“อะแฮ่ม ไม่ใช่ว่าฉันจะขาดเงินหรอกนะ แต่มันรู้สึกลำบากใจเหลือเกินที่จะพาสาวสวยอย่างพวกคุณไปช้อปปิ้งด้วย เพราะพวกคุณเป็นที่น่าสนใจมาก งั้นเราไปซื้อของกันอีกสักครึ่งชั่วโมงก็ได้!”แม้ว่าเขาจะปวดใจเพราะเรื่องเงินที่ต้องเสียไป แต่สีหน้าของของฟลินน์ก็แสดงออกอย่างไม่แยแส เขาแค่อยากถ่วงเวลาพวกเขาไปอีกสักพัก ใครจะรู้ว่าในอนาคตเขาจะได้เจอกับพวกเธออีกหรือเปล่า ถ้าพวกเธอกลับไปล่ะ? เขากำลังรอจนกว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาจะมาและฆ่าหมอนั่นซะ แล้วเขาจะได้เล่นกับพวกสาว ๆ เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยความแค้นออกมา “ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากซื้อของแล้ว กลับกันเถอะ!" อย่างไรก็ตามทันย่าและอีวอนน์ไม่ชอบเอาเปรียบคนอื่น พวกเธอทำสิ่งนั้นไปเพียงเพื่อสอนบทเรียนให้แก่ชายคนนั้น เพราะยังไงเสียพวกเธอก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน หลังจากที่พวกเธอพูดจบ ทั้งสามก็เดินไปที่ชั้นหนึ่งและออกจากห้างไป หลังจากที่ฟลินน์เดินไปที่ทางเข้า เคนและคนอื่น ๆ ก็ยังไม่มาถึง เขาวิตกกังวลจนแน่นหน้าอก บอดี้การ์ดของเขาทั้งหมดที่อยู่บนพื้น มันบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเคยทะเลาะวิวาทมาก่อนและตอนนี้พวกเขาก็ดูสิ้นหวังอย่างมาก เขาไม่ได้ตะโกนไล่ให้พวกมันออ
“ให้ปล่อยไปงั้นเหรอ? ฉันปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้หรอกเคน!” “นายสัญญาแล้วนะว่าจะช่วยฉัน นายรู้ไหม? ฉันจะให้ผู้หญิงคนหนึ่งกับนาย!” สีหน้าของฟลินน์แสดงออกอย่างป่าเถื่อนในขณะที่เขาพูดพร้อมกับยิ้ม “นายน้อยเบนอย่าพูดอะไรอีกเลย นายอยากตายงั้นเหรอ?” สีหน้าของแดนช่างมืดมนจนดูเหมือนกับเมฆพายุฝนกำลังปกคลุมอยู่ เขาส่งสายตาเยาะเย้ยใส่ฟลินน์ “อะไรนะ? ฉันอยากตาย? ฮ่า ๆ นายหมายถึงอะไร ไม่มีทาง นายเอาชนะหมอนี่ไม่ได้งั้นเหรอ!” ฟลินน์ยังคงไม่รู้ถึงสถานการณ์ เขาพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย “พวกเขากำลังบอกให้แกหุบปาก ไม่ได้ยินงั้นเหรอ?” เฟนด์ไม่อยากโต้เถียงเรื่องไร้สาระกับหมอนี่ เขาเตะเท้าลงบนพื้นและพุ่งไปข้างหน้า วินาทีถัดมาเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าฟลินน์เสียแล้ว เขาหันหลังให้กับชายอีกคน ปั๊ก! ฟลินน์กระเด็นถอยหลังและล้มลงกับพื้นอย่างแรง! เลือดทะลักออกมาจากปากและฟันหักไปหลายซี่ “ก-แกกล้าต่อยฉันเหรอ?” ฟลินน์โกรธมากจนหน้าซีดไปหมด “คุณทันย่าผมขอโทษด้วยจริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกพี่ลูกน้องของผมมาที่อาณาเขตกลาง เขาเลยหลงทางนิดหน่อยผมหวังว่าคุณจะเมตตาเขา” สีหน้าของเคนมืดลงเขาปาดเหงื่อเย็นออกจากหน
