ผู้บัญชาการหญิงสังเกตเห็นเฟนด์ เธอยิ้มให้เขาและเดินเข้าไปข้างใน เฟนด์ที่ยืนอยู่ข้างๆ แสร้งทำเป็นชื่นชมต้นบอนไซ ผู้คนมางานมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่คาดไว้ ทหารทั่วไปได้รับเหรียญตราที่ระลึกทองแดง ในขณะที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้ช่วยของพวกเขาได้รับเหรียญเงิน ไม่กี่นาทีต่อมา ชายคนหนึ่งก็มาถึง ผู้ชายคนนั้นเป็นพันตรี และทัศนคติของเจ้าของงานที่มีต่อเขานั้นเป็นมิตรกว่ามาก เฟนด์เหลือบมองที่ตราที่ระลึกของชายคนนั้นขณะที่เขาเดินผ่านไป มันทำด้วยทองคำ การออกแบบตราทั้งหมดนั้นก็ใกล้เคียงกัน แม้ว่าวัสดุจะแตกต่างกันมาก ไม่นานหลังจากนั้น ราชาแห่งสงครามหนึ่งดาราก็มาถึง เขาดูค่อนข้างหนุ่มและร่าเริง ตราของคนนั้นทำด้วยทองคำขาว เฟนด์ส่ายหัวอย่างขมขื่น เขาสรุปเองว่าทุกคนได้ตราตามตำแหน่ง “นี่ ทำไมนายยังไม่เข้าไปข้างในอีก? ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีกล่ะ? ใกล้เที่ยงแล้วนะ!”ราชาแห่งสงครามสังเกตเห็นเฟนด์และยิ้มให้เขา “โอ้ะ ผมแค่กำลังชมไปรอบ ๆ!” เฟนด์ตอบด้วยรอยยิ้ม ราชาแห่งสงครามหัวเราะอย่างร่าเริง “พนักงานต้อนรับที่สวยงามพวกนั้นดึงดูดสายตาคุณใช่ไหมล่ะ? มีคนที่ชอบบ้างไหม? ถ้ามี ก็ไปขอเบอร์เธอได้เล
“อืมมม! ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ!” แม็กนัสพยักหน้า และติดเหรียญตราลงบนอกของเขา เฟนด์มองดูอย่างห่าง ๆ ดวงตาของเขาถูกบดบังไปด้วยแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากเหรียญตรา ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าเหรียญตรานั้นมีคุณภาพสูงมาก ส่วนล่างของตรานั้นทำมาจากทองคำขาว และประกอบไปด้วยเพชรที่อยู่ด้านบน เฟนด์พูดไม่ออก เขาก้มศรีษะมองลงไปที่เหรียญตราสีบรอนซ์ที่ติดอยู่บนหน้าอกของเขา มันช่างต่างกันมากเหลือเกินฝูงคนมากมายเดินเข้ามาหลังจากที่พวกเขาพูดจบ “ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ เดี๋ยวนะ คือพวกเขาเหรอ?” หนึ่งในพนักงานนำทางคิ้วขมวดขึ้นมาทันที หลังจากนั้น เจ้านายของพวกเขาได้สั่งให้พวกเขาเตรียมเหรียญตราที่แตกต่างกันด้วยความหวังที่ว่ามันจะง่ายขึ้นต่อการจัดอันดับของคนในกองทัพ ด้วยเหรียญตราต่าง ๆ พวกเขาจะไม่ทำผิดต่อผู้ที่ไม่ควร อย่างไรก็ตาม คนพวกนี้ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย “ทำไมล่ะ? นี่คือแขกของผม เขาเป็นลูกชายของพี่ชายคนสนิทของผม ผมพาเขามาด้วยไม่ได้เหรอ?” แม็กนัสหันไปพูดอย่างเย็นชา“ไม่ค่ะ ไม่… ฉันถามเพราะผมไม่มั่นใจว่าเขาคือจอมพลหรือราชาแห่งสงคราม เจ้านายของพวกเราสั่งไว้ว่าทุกคนที่เข้ามาที่นี่ จะต้องติดเหรียญตร
