“คุณคงไม่ได้อยากให้ผมพาเธอเข้าห้องใช่ไหม?”เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ทางเข้าบ้านของตระกูลเดรค เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยสุดท้ายแล้วเขาจะอับอายมากที่สุด หากผู้คุ้มกันที่ลาดตระเวน หรือแม้แต่คนที่ยืนเฝ้าประตูเห็นเขา“ไร้สาระน่า คุณอยากให้ฉันแบกเธอไปเองเหรอ? แล้วตอนนี้เธอก็อยู่บนหลังแล้ว รีบไปพาเธอไปที่เตียงเถอะ”ทันย่ากลอกตา เธอสลัดความรู้สึกอึดอัดหลังจากที่จูบกับเฟนด์ไปไม่ได้"เดี๋ยวนะ"เมื่อสังเกตเห็นบางอย่าง เธอจึงหยิบผ้าเปียกชิ้นหนึ่งออกมาทันที “มา เดี๋ยวฉันช่วยเช็ดปากให้”เธอค่อย ๆ เช็ดปากของเฟนด์ ขณะที่พูดว่า “โอ้พระเจ้า... มีคราบลิปสติกติดอยู่” เธอหงุดหงิด “ถ้าใครสังเกตเห็น เราก็จะปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย”เฟนด์สะดุ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขอบคุณอะไรก็ตามที่ให้ทันย่าสังเกตเห็นมัน ไม่อยากนั้น ถ้ากลับบ้านไปแล้วเซเลน่าสังเกตเห็น เขาก็ไม่รู้จะอธิบายกับเธอได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงแม่ยายที่ไร้เหตุผลที่บ้านเลย เธอจะไม่บังคับให้เขาหย่ากับลูกสาวเธอทันทีเลยเหรอ?“ขอบคุณพระเจ้าที่คุณสังเกตเห็น”ขณะที่เขาจ้องมองทันย่าที่กำลังเช็ดริมฝีปากอย่างระมัดระวัง ความอับอายก็คืบคลานเข้าม
ไคล์หัวเราะขณะมองไปที่ผู้หญิงบนหลังเฟนด์ เขายกนิ้วโป้งให้อย่างล้อเลียน “คุณนี่เอาเรื่องเลยนะครับ ลูกพี่” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คนทั่วไปจะแบกความสวยไว้ในอ้อมแขน ในทางกลับกัน คุณแบกสาวสวยไว้บนหลัง!”เฟนด์รู้สึกอึดอัดจนต้องส่งสายตาน่ากลัวไปหาไคล์ “พูดเรื่องไร้สาระอะไร? อยากโดนกระทืบใช่ไหมเนี่ย?” เขาพูดอย่างรวดเร็ว “คุณอีวอนน์เมา แล้วฉันก็แค่อุ้มเธอกลับ!”ฮาร์วีย์หัวเราะคิกคัก ตั้งแต่ทุกคนบูชาเฟนด์ว่าเป็นตัวอย่างของบอดี้การ์ดตระกูลเดรค ทุกคนก็เคารพเขามาก เฟนด์ควรรู้นะว่าแม้แต่ผู้พิทักษ์หลักทั้งสามก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ “ไปไหนก็ไปไป! ฉัน เฟนด์ ผู้ชายที่มีเกียรติ แล้วทำไมจะต้องรู้สึกผิดด้วย?”เฟนด์จ้องไปที่ทุกคนก่อนที่จะหันหลังกลับและเข้าไปในคฤหาสน์โดยมีอีวอนน์อยู่บนหลังของเขา ทันย่าหัวเราะลั่นขณะที่เธอเดินตามเฟนด์ไปข้างหลังอย่างใกล้ชิด “ลูกพี่ต้องมีอะไรแน่ ๆ เขามอมคุณอีวอนน์!”“ใช่ เมื่อก่อนพวกเราเจ็ดแปดคนออกไปกินข้าวกันแล้วได้เจอคุณอีวอนน์ เธอก็ดื่มชนะพวกเราทุกคน” “ว้าว ลูกพี่ของเรานี่สมกับเป็นลูกพี่เราจริง ๆ ครั้งนี้เขาแก้เผ็ดให้พวกเรา!” บอดี้การ์ดสองสามคนเริ่มพูดคุย
