เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชา จิตสังหารก่อตัวขึ้นในเขา“แกอยากตายนักรึไง? กล้าดียังไงถึงพูดกับเขาแบบนั้น?” เดนนิสโกรธมากจนเกือบจะสติแตก เขาตบควิล “ไอ้สวะ! ถ้าฉันอยู่ในสนามรบ ตอนนี้แกคงถูกตัดหัวไปแล้ว!” เพี๊ยะ! มันเป็นตบที่แรงและเสียงดังมากเดนนิสคิดว่าการที่เฟนด์ไม่ตอบโต้มีสาเหตุอยู่สองประการ ประการแรกเขารู้สึกว่าไม่ควรให้ค่ากับคน ๆ นี้ ส่วนประการที่สองคือเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ควิลเป็นลูกชายของพี่คนสนิทของราชาแห่งสงครามเจ็ดดารา และมันอาจเป็นปัญหาได้ถ้าเฟนด์ไม่ให้เกียรติราชาแห่งสงครามมันคงเป็นเรื่องยากที่เฟนด์จะปิดบังตัวตนของเขาหากเขาสติแตกในตอนนี้ เฟนด์เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน แม้แต่ภรรยาของเขายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาอยากใช้ชีวิตแบบปกติในทางกลับกัน เขา เดนนิส ไม่สนใจแม้แต่น้อยและเขาไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างไรก็ตาม เฟนด์ช่วยชีวิตเขาไว้เขาจะยืนเฉยได้ยังไงเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดกับเฟนด์แบบนั้น?“แกกล้าดียังไงมาตบนายน้อยของพวกเรา?” พวกบอดี้การ์ดเข้ามาทันทีหลังจากเห็นนายน้อยของพวกเขาถูกตบ บอดี้การ์ดสองคนกำหมัด เตรียมจู่โจมอีกฝ่าย ผัวะ ผัวะ! เดนนิ
เฟนด์เงียบไปครู่นึงก่อนจะทำใจให้เย็น เขายิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วพูดว่า“ไม่เป็นไร วันนี้เป็นการรวมตัวเพื่อฉลองมิตรภาพของเพื่อนในสงคราม ฉันจะปล่อยมันไปแล้วกัน!”เมื่อควิลได้ยินดังกล่าวมุมปากเขากระตุกขึ้น ผู้ชายคนนี้พูดเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้เสียหายร้ายแรง แต่คนที่เป็นผู้เสียหายคือเขาต่างหาก นายน้อยคนเล็กสุดจากตระกูลเซนอสน่ะเดนนิสก็พยักหน้าเช่นกัน เขาเดินเข้าไปพร้อมกับพันตรีทั้งสองและเฟนด์ หลังจากเฟนด์และคนอื่นๆเดินจากไป ควิล เขาทนไม่ไหวอีกแล้ว เขาพูดกับแม็กนัสที่อยู่ข้างๆเขาว่า “คุณลุง คุณลุงยอมไปได้ยังไง? ผู้ชายคนนั้นหยิ่งยโสเกินไปและมันก็ไม่เคารพคุณลุงด้วย แถมยังพูดว่า ‘แล้วไง’ ถ้าคุณเป็นราชาแห่งสงครามเจ็ดดาราอีก? เขาพูดเหมือนเขาเป็นเทพแห่งสงครามอย่างนั้นแหละ!”“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรหรอก เขาก็เป็นแค่ทหารธรรมดาเท่านั้น ฉันเป็นราชาแห่งสงคราม มันคงจะเกินไปถ้าฉันยืนกรานที่จะเอาเรื่องเขา นอกเหนือจากนั้น นายพูดว่านายเป็นนายน้อยแห่งตระกูลเซนอส แล้วนายจัดการเขาไม่ได้รึไง?” แม็กนัสหัวเราะ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยคำใบ้ต่าง ๆ มันคงไม่สะดวกที่จะทำอะไรในตอนนี้ แต่เขาสั่งสอนพวกนั้นได้เสมอในตอนหลัง
เดนนิสคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เขาได้ยินแล้วพูดว่า “สวัสดีครับราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ!”“ใช่ครับ ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ ยังสง่างามเหมือนเคยเลยนะครับ”ผู้บังคับบัญชาและจอมพลจำนวนนึงเดินเข้ามาทักทายแม็กนัสพร้อมกับรอยยิ้ม ทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาด้านใน“ฮ่าฮ่า ไม่เห็นต้องสุภาพกับฉันเลย เราไม่ได้อยู่ในสนามรบแล้วนะ และตำแหน่งของพวกเราก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น พวกเราก็ต่างเป็นเพื่อนกัน และเป็นคนที่สร้างเกียรติให้กับประเทศ พวกเรามาสนุกกับงานนี้กันดีกว่า! ดื่มและกินให้หนำใจไปเลย!” แม็กนัสพูดด้วยรอยยิ้ม ราวกับเป็นเรื่องสบาย ๆ“ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์นี่เป็นคนง่าย ๆ จริง ๆ เลย!”“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าเขาดูแลพวกทหารตอนอยู่ในสนามรบล่ะ เคยมีครั้งนึง เขาแบกทหารที่บาดเจ็บไปกว่าร้อยกิโลในตอนกลางคืนเพื่อส่งเขาไปโรงพยาบาลด้วย เขาช่วยชีวิตทหารคนนั้นไว้!”ทหารหลายนายมองมาที่แม็กนัสด้วยความยำเกรง เมื่อพวกเขาได้ยินเกียรติศักดิ์ของราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ราชาแห่งสงครามช่างสมควรได้รับความเคารพจากทุกคนจริง ๆแม็กนัสไม่มีทางหุบยิ้มหลังจากได้ยินเรื่องพวกนี้แน่“ราชาแห่งสงค
“ดีเลย เจ้านายมาถึงแล้ว!” พันตรีเพนดรากอนยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเขาได้ยินดังกล่าว “เราไม่ได้เจอเจ้านายของพวกเรานานมากเลยนะ ฉันคิดถึงเขาจัง!”ครั้งนึงเขาและเดนนิสต่างก็เคยเป็นลูกน้องของควินน์ เฮย์ส“เหมือนกัน!” เดนนิสพยักหน้า เขาสบตาเพนดรากอนแล้วเดินออกไปด้วยกัน“เจ้านาย!” ทั้งคู่ทักทายเมื่ออยู่ต่อหน้าควินน์ เฮย์ส“ฮ่าฮ่า พวกนายสองคนก็อยู่ที่นี่ด้วย!”“ดูเหมือนว่าฉันตัดสินใจถูกที่มาในวันนี้นะเนี่ย!” ควินน์มองไปที่ลูกน้องทั้งสองแล้วหัวเราะออกมาดัง ๆ เขาตบบ่าของทั้งคู่ “ดีจริง ๆ ! พวกนายยังดูดีและแข็งแรงอยู่เลย! ดูเหมือนว่าพวกนายยังคงออกกำลังกายอยู่ที่บ้านหลังจากกลับจากสนามรบสินะ?” “ไม่เคยขาดครับ!” พันตรีเพนดรากอนหัวเราะออกมา“โอ้ ใช่ครับเจ้านาย ผมอยากจะแนะนำคนนึงให้คุณรู้จัก เขาเป็นผู้ช่วยชีวิตของผม! ผมเคยเล่าเรื่องของเขาไปแล้ว ตอนที่ผมอยู่ในสังเวียนแล้วเกือบโดนโอนีลฆ่าน่ะ ผมบาดเจ็บเกือบตายแล้ว แต่ผมต้องขอบคุณยาที่เฟนด์ให้ผมไว้เลย มันทำร่างกายของผมฟื้นตัวไวมาก!” จอมพลเดนนิสยิ้มทันที แล้วกวักมือเรียกให้เฟนด์มาที่นี่ “โอ้ นายคือเฟนด์สินะ? ฮ่ะฮ่า ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่านายมีฝีม
