“แก... เป็นบ้าอะไร?”ทันย่ามาจัดการเรื่องนี้ทันที เธอเกลียดการรังแกคนที่อ่อนแอกว่า และอันธพาลคนนี้ก็ตบคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะก้าวเข้ามา เธอสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังกำหมัดแน่น ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เธอรู้สึกมีความสุข อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้คาดหวังว่าเฟนด์จะมีลักษณะที่คล้ายกับเธอ—คือความรังเกียจต่อความอยุติธรรม “นี่! พันเดียวพอไหม?”“เสื้อผ้าน่ะมันหลักพัน ใช่แล้ว! แต่ถ้ารักษาพยาบาลที่ตีฉันล่ะ? แล้วไหนจะค่าชดเชยที่ทำอายุฉันสั้นไป 10 ปี อีก จิตใจฉันบอบช้ำนะ!” เทมเพสมีรอยยิ้มชั่วร้ายขณะพูด “ฉันไม่ต้องการค่าเสื้อผ้าหรอก ฉันอยากได้ชุดเดิม! ที่ฉันใส่อยู่ก่อนที่แกจะทำพัง! ทำได้หรือเปล่า?”“นี่แก มันมากไปแล้ว! เราขอโทษแล้วไง แล้วเขายังโดนแกทำร้ายอีก!” ผู้หญิงคนนั้นเอามือปิดปากขณะที่น้ำตาไหล ตาของเธอบอกความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งเจ็บและเศร้า“ฉันตบเขาเพราะเขายั่วโมโหฉันก่อน และเพราะใบหน้ามันน่ะคู่ควรกับฝ่ามือของฉัน มันต่างกันนะ” ลูกพี่เทมเพสยิ้มขณะพูด“ที่รัก มันเป็นความผิดของผมเอง ผมไม่คิดว่าพื้นจะลื่นขนาดนี้ ก็เลยล้ม!” ใบหน้าของคนส่งของขมวดเคร่งเครียด เขาไม
ใบหน้าของคนส่งของซีดเผือด เขาถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วตัวแข็งทื่อ เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าพวกนั้นหมายถึงอะไร การปล่อยภรรยาให้อยู่กับคนพวกนั้นก็เหมือนปล่อยให้เธออยู่ที่ซ่อง! อย่างไรก็ตาม เงินแสนสำหรับเขาเป็นจำนวนที่มหาศาลมาก เขาหามันมาไม่ได้แม้จะขายทุกอย่างที่มีอยู่ “แก...” ผู้หญิงคนนั้นโกรธมากจนดวงตาของเธอเป็นสีแดง แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็พบว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น เธอได้ยินมาว่ามีหลายพรรค ที่ชอบข่มขู่ พรรคอินทรีนี้เอาแต่ใจและกว้างขวางมากกว่าพรรคเทพเจ้ามังกรเสียอีกคนทั่วไปอย่างพวกเขาเกรงกลัวที่จะโดนคนพวกนี้รุกราน“คุณผู้ชายครับ ได้โปรดเถอะ ผมขอร้อง ภรรยาผมไม่มีอะไรดีเลย เธอธรรมดา! เรามีลูกอายุห้าเดือน รอเธอกลับไปให้นมอยู่ ได้โปรดปล่อยเราไปเถอะ ขอร้องล่ะ! ผมให้คุณสองพัน นั่นคือทั้งหมดที่มีแล้ว...”ชายผู้เป็นสามีคว้าแขนเสื้ออันธพาลอย่างอ้อนวอน“ปล่อยเสื้อผ้าฉัน! แกเป็นแค่คนส่งอาหาร พระเจ้ายังรู้ว่ามือแกมันมีเชื้อโรคมากแค่ไหน ถ้าแตะต้องเสื้อผ้าฉันอีกล่ะก็ แกตายแน่!”ลูกพี่เทมเพสร้องเสียงดังเมื่อเห็นมือคนส่งอาหารคนส่งของปล่อยทันที และไม่มีใครคาดว่าเขาจะคุกเข่าลงบนพื้นและอ้อ
