลอร์ในวันเกิดอายุครบเจ็ดสิบปี! ขอนำเสนอ...”ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนเข้ามาเรื่อย ๆ และคนสำคัญอีกคนหนึ่งคือราชาแห่งสงครามห้าดาราก็มานายใหญ่เทย์เลอร์ยิ้มกว้าง มีราชาแห่งสงครามสองสามคนมาและยังมีพันตรีกับจอมพลอีกมากมาย นอกจากนั้นก็เป็นพวกหัวหน้าผู้บังคับบัญชาและผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาอีกมากเข้าร่วมด้วยไม่พอ ยังมีตระกูลชนชั้นหนึ่งและรองลงที่น่าประทับใจก็มาอีกด้วยงานเลี้ยงเล็ก ๆ นี้กลายเป็นงานใหญ่ เขาเริ่มกังวลว่า 200 โต๊ะจะไม่เพียงพอผู้คนมีน้ำใจ ของขวัญจากพวกเขามันช่างแพง มันยุติธรรมที่จะบอกว่าตระกูลเทย์เลอร์ได้รับของขวัญมามากมายแน่นอน นายใหญ่เทย์เลอร์ไม่ได้โง่ ที่คนส่วนใหญ่มาเพราะว่ามีคนบอกว่าเทพีแห่งสงครามแห่งอาณาเขต
ควินที่อยู่ข้าง ๆ มองไปยังจุดที่เขามองและหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ! คนนั้นเหรอ? ฉันรู้จักนะ ลูกเขยของตระกูลเทย์เลอร์ ผู้หญิงอีกคนนั่นคือเซเลน่า เทย์เลอร์ ผู้ชายหลายคนที่ร่ำรวยในอาณาเขตกลางคลั่งเธอมาก เธอถูกเรียกว่าเป็น ‘สาวสวยอันดับหนึ่ง’ ของอาณาเขต อย่างไรก็ตาม ฉันไม่รู้เหตุผลแต่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว!”“เป็นไปได้ยังไง? แค่ลูกเขยจริงเหรอ?” สกายเลอร์ขมวดคิ้ว เขามองไม่เห็นหน้าด้านข้างของเฟนด์อีกต่อไปเมื่อเฟนด์หันหลังให้ถึงอย่างนั้น เขาก็มั่นใจว่ารูปร่างของผู้ชายคนนี้เหมือนกันกับรูปร่างของผู้ชาย ‘คนนั้น’“ใช่ เขาเป็นทหารผ่านศึกด้วยนะ อยู่ในกองทัพมาห้าปี เป็นแค่ทหารธรรมดา ๆ ฉันไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียดทั้งหมด อดีตลูกน้องฉันอย่างเดนนิสเนี่ยสนิทกับเขามากกว่า!” ควินพูดอย่างไม่ใส่ใจ"ห้าปี?" สกายเลอร์ขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ “นักรบสูงสุดก็อยู่ในกองทัพห้าปีเช่นกัน!”“ใช่ ฉันจำได้ว่าเข้ากองทัพหลังจากนั้น แล้วก็อยู่ที่นั่นสามปี ตอนนั้นได้ยินมาว่ามีชายหนุ่มที่เก่งกาจในสนามรบ ได้เพิ่มอันดับอย่างรวดเร็ว เขาเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาในเวลาไม่กี่ปี แล้วอันดับก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เขาใส่หน้ากากที
คำพูดของสกายเลอร์ทำให้ควินตกใจไปชั่วครู่มุมปากของเขากระตุก “ค-คุณบอกว่าเขาเหมือนใครนะ? นักรบสูงสุด?”“ใช่ เหมือนมาก ทั้งด้านข้างและด้านหลัง ฉันจำได้ว่านี่คือรูปร่างของนักรบสูงสุด!” สกายเลอร์มองเฟนด์ที่อยู่ที่สวนไม่ไกลนัก เขาไม่ละสายตาจากเฟนด์เลยเมื่อเห็นว่าชายสองคนนี้เหมือนกัน“เป็นไปได้ยังไง? มีคนมากมายที่เหมือน ๆ กัน มันจะเกินจริงไปหน่อยถ้าเขาเป็นนักรบสูงสุด เขาก็แค่ทหารธรรมดา!” ควินหัวเราะและตบไหล่สกายเลอร์ “ฉันว่าคุณคิดมากเรื่องนักรบสูงสุดเกินไปแล้วล่ะ แต่เข้าใจนะ ฉันยังอยากเห็นความสง่างามของเขาด้วยตาตัวเองเลย!”