“ได้เลยคุณทันย่า!” เฟนด์พยักหน้า ยังไงซะไอ้สารเลวนี่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาโกรธแค่ครั้งเดียวก่อนหน้านี้ นอกจากนี้มันยังกล้าทำให้ทันย่าขายหน้า มันคงไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะปล่อยให้มันลอยนวล“แกไม่กล้าหรอก! ฉันจะบอกให้นะ ฉัน ฟลินน์ และตระกูลของฉันก็เป็นถึงตระกูลชนชั้นสองในเมืองโลน ครอบครัวชนชั้นสองของเราแข็งแกร่งกว่าพวกคุณทุกคนที่นี่ บอดี้การ์ดห้าอันดับแรกของตระกูลเบนก็ทรงพลังมากด้วยเช่นกัน!” “ ‘ทรงพลัง’ ของนายมันก็เพียงความมั่งคั่งและทรัพย์สินของนายเท่านั้น นักสู้ของนายอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่าพวกเราก็ได้!” ฟลินน์ตกใจกลัวไปถึงกระดูกเมื่อเห็นเฟนด์เดินมา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันและข่มขู่ “เฮ้ นายนี่กล้าหาญจริง ๆ ที่ขู่เรา แทนที่จะร้องขอชีวิตในตอนนี้!” เฟนด์หัวเราะและก้าวไปข้างหน้า เขาคว้าแขนฟลินน์ขึ้นมาและคว้ามันไว้แน่น “กร๊อบ!” การเคลื่อนไหวของเฟนด์ดูสบาย ๆ แต่เสียงกระดูกหักดังออกมาอย่างชัดเจน “แก…” ในความคิดของฟลินน์ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเฟนด์ซึ่งเป็นแค่บอดี้การ์ดจะกล้าทำอะไรแบบนี้กับเขา ความเจ็บปวดทำให้หน้าเขาซีดจนไม่มีสีและเขาก็หมดสติไปทันที ความน่ากลัวนี้ทำให้เคนแ
ไม่นานเคนก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้หรอก ทำไมหมอนั่นถึงได้ทำตัวจนขนาดนั้นล่ะถ้าเขามีเงินพันล้านจริง ๆ?” “ฉันก็ไม่รู้ คนบางคนชอบทำตัวติดดินบ่อย ๆ หรือบางทีเขาอาจแค่ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเกินไป!” หลังจากที่แดนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็อธิบายออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นายน้อยคลาร์ก ฟังฉันนะเซเลน่า เทย์เลอร์นั้นสวยก็จริง แต่คุณหาผู้หญิงคนอื่นไม่ได้เหรอด้วยเงินที่คุณมี? คุณไม่ควรทำให้เฟนด์โกรธไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม! เข้าใจไหม?” “หุบปาก! หยุดบ่นฉันเหมือนนายเป็นแม่ของฉันซะที!” เคนตะโกนอย่างโกรธจัดรู้สึกไม่พอใจมาก เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเฟนด์จะทำตัวติดดินขนาดนี้ ทั้งที่เขามีเงินมากขนาดนั้นและยังเป็นนักสู้ที่มีฝีมือ จริงสิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นผู้บัญชาการหรือมียศอะไรสักอย่างในกองทัพนี่ นอกจากนี้ถ้าหมอนั่นเป็นผู้บัญชาการขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ? แต่ยังไงเขาก็ต้องตายอยู่ดีถ้าเขามายั่วโมโหคนอย่างเคน คลาร์ก ตอนนี้เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกังวล เขาเชื่อว่าเรื่องของเฟนด์จะคลี่คลายเมื่อวันเกิดของนายใหญ่เทย์เลอร์มาถึง เขาจะต้องถูกไล่ออกจากตระกูลเทย์เลอร์ แต่ถ้า