เฟนด์ขับรถไม่นานก็ถึงบ้าน “คุณกลับมาช้าจัง แถมยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์ ดื่มกับทันย่ามาแค่ไหนเนี่ย?”เซเลน่าอาบน้ำแล้ว เธอกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงเธอวางโทรศัพท์ไว้และลุกขึ้นจากเตียงเมื่อเห็นเฟนด์กลับมา “ผมไม่อยากจะพูดเลย อีวอนน์ ลูกพี่ลูกน้องของทันย่าอย่างกับปีศาจเหล้า เธอบังคับให้ผมดื่มกับเธอ”เฟนด์หัวเราะแห้ง ๆ เขาเข้าไปหาชุดนอนเพื่อเตรียมตัวเข้านอนเซเลน่าเดินตามหลังมาและสูดกลิ่น “เป็นไปไม่ได้ ทำไมฉันถึงได้กลิ่นน้ำหอมบนตัวคุณ? ไม่เห็นบอกเลยว่าอยู่กับผู้หญิงรวยคนนั้นด้วย? ไม่เห็นบอกเลยว่าผู้หญิงรวยคนนั้นคือเทพธิดาแห่งสงครามและเพื่อนคุณ?” เซเลน่าพูดเรื่อย “ฮึ่ม! ฉันว่าคุณไม่ได้ไปดื่มกับคุณเดรค แต่ไปหาผู้หญิงรวยคนนั้นแทนมากกว่า!”เฟนด์แปลกใจที่จมูกเซเลน่าดีมากจนได้กลิ่นน้ำหอมบนตัวเขาเขาหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะตอบว่า “อย่ากังวลไปเลย เซเลน่า สามีของคุณเป็นคนชอบธรรมและมีศีลธรรม ผมดูเหมือนคนที่เกาะผู้หญิงรวย ๆ หรือเปล่า?” เซเลน่าเอียงหัวและมุ่ยหน้า “ไม่แน่ใจเหมือนกันสิ... คุณค่อนข้างหล่อ และมีศักยภาพ” เธอตอบอย่างเย็นชา เฟนด์ไม่โกรธเลยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขากลับรู้สึกอบอุ่
อีวอนน์ก้มหน้าลงมองร่างกายตัวเองและสังเกตว่าเธอสวมชุดนอนลายสปาเก็ตตี้ อีวอนน์สูดลมหายใจเข้า “โอ้ พระเจ้า… เป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนฉันกลับถึงบ้านมาได้ยังไง? ใครเป็นคนอาบน้ำแต่งตัวให้ฉันเนี่ย?” เธอคิดว่าทันย่าไม่ใช่คนที่พาเธอกลับบ้าน และเธอก็ค่อย ๆ รู้สึกหวาดกลัวขึ้น “อย่าบอกนะว่าเป็นเฟนด์” ทันย่าบังเอิญเปิดประตูเข้ามาพอดี “โอ๊ะ ตื่นแล้วเหรอ? ฉันคิดว่าเธอยังหลับอยู่ ไม่คิดว่าเธอจะแพ้เฟนด์ วู๊ด ในเรื่องดื่มนะ” ทันย่าค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นอีวอนน์นั่งตัวตรง “ทันย่า เมื่อคืน...ฉันกลับมาที่นี่ได้ยังไง? เฟนด์ วู๊ดพาฉันมาที่นี่หรือเปล่า? พวกเรานั่งแท็กซี่หรือเปล่า?” อีวอนน์รู้สึกตัวเมื่อเห็นทันย่าเข้ามาในห้อง คำถามของเธอพุ่งออกมาทันทีก่อนที่เธอจะได้จัดการความคิดของเธอ “มันใกล้มาก เราเลยไม่ได้นั่งแท็กซี่” ทันย่าพูดก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “เธอเมามาก ฉันเลยให้เฟนด์อุ้มกลับมา” ทันย่าพูดต่อ “อะไรนะ เธอกำลังบอกว่าฉันถูกเขาอุ้ม?” อีวอนน์พูดไม่ออก ความรู้สึกผิดและความละอายครอบงำใจเธอ ที่สำคัญที่สุด เธอยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยอีก เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นทำอะไรเธอไหมตอนที่เธอกำลังเมา เธอจำ