แต่การกลับมาของเฟนด์นั้นไม่สำคัญ เขาเป็นแค่ทหารที่กลับมาจากกองทัพ เขาไม่มีทางเอาชนะคนพวกนี้ด้วยตัวคนเดียวได้ “พี่ชายเฟนด์ ฉัน... ฉันขอโทษแต่ตอนนี้ฉันยุ่งมาก การเจอกันครั้งแรกของเราคือนายเห็นฉันคุกเข่าต่อหน้าคนอื่น!”ไทเกอร์ก้มหัวลงราวกับชีวิตนั้นไม่ได้เมตตากับเขาเลยเขาไม่ใช่คนที่เคยดื่มกับเฟนด์เมื่อห้าปีก่อนอีกต่อไป ผู้ชายคนที่มีความฝันอยากจะเปิดร้านอาหารความเป็นจริงในชีวิตทำให้ชีวิตเขาเรื่อย ๆ ชีวิตบังคับให้เขาต้องก้มตัวลง และก็ด้อยกว่าความเป็นจริง“ลุก!”ความเศร้าพุ่งเข้าที่หัวใจของเฟนด์ราวกับเข็มนับพัน “ไทเกอร์ ถ้ายังเป็นผู้ชายอยู่ก็ไม่ควรคุกเข่าให้กับไอ้ขยะพวกนี้! ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้! ฉัน เฟนด์ วู๊ด ในฐานะพี่ชายของนาย ขอสั่งให้นายลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”“แต่...”ไทเกอร์เงยหน้ามองเฟนด์ด้วยสายตาอ้อนวอน “พี่ชาย ได้โปรดออกไปเถอะ ฉันไม่อยากให้นายมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้! ฉันจะจัดการมันเอง! ออกไปเถอะ!”“นาย? นายจะทำอะไรได้? อย่าทำเป็นเข้มแข็งไปหน่อยเลย! ลุก! ลุกเดี๋ยวนี้!”เฟนด์กัดฟันขณะกำหมัดแน่นเขารู้ถึงความดื้อรั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ไทเกอร์พูดว่าสามารถจัดการได้ถ้าเขาจัดการได
“จองหองนักนะ!” อันธพาลสามคนเดินไปข้างหน้าและล้อมเฟนด์ทันที พวกเขาปล่อยหมัดเข้าหาเฟนด์ ปั๊ก! ปั๊ก! ปั๊ก! เฟนด์ต่อยไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า อันธพาลสามคนที่พุ่งเข้าหาเฟนด์โดนต่อยเข้าที่หน้า และก็ล้มลงไปกับพื้นโดยไม่ได้แตะต้องเส้นผมของเฟนด์แม้แต่เส้นเดียว เลือดไหลซึมจากริมฝีปากของสามคนนั้น พวกเขาตายอย่างน่าสยดสยอง"นี่มัน…" ในตอนแรกเทมเพสยืนอย่างเย่อหยิ่งโดยเอาแขนไขว้ที่หน้าอก พร้อมที่จะเห็นการนองเลือด เขาไม่คิดเลยว่าลูกน้องทั้งสามจะตายภายในวินาทีต่อมา!เขากลืนเสียงลงไปในลำคอ “อ อะไรกัน!?” ผู้คนหลายคนตกใจกับผลลัพธ์เช่นกัน “เขาฆ่าพวกนั้นแล้ว… โอ้ พระเจ้า! เขากล้าดียังไงไปฆ่าคนจากพรรคอินทรี?” “ใช่ ชายหนุ่มคนนี้แตกต่าง เขาเป็นคนกล้าหาญ!” “แต่สิ่งนี้ได้ผลอย่างแน่นอน พวกอันธพาลจากพรรคอินทรีล้วนไม่ต่างอะไรกับพวกชอบรังแก และชายหนุ่มผู้นี้เป็นทหารผ่านศึกที่มีทักษะอย่างแท้จริง! ทักษะการต่อสู้ของเขาช่างน่ากลัว และเขาสามารถฆ่าคนสามคนได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที!” ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ชมก็เริ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์นี้อย่างกระตือรือร้น หลายคนถึงกับสะดุดถอยหลังไปสองสาม
