เฟนด์จ้องมองไปยังนักรบแห่งสุญญะเบื้องหน้าด้วยความตื่นตระหนก นักรบแห่งสุญญะยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยในขณะที่เขายื่นมือออกมา คลื่นพลังงานสีดำอมเทาที่ดูราวกับหมอกรวมตัวกันอย่างช้า ๆ ในฝ่ามือของเขา เฟนด์คุ้นเคยกับคลื่นพลังงานนี้ เขามีประสบการณ์จากในอดีตหลายต่อหลายครั้งและตระหนักว่านี่คือพลังงานที่เหล่าผีดิบปลดปล่อยออกมาหลังจากที่พวกมันถูกฆ่าเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานดังกล่าว ร่างกายของเขาก็รู้สึกโหยหามันเป็นอย่างมากและรู้สึกว่าพลังงานเหล่านี้คืออาหารที่ดีที่สุดในโลก ตอนนี้ คลื่นพลังงานหมุนวนรวมตัวกันที่ฝ่ามือของนักรบแห่งสุญญะ มันประกอบไปด้วยคลื่นพลังงานจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบคลื่น หัวใจของเฟนด์เต้นแรงในขณะที่เขาเกิดคำถามว่านักรบคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่พลังงานเหล่านั้นยังคงรวมตัวกันไม่ต่างไปจากลำธารที่ไหลลงสู่แม่น้ำในฝ่ามือของนักรบแห่งสุญญะหลังผ่านไปห้าอึดใจ ผลึกสีน้ำตาลแดงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเฟนด์ เฟนด์อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อได้เห็นลักษณะของผลึกดังกล่าว “ผลึกวิญญาณสลาย?”นี่คือผลึกวิญญาณสลาย ขนาดเท่ากับสองหัวแม่มือ ผลึกทั้งหมดเป็นสีแดงและดูเหมือนชิ้นส่วนของหย
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแตกดังมาจากผลึกวิญญาณสลาย และรอยแตกก็เริ่มปรากฏขึ้นบนผลึกดังกล่าว รอยแตกขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์และในไม่ช้าก็ครอบคลุมผลึกทั้งหมด ผลึกดังกล่าวดูคล้ายกับว่าจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อและพลังงานอันล้ำค่าที่เก็บไว้ภายในจะถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง การตอบสนองของทั้งชายสวมหน้ากากและเลนนอนคือตั้งสติให้มั่น พวกเขาถอยหลังไปสองก้าวและจับอาวุธให้แน่นอีกครั้งเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน สำหรับพวกเขาแล้ว ผลึกดูคล้ายกับจะให้รางวัลแก่ผู้ที่สามารถผ่านหุบเหวแห่งสุญญะได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของพวกเขาและไม่มีใครมั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์จากสำนักวายชนม์ที่ดูหวาดหวั่นแล้ว ปฏิกิริยาของเกรแฮม และเบนจามินค่อนข้างสงบกว่าเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะจ้องมองที่ผลึกวิญญาณสลายซึ่งค่อย ๆ แตกออกอย่างระมัดระวัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวมัน เฟนด์เป็นคนเดียวที่มองผลึกวิญญาณสลายด้วยท่าทางกลัดกลุ้มและวิตกกังวล หลังจากที่ผลึกวิญญาณสลายแตกออก พลังงานจะถูกปลดปล่อยออกมาในทันที หากเขาไม่อาจดูดซับพลังของมันได้ พลังงานวิญญาณอันมีค่าและบริสุทธิ์
เฟนด์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นเพียงวิธีปกติในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะพลังยุทธของเขา และไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์เช่นนี้อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาถูกบีบอัดในขณะที่เขาดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมหาศาลเหล่านี้ เป็นผลให้ใบหน้าเขาซีดและอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากได้รับบาดเจ็บภายใน ถึงกระนั้นสำหรับเฟนด์สิ่งนี้เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้รับศิษย์ของสำนักสหัสบรรณจ้องตรงไปที่หุบเหวแห่งสุญญะและแสดงความคิดเห็นเบา ๆ "ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ออกมา? พวกเขาถูกย้ายไปยังอีกโลกหนึ่งหลังจากที่พวกเขาผ่านการทดสอบหรือเปล่า พวกเราถูกกำจัดแล้ว พวกเราอาจจะไม่สามารถเห็นได้ว่าพวกเขาผ่านการทดสอบที่กำลังจะมาถึงได้อย่างไร”ศิษย์ทั้งห้าในโลกสีโลหิตเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว และนักรบแห่งสุญญะทั้งสี่ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาก็หายไป นั่นหมายความว่าทุกคนผ่านการทดสอบแล้ว ถึงกระนั้น กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่บนหุบเหวแห่งสุญญะในตอนแรก ซึ่งนั่นสร้างความงุนงงให้กับทุกคนเป็นอย่างมากเนื่องจากทุกคนที่ถูกกำจัดจะถูกย้ายจากโลกโลหิตกลับไปยังหุบเหวแห่งสุญญะ เมื่อ