บคฤหาสน์แคร์ฟรี เป็นสถานที่ที่มีแต่คนรวยเท่านั้นที่สามารถจ่ายได้ ที่บ้านพักตากอากาศแห่งนี้มีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมและสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ อาคารเหล่านี้สร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากอาคารเก่าแก่ มันจะทำให้รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังย้อนเวลากลับไปในขณะที่ก้าวเข้าไปข้างใน ในสถานการณ์ปกติ การใช้จ่ายขั้นต่ำจะอยู่ที่ 10,000 เหรียญต่อคน การจองบ้านพักทั้งหมดจะมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 5 ล้านต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เจ้าของจะละเว้นการใช้จ่ายขั้นต่ำทั้งหมดและเตรียมอาหารรสเลิศพร้อมเหล้ายามากมายสำหรับทุกคน และเขายังตั้งเวทีชั่วคราวพร้อมกับจ้างนักร้องหลายคนเพื่อความบันเทิง คนที่จองบ้านพักทั้งหมดเป็นบุคคลสำคัญ เขาคือแม็กนัส ซัทเธอร์ ราชาแห่งสงครามที่มีประวัติการต่อสู้อันโด่งดัง ราชาแห่งสงครามนั้นต่ำต้อยกว่าเทพเจ้าแห่งสงครามเท่านั้น นอกจากนี้แม็กนัสยังเป็นราชาแห่งสงครามเจ็ดดารา มีราชาแห่งสงครามมากมาย แต่ราชาแห่งสงครามแต่ละคนแตกต่างกัน พวกเขาได้รับการจัดอันดับตามความสามารถส่วนตัว จากผลงานของพวกเขาในสนามรบ และผลงานที่มีต่อประเทศ มีเพียงสองตำแหน่งเท่านั้น จอมพลและนายพัน การแบ่งแยกของราชาแห
นายท่านมิลเลอร์พยักหน้าและมองดูนาฬิกาของเขา “เอาล่ะ ใกล้ได้เวลาแล้ว ไปแจ้งเชฟคนอื่น ๆ ว่าเราจะต้องเสิร์ฟอาหารให้ครบ 12 ส่วน ไม่มีพลาด เข้าใจไหม?” นายท่ายมิลเลอร์จัดปกคอเสื้อก่อนเดินออกไปข้างนอก “ฉันจะออกไปดูข้างนอก ข้างนอกน่าจะมีแขกเยอะ ฉันควรไปแนะนำตัวกับพวกเขา” ตอนนี้ เฟนด์มาเพียงคนเดียวที่หน้าทางเข้าบ้านพักแคร์ฟรี “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?” พนักงานต้อนรับสาวก้าวเข้ามาหาเฟนด์และแสดงรอยยิ้มที่สุภาพบนใบหน้าของเธอ “ผม…” เฟนด์เงียบไปครู่หนึ่งขณะที่เขาใช้สมองเพื่อหาคำตอบ หลังจากนั้น เขาก็พูดต่อ "ผมมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประชุมของทหารผ่านศึก 'วันวานแห่งความทรงจำของการต่อสู้'!" เจ้าบ้านสาวยิ้มออกมา “ฉันรู้ว่าคุณมารวมตัวกันที่นี่ ฉันอยากรู้สถานะและยศของคุณ ให้ฉันดำเนินการลงทะเบียนให้คุณและนายท่านของเราได้เตรียมเหรียญที่ระลึกสำหรับทุกคนในงานไว้แล้ว คุณสามารถปักได้เลยบนเสื้อผ้าของคุณ!” เฟนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า "ผมเป็นแค่ทหารธรรมดา ในเมื่อราชาแห่งสงครามเป็นเจ้าภาพการประชุม ผมมาที่นี่เพื่อพบปะเพื่อนฝูงและพูดคุยเรื่องเครื่องดื่ม!" รอยยิ้มบนใบหน้าของพนักงานต้อนรับสาว