มุมปากของเฟนด์กระตุกขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่เขาได้ยิน ชายคนนี้ช่างประจบคนเก่งเสียจริงเห็นได้ชัดว่าแม็กนัสมีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มอย่างพึงพอใจเขารีบปรับอารมณ์ กางนิ้วชี้ออกและวางมันลงบนริมฝีปาก “ชู่ว… อย่าเอะอะไป!”“เข้าไปดูข้างในกันดีกว่า! ผมอยากรู้ว่าใครมาบ้าง”“ไม่เลวเลย มีคนมามากกว่าร้อยคน ดูเหมือนว่าผม แม็กนัส ซัทเธอร์แลนด์จะยังคงมีศักดิ์ศรีอยู่สินะ!” ในที่สุดแม็กนัสก็โบกมือและเดินเข้าไปพร้อมกับคนอื่น ๆ“แน่นอนอยู่แล้ว ใครจะไม่อยากมาล่ะ ในเมื่อพวกเขารู้ว่าคุณลุงก็มา!”ลูกชายบุญธรรมพูดขึ้นมาทันที “เราจะพูดอย่างงั้นไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ป่าวประกาศอะไร ผู้คนก็ต่างก็เดินทางมากันเองหลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับผม ผมไม่สามารถขอร้องให้ใครมาได้อยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ?” แม็กนัสพูดขณะที่เดินเข้าไปด้านใน“ไอ้หนุ่ม มายืนทำไมตรงนี้? หมาที่ดีมันไม่ยืนขวางทางหรอกนะ ไม่รู้รึไง?” ทายาทเศรษฐีดุว่าเฟนด์ ชี้นิ้วไปที่เขา เมื่อเห็นว่าเฟนด์ยืนอยู่ตรงทางเข้าเพื่อแสดงความจงรักภักดีของเขา “รู้ไหมว่านี่ใคร? เขาคือแม็กนัส ซัทเธอร์แลนด์ ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ ราชาแห่งสงครามเจ็ดดาราเขาเ
“ฮ่าฮ่า ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ ผมไม่ได้หาเรื่องคุณหรอกนะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ใช้ชื่อของคุณเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจต่อหน้าคนอื่นก็เถอะ คุณไม่ต่อว่าเขาเลยด้วยซ้ำถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะหยาบคายและน่ารังเกียจ แต่คุณกลับมาวิจารณ์ผมเนี่ยนะ?” “จุ๊จุ๊ ผมจำได้ว่าคุณมีชื่อเสียงที่ดีในกองทัพนะ ทุก ๆ คนพูดว่าคุณเป็นคนดีและเป็นคนง่าย ๆ ราชาแห่งสงครามคนที่รู้ถูกรู้ผิด ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเปลี่ยนไปตั้งแต่คุณกลับมาเมื่อไม่นานนี้” “หรือมันจะเป็นไปได้ ที่ข่าวลือของต่าง ๆ ของพวกทหารไม่เป็นจริง” เฟนด์หัวเราะ เดิมที่เขามีความประทับใจดี ๆ ต่อราชาแห่งสงคราม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ดีจริง ๆ หรือไม่ก็เขาได้รับการกระทบกระเทือนหลังจากกลับมาจากสนามรบแม็กนัสพูดไม่ออกเลยเมื่อเขาได้ยินเฟนด์พูด เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง และสิ่งที่เฟนด์พูดก็สมเหตุสมผล เขาเพิ่งจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเมื่อไม่นานมานี้ “ไอ้หนุ่ม แกกล้าดียังไงมาวิจารณ์ราชาแห่งสงครามของพวกเรา? แกคงรนหาที่ตายจริง ๆ สินะ!” เศรษฐีเด็กกัดฟันแล้วเดินหน้าไปสองก้าวเพื่อผจัญหน้ากับเฟนด์อย่างโกรธแค้น“คนอย่างแกคงตายง่ายสุดในสน