เทมเพสเย้ยหยัน “เจอกันพรุ่งนี้” เขาพูดก่อนจะออกจากที่นั่น“ทั้งหมดเท่าไหร่ บอส?”อีวอนน์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหยิบเงินประมาณ 8,000 เหรียญแล้ววางลงบนโต๊ะ “ค่าอาหาร และค่าจัดการศพทั้งสาม” เธอกล่าว “ไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหม?”“ไม่ ไม่มีปัญหาเลย แน่นอนว่าไม่มีปัญหา!”บอสรีบวิ่งออกไปพร้อมกับส่งเสียงดังก่อนจะพูดว่า “ไอ้บ้าเทมเพส ไหนจะคนของเขาที่ชั่วบัดซบอีก ฉันทนมานานแล้ว คนพวกนี้ชอบรังแกคนอ่อนแอ แล้วก็ไม่มีใครกล้าสู้กับเขา แถมยังไม่เคยจ่ายอะไรอีกเวลามาที่นี่ พวกนั้นเอาแต่บอกว่าฉันเป็นหนี้พวกเขาอยู่ และหนี้ของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายพันเหรียญแล้วตอนนี้ พวกนั้นไม่เคยจ่ายเลยสักครั้ง”“ใช่ เราอยากให้คนพวกนี้ตายมาตลอด ขอบคุณครับท่านผู้มีเมตตา!”"ใช่! ทหารผ่านศึกคนนั้นจัดการได้โดยที่ไม่ต้องเสียเหงื่อเลย!”เสียงชมเชยจากผู้ชมเริ่มหลั่งไหล พวกเขายกย่องเฟนด์ตอนนั้นเองที่ชายชราก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อหาเฟนด์“นี่ ฉันแนะนำว่าควรออกจากอาณาเขตกลางให้เร็วที่สุดนะ” ชายชราแนะนำ “อย่าไปสู้ด้วยเลย พวกนั้นแข็งแกร่งด้านจำนวนคนมาก และยังมีพลังมากในพรรคอินทรี ออกไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุดเท่านั้นที่จะทำให้มีชี
เฟนด์และทันย่ารีบไปหาอีวอนน์ เธอทรุดตัวลงบนโต๊ะและหลับไป“นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเงียบไปนาน เธอกำลังหลับ แล้วเราจะทำไงกันดี? เราไม่ได้ขับรถมา”ทันย่าเหลือบมองเฟนด์ก่อนที่เธอเสริมว่า “คุณต้องอุ้มเธอกลับ”“แต่นั่นมันไม่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ?”เฟนด์ตรวจดูอีวอนน์อีกครั้ง เขารู้สึกกระอักกระอ่วนจนแสดงออกมาทางสีหน้าหน้าอกของอีวอนน์ค่อนข้างใหญ่ และเธอก็สวมกระโปรงสั้นจนต้นขาส่วนใหญ่เปิดเผยออกมา ถ้าเขาอุ้มเธอกลับ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่โดนตัวเธอ... ประเด็นสำคัญที่สุดคือ แม้ว่าอีวอนน์จะเซ็กซี่และแต่งตัวอย่างมั่นใจ แต่เขาบอกได้เลยว่าอีวอนน์ไม่ได้ไร้เดียงสาแบบผู้หญิงขนาดนั้นเฟนด์คิดว่าเธอไม่ได้จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่ทีแรกอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่ดื่มและพยายามทำให้เขาเมา“อะไรไม่เหมาะสม? นายคงไม่คิดว่าจะให้ฉันอุ้มเธอหรอกนะ?”ทันย่ากลอกตาไปที่เฟนด์ “มันดึกแล้ว ไม่อยากกลับบ้านเร็ว ๆ เหรอ?” เธอพูดในเมื่อไม่มีทางเลือก เฟนด์ทำได้เพียงหัวเราะกับความพ่ายแพ้ก่อนดึงตัวอีวอนน์ขึ้นอย่างง่ายดาย จากนั้นก็อุ้มเธอไว้บนหลังเธอทรุดตัวลงบนหลังของเฟนด์ขณะที่เฟนด์กอดขาทั้งสองของเธอ นี่ทำให้เขา