เขาคิดและเสนอขึ้นมา เขามีความสุขมากกับข้อเสนอนั้น “ฮ่าฮ่า ดีเลย!” ควินน์ เฮย์ส หัวเราะไปกับความคิดของแซน มิลเลอร์ในไม่ช้า ทุกคนก็ยืนขึ้นแล้วถ่ายภาพร่วมกันสองสามภาพ!“ไม่ต้องห่วงนะ! เดี๋ยวผมจะอัดภาพแล้วส่งไปให้พวกคุณที่บ้านทีหลัง!” แซน มิลเลอร์ยิ้ม ในใจของเขามีความสุขอย่างมาก มันคงเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ดีไม่ใช่หรือถ้าหากเขาเก็บรูปของเขาและเหล่าทหารไว้ แล้วนำไปแขวนที่หน้าร้านของเขา ทุกคนจะได้รู้ว่าแม้แต่ราชาแห่งสงครามก็มาที่ร้านของเขาด้วย!สุดท้ายแล้ว ไม่ใช่เพียงราชาแห่งสงครามแค่คนเดียว แต่มาถึงสองคน!“ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่งานจะเริ่มแล้ว พวกเราไปที่ลานบ้านและนั่งรอที่โต๊ะกันเถอะ เพราะอาหารจะมาเสิร์ฟในเร็ว ๆ นี้ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผมได้เชิญดาราสาวสองสามคนมาเป็นพิเศษในวันนี้ พวกหล่อนทุกคนมีชื่อเสียงและเป็นถึงดาราระดับเฟิร์สคลาส แถมพวกหล่อนจะทำการแสดงตลอดทั้งมื้ออาหารด้วย!” แซน มิลเลอร์ประกาศต่อฝูงชนหลังจากที่ดูเวลา“ไปกัน! ไปกัน!”“เจ้าของคฤหาสน์นี่ช่างสุภาพเสียจริง มันต้องแพงแน่ ๆ ถ้าต้องจ้างดาราดัง ๆ สักสองสามคนน่ะ”“นี่ เขารวยจะตาย มันก็เป็นปกติอยู่แล้วที่เขาจะไม่สนใจเรื่องเงิน!”
แซน มิลเลอร์พูดไม่ออกเมื่อเขาได้ยินดังกล่าวเขารู้ว่าราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ไม่เพียงแต่จะชอบโบราณวัตถุและของแพงเท่านั้น เขายังชอบผู้หญิงสวย ๆ เป็นพิเศษอีกด้วยอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงสวยธรรมดาทั่วไป แต่เขาชอบผู้หญิงที่อารมณ์ดีและมีความหยิ่งยโสนิดหน่อยเห็นได้ชัดว่า แม็กนัสทำทุกอย่างอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เขายังคงเป็นราชาแห่งสงครามที่หน้านับถือในสาธารณะอยู่ แซน มิลเลอร์ ดูออกว่าแม็กนัสสนใจในเบลค ไนท์ นี่ดูเหมือนจะเป็นโอกาสดีที่จะตีสนิทแม็กนัส นายน้อยมิลเลอร์กัดฟันและตัดสินใจ เขาดูรอบ ๆ เพื่อที่จะแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่แถวนั้น เขาพูดเป็นนัยว่า “ผมเชื่อว่านั่นเป็นเรื่องที่จัดการได้ ดีที่สุดแล้ว ใครจะต้านทานการดึงดูดของเงินได้ล่ะ? ผมไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่มีผู้หญิงมากมายเลยที่ชอบในภาพลักษณ์ที่กล้าหาญของราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์น่ะ!”“นายหมายความว่าอะไร?” แม็กนัสยิ้มเล็กน้อยแล้วถาม“ฮ่าฮ่า ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ ผมมีห้องหลายห้องเลยที่อยู่ในส่วนนั้นของคฤหาสน์ หนึ่งในนั้นมีอยู่ห้องนึงที่ผมไปบ่อย ๆ เวลาว่างล่ะ!”“ขอผมดูหน่อยแล้วกัน ถ้าด้วยเงินจำนวนนึงล่ะก็ ผมสามารถทำให้เบลค ไน