ชายสวมหน้ากากถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน และซาเมียนก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เบนจามิน เกล และเกรแฮม เอเลียตจากสำนักสหัสบรรณผ่านการท้าทายมาแล้ว เกรแฮมแข็งแกร่งกว่ามากและใช้เวลาน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเบนจามิน”ชายสวมหน้ากากหันไปทางจุดที่เบนจามินอยู่และสังเกตว่าเขาหน้าซีดเล็กน้อย เบนจามินกลืนโอสถลงคอในขณะที่เขาจดจ่อกับการฟื้นฟูพลังงานที่แท้จริงของเขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนใช้พลังงานที่แท้จริงไปมากเมื่ออยู่ในโลกโลหิต"แล้วมีใครอีก?" ถามชายสวมหน้ากากอีกครั้งซาเมียนกระแอมเบา ๆ ขณะที่สีหน้าของเขาแข็งกร้าว เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก “มี…ศิษย์พี่เลนนอนจากสำนักของเรา แล้วก็…คุณ” ซาเมียนพูดตะกุกตะกัก และชายสวมหน้ากากก็หันกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจซาเมียนฝืนยิ้ม ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าของซาเมียน เขารู้สึกงงงวยเป็นอย่างมาก “ทำไมทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้? บอกฉันมาตรง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น พูดจาตะกุกตะกักทำไม?”จากนั้นก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัวของชายสวมหน้ากาก เขาเอ่ยถามออกไปว่า "นายพูดถึงพวกเราแค่สี่คนเท่านั้น แล้วใครคือคนที่ห้า?"ในที่สุดชายสวมหน้า
ในตอนที่อยู่ในนั้นเขาต่อสู้อย่างหนัก และใช้พลังที่แท้จริงไปเกือบหมดเพื่อฆ่าเหล่าผีดิบพวกนั้นลง ทุกคนกำลังประสบปัญหาเดียวกันเบนจามินมาจากสำนักเดียวกับเกรแฮม และเกรแฮมเคยถามเขาด้วยว่าเขาผ่านเวลาช่วงสุดท้ายมาได้อย่างไรหลังจากที่พวกเขาถูกย้ายกลับกลับมายังหุบเหวแห่งสุญญะ ท้ายที่สุด การต่อสู้กับผีดิบจำนวนมากทำให้พลังงานที่แท้จริงของพวกเขาหมดลงและทำให้พวกเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงหลังจากสอบถามรายละเอียดกับเบนจามิน เกรแฮมได้ข้อสรุปว่าไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในระดับแรกกำเนิด พลังงานที่แท้จริงของพวกเขาก็จะต้องถูกรีดใช้ไปจนหมด เหนือสิ่งอื่นใด ความเร็วในการสังหารของพวกเขาก็สัมพันธ์โดยตรงกับความแข็งแกร่งของพวกเขาด้วย ยิ่งพวกเขาฆ่าพวกมันไปได้มากเท่าไร ผีดิบก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้พวกเขายิ่งต้องใช้พลังงานของตัวเองมากขึ้นตามไปด้วย คู่ต่อสู้ที่ไม่แข็งแกร่งจะฆ่าศัตรูด้วยความเร็วที่ช้ากว่า และการโจมตีของผีดิบก็จะอ่อนแอกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักวายชนม์และตัวเขาเองนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทุกคนในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาฆ่าศัตรูได้เร็วที่สุด และผีดิบในพื้นที่ของ