"ท่าไม่ดีแล้ว!"ทันทีที่รู้ว่าอีวอนน์ยังอยู่บนหลัง เขาจึงยืดตัวออกอย่างรวดเร็วเพื่อจับอีวอนน์ไว้ขณะที่อีวอนน์ลุกขึ้นยืนในสภาพมึนเมา แรงลากของเฟนด์ทำให้เธอล้มลงบนตัวเขาเฟนด์อยู่ระหว่างผู้หญิงสองคน ขณะที่เขาสูญเสียการทรงตัว เขาก็สะดุดล้มทับทันย่าเพราะน้ำหนักของเธอลากเขาลงไปกับเธอด้วยเธอดึงแขนของเฟนด์ด้วยความตกใจและหวาดกลัว แรงลากของเธอจึงดึงเขาลงไปพร้อมกันความตั้งใจเดียวของเขาคือการป้องกันไม่ให้ผู้หญิงทั้งสองได้รับบาดเจ็บ แต่สุดท้ายแล้ว เฟนด์ถูกคั่นกลางโดยทันย่าและอีวอนน์"โอ๊ย!"ทันทีที่ทันย่าล้มลง และเธอดึงเฟนด์เข้าหาตัวด้วย ทำให้ริมฝีปากของทั้งคู่เข้าหากันเวลาเหมือนหยุดหมุนในทันที น้ำหนักของเฟนด์ตรึงเธอไว้ เธอหน้าแดงรู้สึกหายใจไม่ออก“เอ่อ...”เขาเงยหน้าขึ้นทันทีและกำลังจะลุกขึ้นเขาลืมไปว่ามันมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น -อีวอนน์- กำลังผลักเขาลง และเขาก็ล้มลงอีกครั้งเฟนด์รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก ขณะที่เขาเพิ่งแยกริมฝีปากจากทันย่า แต่อีวอนน์ที่ล้มทับมาอีก ทำให้ริมฝีปากเข้าหากันอีกครั้งทันย่ารู้อย่างแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ แต่นั่นเป็นจูบแรกของเธอ มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
“คุณคงไม่ได้อยากให้ผมพาเธอเข้าห้องใช่ไหม?”เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ทางเข้าบ้านของตระกูลเดรค เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยสุดท้ายแล้วเขาจะอับอายมากที่สุด หากผู้คุ้มกันที่ลาดตระเวน หรือแม้แต่คนที่ยืนเฝ้าประตูเห็นเขา“ไร้สาระน่า คุณอยากให้ฉันแบกเธอไปเองเหรอ? แล้วตอนนี้เธอก็อยู่บนหลังแล้ว รีบไปพาเธอไปที่เตียงเถอะ”ทันย่ากลอกตา เธอสลัดความรู้สึกอึดอัดหลังจากที่จูบกับเฟนด์ไปไม่ได้"เดี๋ยวนะ"เมื่อสังเกตเห็นบางอย่าง เธอจึงหยิบผ้าเปียกชิ้นหนึ่งออกมาทันที “มา เดี๋ยวฉันช่วยเช็ดปากให้”เธอค่อย ๆ เช็ดปากของเฟนด์ ขณะที่พูดว่า “โอ้พระเจ้า... มีคราบลิปสติกติดอยู่” เธอหงุดหงิด “ถ้าใครสังเกตเห็น เราก็จะปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย”เฟนด์สะดุ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขอบคุณอะไรก็ตามที่ให้ทันย่าสังเกตเห็นมัน ไม่อยากนั้น ถ้ากลับบ้านไปแล้วเซเลน่าสังเกตเห็น เขาก็ไม่รู้จะอธิบายกับเธอได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงแม่ยายที่ไร้เหตุผลที่บ้านเลย เธอจะไม่บังคับให้เขาหย่ากับลูกสาวเธอทันทีเลยเหรอ?“ขอบคุณพระเจ้าที่คุณสังเกตเห็น”ขณะที่เขาจ้องมองทันย่าที่กำลังเช็ดริมฝีปากอย่างระมัดระวัง ความอับอายก็คืบคลานเข้าม
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