“ควิน เฮย์ส ทุกคนบอกว่าคุณค่อนข้างหัวไวนี่ และตอนนี้ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น ใช้สมองคิดหน่อยไม่ได้เหรอ?” สกายเลอร์เสียงดัง “เราทุกคนต่างรู้ว่านามสกุลของนักรบสูงสุดคือ วู๊ด มันน่าแปลกที่ลูกเขยคนนี้ใช้นามสกุลเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นนักรบสูงสุดก็อยู่ในสนามรบมาห้าปี ชายหนุ่มคนนี้ก็อยู่ในสนามรบมาห้าปีเช่นกัน คุณคิดว่าเรื่องนี้มันบังเอิญทั้งหมดเหรอ?”“ม-มันไม่ใช่เรื่องปกติเหรอ?” ควินตอบอย่างว่าง่าย มือกางออกอย่างแก้ตัวให้ตัวเอง“คุณพูดถูก ถูกต้องที่สุด มันจะเป็นเรื่องปกติถ้าเรื
”ถูกต้อง!” ควินพูดและหัวเราะ “เดาไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ฉันรับปากได้เลยว่าเขาไม่ใช่นักรบสูงสุดแน่นอน แค่คนหน้าคล้าย แค่นั้น”ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ก็มีรถหรูคันหนึ่งขับพุ่งเข้ามาจากทางเข้า จอดรถอยู่ข้างหนึ่ง และมีหญิงสาวหน้าตาดีใส่ชุดกี่เพ้าแบบจีนลงมาจากรถแปลกที่ผู้หญิงคนนั้นใส่หน้ากากบังใบหน้าซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเธอป่วยหรือกลัวคนจำได้“เฮ้ นั่นใครน่ะ? ขับรถเข้าไปเร็วขนาดนี้!” อีวานตะโกน “ไม่กลัวชนใครเข้าเหรอ?”ราชาแห่งสงครามทั้งสองอยากจะพบเจอเฟนด์ด้วยตาตัวเอง และคนอื่น ๆ ก็หันไปสนใจผู้ที่มาใหม่นีลยืนขึ้นทันทีที่เห็นผู้หญิงคนนั้น “เฟนด์ ทำไมไม่มานี่ล่ะ? ผู้หญิงรวยของนายมาแล้ว ไม่ใช่ว่าเราควรไปต้อนรับเธอเหรอ?” เขาหัวเราะเยาะ เฟนด์พูดถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมา แต่ไม่มีใครคิดว่าเธอจะหน้าหนาและปรากฏตัวขึ้นมาในที่สุดแน่นอนว่าพ่อของนีลก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อเขาเห็นว่าลูกชายเขากำลังทำให้ตัวเองเจอกับความล้มเหลว เขาก็ดึงตัวนีลไปอีกด้านหนึ่ง “นีล ฉันบอกแกว่าอะไร? อย่าสร้างปัญหาเวลาอยู่ข้างนอก เข้ามายุ่งทำไม?!”นีลโกรธ “พ่อ กังวลมากเกินไปแล้ว ผมเริ่มคิดแล้วนะว่าพ่อขี้ขลาด ไม่ใช่แค่ห้ามไม่ให้พาบอดี
ไม่ใช่แค่ราชาแห่งสงครามเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตกตะลึง ทุกคนที่ไปงานทหารผ่านศึกและได้เห็นลาน่าแต่งตัวอย่างสวยงามก็พากันตกตะลึงชายหนุ่มที่ร่ำรวยพวกนี้กำลังหาเรื่องเฟนด์ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดต่าง ๆ ที่ดังเข้ามา เขาหันไปหาภรรยาและพูดว่า “ไปต้อนรับเทพีแห่งสงครามกันเถอะ ผมบอกคุณแล้วว่าเธอคือเทพีแห่งสงคราม!”“นี่เรื่องจริงเหรอ? คุณรู้จักเทพีแห่งสงครามจริง ๆ เหรอ?” เซเลน่าเองก็ยังรู้สึกว่าสาวสวยคนนี้ค่อนข้างน่าทึ่งเมื่อมอง ‘ผู้หญิงรวย’ ที่อีวานชอบพูดถึง สำหรับเธอแล้ว หุ่นของหญิงสาวคนนี้ค่อนข้างดึงดูดด้านมืดในใจของผู้ชายได้เหนือสิ่งอื่นใด ผู้หญิงคนนี้มีท่าทางที่เรียบร้อย ยืนตัวตรงหลังตั้ง มีความภาคภูมิองอาจในแบบของทหารดูจากท่ายืนแล้วเธอคงเพิ่งกลับมาจากกองทัพ ถ้าเธอเป็น ‘ผู้หญิงรวย’ จริง ๆ คงไม่มีท่าทีแบบนี้คนธรรมดาจะไม่มีนิสัยเหมือนทหารนายใหญ่เทย์เลอร์อยากต้อนรับผู้ที่มาใหม่ แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นผู้หญิงคนนั้น สีหน้าของเขาก็นิ่งลง เขาไม่ได้ออกมายืนด้านหน้าหลังจากที่ยืนอยู่ด้านข้างในเมื่อเธออยู่ที่นี่แล้ว เขาก็อยากได้ยินคำอธิบายของเฟนด์ถ้าเฟนด์อธิบายถึงความสัมพันธ์กับเธอไม่ได้