ปากของเฟนด์บิดเป็นรอยยิ้มขมขื่นเมื่อเขาเห็นแว่นกันแดดบนใบหน้าของพวกเธอ “นายรู้อะไรไหม? เราต้องการปกปิดตัวตนของเราไว้เป็นความลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาวคนที่สองที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ของนายท่านเดรค ทันย่าจะถูกคนภายนอกพบเห็นได้ง่ายเมื่อออกไปข้างนอก!” อีวอนน์พูดโพล่งออกมา “ไม่ต้องห่วง! ต่อให้มีคนจำคุณได้แต่คุณจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับผม!” เฟนด์ถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่บนสันจมูกของพวกเธอออก “ตอนนี้คุณดูดีมากกว่าเดิมอีก!” เขาชมเชย แก้มของพวกเธอเปลี่ยนเป็นสีชมพูทันทีเมื่อได้ยินคำชม “ฮืมม! ฉันไม่นึกว่านายจะรู้จักวิธีชื่นชมความงามของพวกเราด้วย!” อีวอนน์รู้สึกไม่มั่นใจนิดหน่อยเมื่อความทรงจำของเธอย้อนกลับไปในวันที่เฟนด์บอกเธอว่า เธอสวยไม่เท่าภรรยาของเขา “ผมก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน จริง ๆ แล้วผมก็รู้จักวิธีชื่นชมสิ่งสวยงามนะ!” เฟนด์ฝืนยิ้มและพูดต่อ “ไปกันเถอะ! เราจะไปทานอาหารเย็นกันที่ไหน? โรงแรมหกดาวที่ไหนดี?” อีวอนน์และทันย่าสลับกันมองตาและหัวเราะอย่างลึกลับ “ครั้งนี้เราจะพาคุณไปร้านอาหารริมถนนกินกุ้งกับหอยขมและจิบเบียร์เย็น ๆ เป็นไงฟังดูดีไหม?” ทันย่าตอบด้วยรอยยิ้มร่าเริง “พูดง
“โอ้ ตายแล้ว! ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันนานเลยนะเนี่ย! เป็นเกียรติมากที่คุณมาที่ร้านแผงลอยของฉัน!”เจ้าของร้านหัวล้านเดินเข้ามาหาทันย่าและอีวอนน์ด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นพวกเธอจากที่ไกล ๆ เจ้าของร้านดูใจดีเป็นพิเศษ!“มานี่สิ ตรงมุมห้องว่าง มันเป็นที่โปรดของคุณ!”เจ้าของร้านหัวเราะคิกคักขณะที่เขาลูบหัวแต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นการปรากฏตัวของเฟนด์ “เฮ้ คุณทันย่า ผู้ชายคนนี้เป็นแฟนของคุณเหรอ? เขาดูดีและมีจิตใจที่เป็นลูกผู้ชายมาก” เขาถาม “โอ้ ดูรูปร่างที่แข็งแกร่งของเขาสิ! ดูเหมือนชายหนุ่มคนนี้เคยเป็นทหารมาก่อนใช่ไหม?” เขาพูดต่อคุณทันย่าค่อนข้างรวยตามความทรงจำที่บันทึกไว้ในสมองของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทกับสาวสวยสองคนนี้แต่พวกเธอก็เคยมาทานอาหารเย็นพร้อมกับบอดี้การ์ดเจ็ดถึงแปดคนอยู่ข้าง ๆ บอดี้การ์ดเหล่านั้นจะรอพวกเธออยู่ที่ริมถนนด้านนอกยิ่งกว่านั้นสาวสวยสองคนนี้มาที่ร้านของเขาหลายครั้งแล้วแต่พวกเธอไม่เคยพาใครมาที่นี่เลยนี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าของร้านเห็นทั้งสองคนพาชายคนหนึ่งมา และบังเอิญว่าเฟนด์ยืนอยู่ข้าง ๆ ทันย่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นน้อยมาก ดังนั้นเจ้าของร้า