สีหน้าของเฟนด์หม่นลง “ฉันก็เป็นแค่ทหารธรรมดา และนี่ก็เป็นงานรวมตัวของเหล่าทหาร พวกเราก็เป็นทหารเหมือนกัน แล้วทำไมฉันถึงรินไวน์ไม่ได้ล่ะ?”จอมพลเดนนิสถึงกับพูดไม่ออกกับสิ่งที่เฟนด์พูด เขาทำได้เพียงค่อย ๆ ปล่อยขวดไวน์ แล้วมองดูเฟนด์รินไวน์ให้คนอื่น ๆ ในโต๊ะทุกคนสุภาพมาก พวกเขายืนขึ้นแล้วโค้งเล็กน้อยขณะที่เฟนด์รินไวน์ให้ “มาเถอะ ผมอยากจะกล่าวอวยพรให้ทุกคนสักหน่อย พวกเราเหล่าพี่น้องผู้เสียสละเพื่อแคทธีเซีย เพราะฉะนั้นตอนนี้เรามามีความสุข แล้วมาดื่มให้หนำใจกันเถอะ!” เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วชูแก้วไวน์ขึ้นเหนือหัว “ใช่เลย! พวกเราพวกเราไม่ต่างกันเลยสักนิด งั้นเรามาดื่มให้จุใจกันเถอะ!” ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งพูดขึ้นมาทุกคนที่โต๊ะต่างก็ดื่มไวน์จนหมดแก้วในงานรวมตัว ทุกคนกำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ร่วมกับความจริงที่ว่าตอนนี้มีเหล่าดาราสาวกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที ทุก ๆ คนมีความสุขมากแน่นอนว่ามีผู้คนมากมายเข้าไปพบควินน์และแม็กนัสเพื่อการดื่มอวยพรที่เกิดขึ้นอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนว่าคนอย่างพวกเขาต้องดื่มเก่งอยู่แล้ว พวกเขาจึงร่วมดื่มอวยพรทุกครั้ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ดา
“ราชาแห่งสงคราม แม็กนัส ซัทเธอร์แลนด์ อยากพบพวกเราอย่างงั้นเหรอ?” สาวสวยทั้งสองรู้สึกดีอย่างมากเมื่อรู้เช่นนั้นถึงแม้พวกเธอจะเป็นดารา พวกเธอก็เทียบไม่ได้กับเหล่าคนร่ำรวยกับความทรงพลังของราชาแห่งสงคราม พวกเธอนั้นด้อยค่า“ใช่แล้วล่ะ โดยเฉพาะคุณเบลค ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์เป็นแฟนคลับของเธอเลยล่ะ เขาบอกฉันก่อนหน้านี้ว่าเขาชอบที่เธอร้องเพลงล่ะ!”นายน้อยมิลเลอร์หยุดคิดแล้วพูดเป็นนัย ๆ ว่า “ฉันหวังว่าพวกเธอจะไม่ปฏิเสธนะ!”เบลคสัมผัสได้ถึงความจริงจังเล็กน้อยในน้ำเสียงของเขา เธอรู้ได้เลยว่าการพบกันครั้งนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เธอคิดแล้วพูดอออกมาว่า “นายน้อยมิลเลอร์ เราจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อราชาแห่งสงครามเอ่ยปากว่าอยากเจอพวกเราขนาดนี้? แต่ว่า ฉันสงสัยน่ะว่าทำไมเขาถึงอยากเจอพวกเรา มีอะไรพิเศษรึเปล่า?”นายน้อยมิลเลอร์ก่อนจะพูดว่า “คุณไนท์ คุณนี่ฉลาดจริงๆ แน่นอนว่ามันจะต้องไม่ใช่การพบกันแบบธรรมดา ๆ ฉันหวังว่าพวกเธอทั้งสองคนจะรักษาความสัมพันธ์ดี ๆ กับราชาแห่งสงครามไว้ในคืนนี้นะ ฉันจะไม่ทำแย่ ๆ กับพวกเธอหรอก แต่การทำให้ราชาแห่งสงครามมีความสุขจะเป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสองฝ่าย!”
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