จู่ ๆ เบนจามินก็เข้าร่วมวงสนทนาเกรแฮมมองไปและเห็นว่าเบนจามินก็จมอยู่ในความคิดของตัวเองขณะที่เขามองไปที่เฟนด์เช่นกัน เขารู้ว่าเบนจามินกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเองก็ได้สัมผัสกับการต่อสู้กับผีดิบหนึ่งร้อยยี่สิบตัวมาแล้ว และเกือบจะล้มเหลวในท้ายที่สุด บาดแผลของเบนจามินรุนแรงกว่าตัวเขา เช่นนั้นเขาถึงได้สับสนกับสภาพในปัจจุบันของเฟนด์"ฉันเข้าใจแล้ว!" ทันใดนั้น ชายสวมหน้ากากซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควรก็พูดขึ้น แววตาที่คำนวณแวบหนึ่งฉายผ่านดวงตาของเขา และดูเหมือนว่าเขาได้รับคำตอบในคำถามที่ยากที่สุดในชีวิตของตัวเองแล้ว เขาพูดเสียงดัง แล้วเมื่อตำแหน่งของเขาปรากฏต่อสายตาของทุกคน เขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันทีด้วยเสียงอุทานอันอึกทึก ซึ่งแม้แต่เฟนด์ก็มองตามเสียงนั้นไป ชายสวมหน้ากากเยาะเย้ยก่อนที่จะหรี่ตาลง “นายกำลังฝึกฝนทักษะทางธาตุวิญญาณใช่ไหม?!” ชายสวมหน้ากากเอ่ยท้าทาย น้ำเสียงดูมั่นใจในตัวเองมากหลาย ๆ คนในขณะนั้นตระหนักว่าเฟนด์ได้บ่มเพาะทักษะทางธาตุจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาเห็นการโจมตีของเฟนด์ ชายสวมหน้ากากและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เฟนเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นคล้อยตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เฟนด
"ถูกต้อง เขาโชคดี! ถ้าเฟนด์ไม่ฝึกฝนทักษะยุทธคุณสมบัติทางธาตุวิญญาณ ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องล้มเหลวในบททดสอบและถูกกำจัด!"“เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะผ่านการทดสอบไปพร้อมกับอีกสี่คนที่เหลือ!”"จริงด้วย! ผู้ชายคนนี้โชคดีจริง ๆ ถ้าทักษะของเขาไม่สามารถปราบผีดิบได้เขาจะผ่านการทดสอบไปได้ยังไง?!"หลายคนเริ่มกังขา พวกเขามองเฟนด์ราวกับเขาเป็นแค่ผู้ชายที่ถูกรางวัล พวกเขาชื่นชมยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จด้วยพลังที่แท้จริงของพวกเขา แต่ดูหมิ่นและกังขาในตัวเฟนด์ ทำไมเขาถึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับยอดฝีมืออีกสี่คนได้? ที่สำคัญที่สุด ผู้ชายคนนี้อยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เหตุใดเขาจึงประสบความสำเร็จ ในเมื่อพวกเขาซึ่งเป็นคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดไม่สามารถทำได้กริฟฟินรู้สึกแย่มากราวกับได้กินของขมไปเป็นกิโลกรัม ก่อนที่ชายสวมหน้ากากจะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ความคิดที่ว่าเฟนด์แข็งแกร่งกว่าเขาทำให้เขาทรมานใจ แต่ถึงกระนั้นเขากลับยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีกหลังจากได้ยินคำอธิบายดังกล่าว เนื่องจากเฟนด์สามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพราะโชคช่วยไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งกว่ากริฟฟินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฟ
เฟนด์หันกลับมาและไม่ตอบ ไม่ว่าชายสวมหน้ากากจะพูดอะไร เขาก็ทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่สำคัญด้วยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรมากมายขนาดไหนยิ่งไปกว่านั้นเฟนด์ยังตั้งตารอด่านทดสอบสุดท้ายอีกด้วย นี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้ดูดกลืนพลังจากผลึกวิญญาณสลายในโลกโลหิต เขาอาจเทียบไม่ได้กับชายสวมหน้ากาก แต่ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างออกไปแล้ว ผลึกวิญญาณสลายช่วยให้เฟนด์สามารถสร้างดาบวิญญาณเพิ่มขึ้นได้ยี่สิบเล่ม เมื่อรวมกับดาบวิญญาณที่มีอยู่เดิมสิบห้าเล่ม เขามีดาบวิญญาณทั้งหมดสามสิบห้าเล่ม ซึ่งทำให้เขาไม่กลัวการถูกข่มขู่จุดที่จะทำให้เขาอยู่ในระดับเชี่ยวชาญในทักษะทลายห้วงสุญญะคือเมื่อเขาสามารถสร้างดาบวิญญาณได้ห้าสิบเล่ม ในช่วงที่ผ่านมา เป้าหมายดาบวิญญาณของเขาอยู่ห่างออกไปเพียงสิบห้าเล่มจากจำนวนดาบวิญญาณห้าสิบเล่ม เมื่อเขาสามารถสร้างดาบวิญญาณได้ห้าสิบเล่ม คู่ต่อสู้ในระดับแรกกำเนิดก็จะเทียบอะไรเขาไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วทักษะทลายห้วงสุญญะก็เทียบเท่ากับระดับเทพสูงสุดเป็นอย่างน้อย และนอกจากเฟนด์แล้วก็ไม่มีใครในระดับแรกกำเนิดที่สามารถฝึกฝนทักษะยุทธในระดับเทพสูงสุดได้ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขอ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