“ขอโทษ?” ควิลหันกลับมา เขาชะงัก สีหน้าของเขาพูดอย่างเห็นได้ชัดว่า “เอาจริงดิ”“ไอหนุ่ม นี่ฉันได้ยินแกผิดไปหรือเปล่า? แกจะให้ฉันขอโทษแกน่ะเหรอ?”“ฮ่าฮ่า มันโง่รึเปล่าวะ?”“นั่นสิ มันไม่รู้หรือไงว่านายน้อยแห่งเซนอสมาจากไหน?”“จุ๊จุ๊ เขานี่มันกล้าขนาดนี้เลยเหรอ?”บอดี้การ์ดของควิลขำทีละคนราวกับว่าได้ยินมุกตลก“ใช่ นายก็รู้ว่านายผิด ลุงของนายก็พูดว่านายผิด รู้แบบนี้แล้วนายก็ควรขอโทษไม่ใช่รึไง?” เฟนด์ยืนกราน สีหน้าไม่ใยดีปรากฏขึ้นบนในหน้าของเขา“ไอ้เวร โคตรนักเลงเลยนี่หว่า ฉันให้อภัยแกเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรภาพ แต่แกไม่ต้องการมันอย่างงั้นเหรอ? แกเคยนึกถึงผลที่จะตามมาไหม? ฉันไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับแกนักหรอกนะ เพราะฉันเป็นคนใจกว้าง แต่นี่แกจะไม่ยอมจริง ๆ ใช่ไหม?!” ควิลโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับนักเลงแบบนี้ เขาล่ะอยากให้บอดี้การ์ดของเขาต่อยเฟนด์เสียจริงอย่างไรก็ตาม งานในวันนี้จัดขึ้นโดยแม็กนัส และมันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาทำอะไรไปในตอนนี้ นอกจากนั้นคงไม่ดีแน่ถ้าจอมพลและราชาแห่งสงครามต่าง ๆ มาเห็นเข้า ท้ายที่สุดแล้วเฟนด์เคยรับใช้เคทธีเซียถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแค่ทหาร
เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชา จิตสังหารก่อตัวขึ้นในเขา“แกอยากตายนักรึไง? กล้าดียังไงถึงพูดกับเขาแบบนั้น?” เดนนิสโกรธมากจนเกือบจะสติแตก เขาตบควิล “ไอ้สวะ! ถ้าฉันอยู่ในสนามรบ ตอนนี้แกคงถูกตัดหัวไปแล้ว!” เพี๊ยะ! มันเป็นตบที่แรงและเสียงดังมากเดนนิสคิดว่าการที่เฟนด์ไม่ตอบโต้มีสาเหตุอยู่สองประการ ประการแรกเขารู้สึกว่าไม่ควรให้ค่ากับคน ๆ นี้ ส่วนประการที่สองคือเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ควิลเป็นลูกชายของพี่คนสนิทของราชาแห่งสงครามเจ็ดดารา และมันอาจเป็นปัญหาได้ถ้าเฟนด์ไม่ให้เกียรติราชาแห่งสงครามมันคงเป็นเรื่องยากที่เฟนด์จะปิดบังตัวตนของเขาหากเขาสติแตกในตอนนี้ เฟนด์เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน แม้แต่ภรรยาของเขายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาอยากใช้ชีวิตแบบปกติในทางกลับกัน เขา เดนนิส ไม่สนใจแม้แต่น้อยและเขาไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างไรก็ตาม เฟนด์ช่วยชีวิตเขาไว้เขาจะยืนเฉยได้ยังไงเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดกับเฟนด์แบบนั้น?“แกกล้าดียังไงมาตบนายน้อยของพวกเรา?” พวกบอดี้การ์ดเข้ามาทันทีหลังจากเห็นนายน้อยของพวกเขาถูกตบ บอดี้การ์ดสองคนกำหมัด เตรียมจู่โจมอีกฝ่าย ผัวะ ผัวะ! เดนนิ