นีลหน้าซีดด้วยความตกใจ เขาพยายามเช็ดเหงื่อ หากพ่อของเขาไม่ดึงเขาออกไป เขาอาจจะใช้คำพูดแย่ ๆ กับลาน่าต่อไปก็ได้“พอกับเรื่องไร้สาระอย่าง ‘ผู้หญิงรวย’ ได้แล้ว นี่คือเทพีแห่งสงครามของเรา ลาน่า เซคส์!” สกายเลอร์ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและพูดกับผู้คน “เทพีแห่งสงครามมาที่นี่เพื่อ…”เขาเห็นเฟนด์อยู่ท่ามกลางการประกาศการมาถึงของเทพีแห่งสงคราม เขาเชื่อว่าเทพีแห่งสงครามมาเพราะเฟนด์ทำความดีเขาสูดลมหายใจเข้าตรงกลางประโยค และเสียงของเขาก็สั่นจากความรู้สึกกลัวจากนั้นสกายเลอร์ก็เดินไปข้างหน้า คุกเข่าข้างหนึ่ง วางมือแน่นบนหน้าอก “ทำความเคารพนักรบสูงสุด นักรบสูงสุด ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ!”“อะไรนะ?!” ผู้คนต่างตกตะลึงกับเทพีแห่งสงครามแล้ว พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อราชาแห่งสงครามแปดดารา สกายเลอร์ เซเลสติโน คุกเข่าต่อหน้าเฟนด์ ให้ความเคารพกับทหารระดับสูงสุดในกองทัพ และเรียกเขาว่า นักรบสูงสุด!“เป็นเขาจริง ๆ เหรอ?” ควินประหลาดใจ เขารู้ว่าสกายเลอร์เคยเห็นนักรบสูงสุดมาก่อน ตอนที่เขาบอกว่านักรบสูงสุดเคยช่วยชีวิตเขาไว้ดูเหมือนว่าสกายเลอร์ยังคงยึดมั่นในความเชื่อของเขา ไม่อยากยอมรับความผิดพลาด
ลาน่าทนดูเฉย ๆ ไม่ได้จึงพูดขึ้นมาว่า “ราชาแห่งสงครามเซเลสติโน เขาไม่ใช่นักรบสูงสุด ที่จริงแล้ว คุณคิดผิดหรือเปล่า? เขาก็แค่คนหน้าเหมือน” แม้ว่าเธอจะพูดออกไป แต่ลาน่าก็รู้สึกว่าเขาไม่เชื่อเธอเลยเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว อีกฝ่ายเชื่อมั่นในความคิดตัวเองมากถ้าไม่ เขาคงไม่เถียงเธอสกายเลอร์ยืนขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน “แน่ใจเหรอเทพีแห่งสงคราม?”ลาน่าหัวเราะ มีท่าทางมั่นใจในตัวเอง “ฉันเคยเมากับเขา ดื่มไวน์และชาบ่อยมาก ฉันเคยเจอเขาแบบไม่สวมหน้ากากมามากกว่าหนึ่งครั้ง คุณไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูดเหรอ?”“แต่มันค่อนข้างแปลก พวกเขาดูเหมือนกันมาก ในโลกนี้มีคนหน้าเหมือนกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” สกายเลอร์มองเฟนด์และหน้าแดงขึ้น ถ้าเฟนด์ไม่ใช่นักรบสูงสุดจริง ๆ ก็หมายความว่าเขาคุกเข่าลงต่อหน้าผู้ชายที่แต่งงานกับตระกูลเทย์เลอร์... ความเข้าใจผิดนี้มันช่างน่าอาย“พอได้รู้จักเฟนด์แล้ว คุณจะพบว่าเขาไม่เหมือนนักรบสูงสุดเลย!” ลาน่าเสริมความมั่นใจตามด้วยเสียงหัวเราะ “ฉันรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร ตอนแรกฉันคิดว่าเขาคือนักรบสูงสุดตอนที่ได้เจอในสนามรบ แต่กลายเป็นว่าเขาแค่คนหน้าเหมือน ต่อมา ฉันก็พบว่าเขาไม่ใช่นักรบสูงสุดจริง ๆ”
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