มุมปากของทันย่ายกขึ้นรอยยิ้มของเธอช่างสวยงามและน่ารัก! นับตั้งแต่ที่ทั้งสองมาถึงลูกค้าจากโต๊ะอื่นก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองมาที่พวกเธอบางคนไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนอกจากอิจฉาเฟนด์ที่มีโอกาสได้ดื่มกับผู้หญิงที่มีเสน่ห์สองคนนั้น มันคงจะมีความสุขมากเลยในชีวิตถ้ามีสาวสวยสองคนนั่งดื่มกับพวกเขา!อีกอย่างถ้าสาวสวยทั้งสองเมา เฟนด์อาจจะมีโอกาส... แค่คิดถึงมันก็ทำให้เซลล์ในร่างกายของพวกเขากรีดร้องและพุ่งสูงขึ้นอย่างตื่นเต้น!ผ่านไปครู่หนึ่งเจ้าของร้านก็นำกุ้งและหอยขมชามใหญ่มาให้ และสั่งให้พนักงานเสิร์ฟสองคนคอยบริการพวกเขาตลอดทั้งคืน เขานำเบียร์สดเย็น ๆ เก้าแก้วมาให้ด้วย!แก้วเบียร์พวกนี้ไม่ใช่แก้วธรรมดาเพราะมันใหญ่กว่าปกติและบรรจุเบียร์ได้เกือบสองขวดครึ่ง ถ้าใครดื่มหมดแก้วได้จะถือว่าแข็งแกร่ง!“มาเถอะ เฟนด์สุดหล่อ นายกล้าดื่มแข่งกับฉันไหม?”“ฉันได้ยินบ่อย ๆ ว่าทหารผ่านศึกอย่างนายเป็นนักดื่มที่ดีและกล้าหาญ! เป็นเพราะร่างกายที่แข็งแกร่งและมีกำลังของนายหรือเปล่า?”อีวอนน์ค่อย ๆ ยกแก้วเบียร์ของเธอขึ้นแล้วจิบช้า ๆ “ฉันอาจจะต่อสู้ได้ไม่เก่งเท่านาย แต่การดื่ม? ฉันกลัวว่านายจะอ่อนกว่าฉันมาก!” เธอล้อเลียนข
“อย่ากังวลไปเลย ผมมั่นใจในตัวเอง! คนที่ทำให้ผมเมาได้ยังไม่เกิดหรอก!”เฟนด์ตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอ่อนโยนและนุ่มนวล“ก็ได้ พวกนายดื่มไปกันเถอะ ฉันจะโทรหาฮาร์วีย์และคนอื่น ๆ ให้มารับเรา ถ้าคุณเมาแม้ที่นี่จะอยู่ไม่ไกลมากนักแต่ก็ควรระวังตัวไว้ดีกว่า!”ทันย่าถอนหายใจอย่างขมขื่นหลังจากนึกถึงสถานการณ์บางอย่าง“เอาล่ะ มาดื่มกันเถอะ! ทันย่า มีแต่ของที่เธอชอบทั้งนั้นเลย!”แกร๊ง!อีวอนน์ยกแก้วเบียร์ของเธอขึ้นและชนแก้วกับเฟนแล้วยิ้มบาง ๆหลังจากนั้นเธอก็หยิบเงินออกมาอีกสี่ร้อยเหรียญและพูดกับพนักงานเสิร์ฟสองคนข้าง ๆ โต๊ะว่า “มานี่หน่อย นี่เป็นทริปสำหรับนายสองคนคนละสองร้อย! แต่พวกนายจะต้องรับรองว่าว่าแก้วของพวกเราจะเต็มไปด้วยเบียร์ นายต้องเติมทันทีหลังจากที่เราดื่มมันหมด เข้าใจไหม? ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”พนักงานเสิร์ฟสองคนตรงหน้าอีวอนน์ไม่คิดว่าเธอจะใจดีขนาดนี้ พวกเขาแทบจะซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่มิด พวกเขาพยักหน้าทันทีหลังจากที่อีวอนน์พูดจบ “ไม่มีปัญหาครับคุณหนู! เราจะไม่ปล่อยให้แก้วว่างแน่นอน!”จากนั้นพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งก็ดันถังเบียร์ขนาดใหญ่ไปวางไว้ข้างโต๊ะของอีวอนน์ “ตอนนี้คุณมั่นใจได้เลย
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