เฟนด์เงียบไปครู่นึงก่อนจะทำใจให้เย็น เขายิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้วพูดว่า“ไม่เป็นไร วันนี้เป็นการรวมตัวเพื่อฉลองมิตรภาพของเพื่อนในสงคราม ฉันจะปล่อยมันไปแล้วกัน!”เมื่อควิลได้ยินดังกล่าวมุมปากเขากระตุกขึ้น ผู้ชายคนนี้พูดเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้เสียหายร้ายแรง แต่คนที่เป็นผู้เสียหายคือเขาต่างหาก นายน้อยคนเล็กสุดจากตระกูลเซนอสน่ะเดนนิสก็พยักหน้าเช่นกัน เขาเดินเข้าไปพร้อมกับพันตรีทั้งสองและเฟนด์ หลังจากเฟนด์และคนอื่นๆเดินจากไป ควิล เขาทนไม่ไหวอีกแล้ว เขาพูดกับแม็กนัสที่อยู่ข้างๆเขาว่า “คุณลุง คุณลุงยอมไปได้ยังไง? ผู้ชายคนนั้นหยิ่งยโสเกินไปและมันก็ไม่เคารพคุณลุงด้วย แถมยังพูดว่า ‘แล้วไง’ ถ้าคุณเป็นราชาแห่งสงครามเจ็ดดาราอีก? เขาพูดเหมือนเขาเป็นเทพแห่งสงครามอย่างนั้นแหละ!”“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรหรอก เขาก็เป็นแค่ทหารธรรมดาเท่านั้น ฉันเป็นราชาแห่งสงคราม มันคงจะเกินไปถ้าฉันยืนกรานที่จะเอาเรื่องเขา นอกเหนือจากนั้น นายพูดว่านายเป็นนายน้อยแห่งตระกูลเซนอส แล้วนายจัดการเขาไม่ได้รึไง?” แม็กนัสหัวเราะ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยคำใบ้ต่าง ๆ มันคงไม่สะดวกที่จะทำอะไรในตอนนี้ แต่เขาสั่งสอนพวกนั้นได้เสมอในตอนหลัง
เดนนิสคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เขาได้ยินแล้วพูดว่า “สวัสดีครับราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ!”“ใช่ครับ ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ ยังสง่างามเหมือนเคยเลยนะครับ”ผู้บังคับบัญชาและจอมพลจำนวนนึงเดินเข้ามาทักทายแม็กนัสพร้อมกับรอยยิ้ม ทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาด้านใน“ฮ่าฮ่า ไม่เห็นต้องสุภาพกับฉันเลย เราไม่ได้อยู่ในสนามรบแล้วนะ และตำแหน่งของพวกเราก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น พวกเราก็ต่างเป็นเพื่อนกัน และเป็นคนที่สร้างเกียรติให้กับประเทศ พวกเรามาสนุกกับงานนี้กันดีกว่า! ดื่มและกินให้หนำใจไปเลย!” แม็กนัสพูดด้วยรอยยิ้ม ราวกับเป็นเรื่องสบาย ๆ“ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์นี่เป็นคนง่าย ๆ จริง ๆ เลย!”“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าเขาดูแลพวกทหารตอนอยู่ในสนามรบล่ะ เคยมีครั้งนึง เขาแบกทหารที่บาดเจ็บไปกว่าร้อยกิโลในตอนกลางคืนเพื่อส่งเขาไปโรงพยาบาลด้วย เขาช่วยชีวิตทหารคนนั้นไว้!”ทหารหลายนายมองมาที่แม็กนัสด้วยความยำเกรง เมื่อพวกเขาได้ยินเกียรติศักดิ์ของราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ราชาแห่งสงครามช่างสมควรได้รับความเคารพจากทุกคนจริง ๆแม็กนัสไม่มีทางหุบยิ้มหลังจากได้ยินเรื่องพวกนี้แน่“ราชาแห่งสงค
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