ผู้บัญชาการหญิงสังเกตเห็นเฟนด์ เธอยิ้มให้เขาและเดินเข้าไปข้างใน เฟนด์ที่ยืนอยู่ข้างๆ แสร้งทำเป็นชื่นชมต้นบอนไซ ผู้คนมางานมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่คาดไว้ ทหารทั่วไปได้รับเหรียญตราที่ระลึกทองแดง ในขณะที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้ช่วยของพวกเขาได้รับเหรียญเงิน ไม่กี่นาทีต่อมา ชายคนหนึ่งก็มาถึง ผู้ชายคนนั้นเป็นพันตรี และทัศนคติของเจ้าของงานที่มีต่อเขานั้นเป็นมิตรกว่ามาก เฟนด์เหลือบมองที่ตราที่ระลึกของชายคนนั้นขณะที่เขาเดินผ่านไป มันทำด้วยทองคำ การออกแบบตราทั้งหมดนั้นก็ใกล้เคียงกัน แม้ว่าวัสดุจะแตกต่างกันมาก ไม่นานหลังจากนั้น ราชาแห่งสงครามหนึ่งดาราก็มาถึง เขาดูค่อนข้างหนุ่มและร่าเริง ตราของคนนั้นทำด้วยทองคำขาว เฟนด์ส่ายหัวอย่างขมขื่น เขาสรุปเองว่าทุกคนได้ตราตามตำแหน่ง “นี่ ทำไมนายยังไม่เข้าไปข้างในอีก? ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีกล่ะ? ใกล้เที่ยงแล้วนะ!”ราชาแห่งสงครามสังเกตเห็นเฟนด์และยิ้มให้เขา “โอ้ะ ผมแค่กำลังชมไปรอบ ๆ!” เฟนด์ตอบด้วยรอยยิ้ม ราชาแห่งสงครามหัวเราะอย่างร่าเริง “พนักงานต้อนรับที่สวยงามพวกนั้นดึงดูดสายตาคุณใช่ไหมล่ะ? มีคนที่ชอบบ้างไหม? ถ้ามี ก็ไปขอเบอร์เธอได้เล
“อืมมม! ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ!” แม็กนัสพยักหน้า และติดเหรียญตราลงบนอกของเขา เฟนด์มองดูอย่างห่าง ๆ ดวงตาของเขาถูกบดบังไปด้วยแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากเหรียญตรา ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าเหรียญตรานั้นมีคุณภาพสูงมาก ส่วนล่างของตรานั้นทำมาจากทองคำขาว และประกอบไปด้วยเพชรที่อยู่ด้านบน เฟนด์พูดไม่ออก เขาก้มศรีษะมองลงไปที่เหรียญตราสีบรอนซ์ที่ติดอยู่บนหน้าอกของเขา มันช่างต่างกันมากเหลือเกินฝูงคนมากมายเดินเข้ามาหลังจากที่พวกเขาพูดจบ “ราชาแห่งสงครามซัทเธอร์แลนด์ เดี๋ยวนะ คือพวกเขาเหรอ?” หนึ่งในพนักงานนำทางคิ้วขมวดขึ้นมาทันที หลังจากนั้น เจ้านายของพวกเขาได้สั่งให้พวกเขาเตรียมเหรียญตราที่แตกต่างกันด้วยความหวังที่ว่ามันจะง่ายขึ้นต่อการจัดอันดับของคนในกองทัพ ด้วยเหรียญตราต่าง ๆ พวกเขาจะไม่ทำผิดต่อผู้ที่ไม่ควร อย่างไรก็ตาม คนพวกนี้ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย “ทำไมล่ะ? นี่คือแขกของผม เขาเป็นลูกชายของพี่ชายคนสนิทของผม ผมพาเขามาด้วยไม่ได้เหรอ?” แม็กนัสหันไปพูดอย่างเย็นชา“ไม่ค่ะ ไม่… ฉันถามเพราะผมไม่มั่นใจว่าเขาคือจอมพลหรือราชาแห่งสงคราม เจ้านายของพวกเราสั่งไว้ว่าทุกคนที่เข้ามาที่นี่ จะต้องติดเหรียญตร
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