กริฟฟินโบกแขนเสื้อของเขา ถ้าไม่มีใครยืนขวางทางเขาอยู่ เขาคงรีบวิ่งไปคว้าคอเสื้อของเฟนด์แล้วตบเขาสักสองสามครั้ง “อย่าคิดว่าการที่นายต่อว่าฉันหลายต่อหลายครั้งแล้วฉันจะยอมอยู่เฉยเหรอ?! แม้ว่านายจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ แต่ในสายตาของศิษย์ที่ถูกเลือกอย่างเรานายไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าฉันอยากจะฆ่านายขึ้นมาก็ทำได้ไม่ยากเลยด้วยซ้ำ!”กริฟฟินกัดฟันพูด ราวกับจะกลืนเฟนด์เข้าไป เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา กริฟฟินนี่โง่จริง ๆ เขาพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ยังไง? การฆ่าศิษย์ร่วมสำนักถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง และผู้กระทำความผิดจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงไม่ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม แต่กริฟฟินกับพวกพูดออกมาเสียหมดเปลือกแน่นอนว่าสีหน้าของเนลสันมืดลงเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่กริฟฟินพูด จู่ ๆ เขาก็หันไปมองอีกฝ่ายและพูดอย่างดุเดือดว่า “ศิษย์น้องกริฟฟิน ได้ฟังสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาบ้างหรือเปล่า?! นายพูดถึงการฆ่าศิษย์น้องร่วมสำนักของนายแบบนี้ได้ยังไง?! ถ้านายมีความขัดแย้งอะไรกับศิษย์น้องเฟนด์นายก็พูดมาตรง ๆ เลย! นายจะต่อสู้และฆ่าศิษย์ร่วมสำนักของนายทั้งที่ตอนนี้เราอยู่ในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามได้ยังไงกัน?
เฟนด์นิ่งเฉยโดยไม่สนใจการจ้องมองของกริฟฟิน เขาหันหลังกลับและปฏิเสธที่จะหันไปมองอีกฝ่ายก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าสองก้าวเข้าไปยังบริเวณรอบนอกจุดที่ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์รวมตัวกันอยู่ เขาไม่ได้ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้และต้องการเพียงรออย่างสงบเพื่อให้หุบเหวแห่งสุญญะเปิดใช้งาน เหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้เกิดอารมณ์มืดมนในหมู่ศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์เนลสันซึ่งเก่งที่สุดในบรรดาศิษย์มองไปที่เฟนด์ก่อนที่เขาจะหันไปยิ้มให้คนอื่น ๆ "เสียงนั้นกำลังหมายความว่ายังไงที่บอกว่าทักษะยุทธใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพลังงานที่แท้จริงจะถูกระงับ?"ฝูงชนเข้าร่วมการสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเนลสันเปลี่ยนหัวข้อ ฮาวเวิร์ดน้องชายของกริฟฟินกล่าวว่า "แสดงว่ามันไม่น่าจะซับซ้อนอะไร เสียงนั่นกำลังบอกเราว่าเมื่อเราย่างกรายเข้าไปยังหุบเหวแห่งสุญญะ ทักษะยุทธที่เรามีจะถูกระงับ! ซึ่งหมายความว่าเราจะต่อสู้กับนักรบแห่งสุญญะด้วยความยากลำบาก”เนลสันหัวเราะเบา ๆ และส่ายหน้า “ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็น่าจะบอกว่าเราจะถูกขัดขวางเมื่อเราปีนขึ้นไปบนหุบเหวแห่งสุญญะสิ ทำไมเขาต้องกล่าวว่าทักษะยุทธที่ต้องใช้พลังงานท
เนลสันชำเลืองมองเฟนด์ด้วยความสับสนก่อนจะพูดว่า "ผมล่ะสงสัยจังว่าคุณมีธุระอะไรถึงมาหาเราถึงที่นี่?"ธีโอเย้ยหยันอย่างเย็นชา เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พยายามจะยั่วโมโหเขา เขามองไปที่เฟนด์และพูดว่า "ศิษย์น้องเฟนด์ นายรู้ไหมว่าศิษย์น้องแฟรงก์ของเราเสียชีวิตแล้ว"เฟนด์ยิ้มเยาะในใจ ตอนแรกเขาคิดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อการอื่น แต่ดูเหมือนว่านี่จะเกี่ยวข้องกับการตายของแฟรงก์เท่านั้น เฟนด์พยักหน้าโดยไม่ลังเล “ผมรู้ และเห็นเขาตายกับตาตัวเองด้วย แต่มันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ? ผมไม่ได้เป็นคนฆ่าเขาสักหน่อย”เอดริกดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดตัวเองไว้ทันทีธีโอเย้ยหยันกับสิ่งที่ได้ยิน “ผิดแล้ว ไม่มีใครเห็นเลยว่าศิษย์น้องแฟรงก์เสียชีวิต และนายเป็นคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดตอนที่เกิดเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น นายสองคนมีปัญหากัน และการที่นายบอกว่าการตายของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับนายนั้นคงไม่มีใครโง่พอจะเชื่อ”การแสดงออกของเฟนด์แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ธีโอพูด เขากำลังหมายความว่ายังไง? เขาพยายามที่จะป้ายความผิดให้เขางั้นหรือ?! เฟนด์รู้ว่าแฟรงก์เสียชีวิตอย่างไรเนื่องจากแฟรงก์เป็นคนวิ่งเข้าหาปัญหา
“ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักหนีเอาตัวรอดทั้งนั้น จากที่คุณพูด คุณกำลังจะหมายความว่าศิษย์น้องของผมไม่ควรหนีหรือ? เขาควรตายพร้อมกับแฟรงก์หรืออย่างไร? ไม่คิดสักหน่อยหรือว่าสิ่งที่คุณพูดมันฟังดูไม่เข้าท่า?”เนลสันกล่าวถึงการจงใจหาเรื่องของธีโออย่างตรงไปตรงมา ทำให้ธีโอมีสีหน้าบูดบึ้งเขาเย้ยหยันและพูดในขณะที่เชิดคางขึ้น "คิดว่าไม่มีใครเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นเหรอ? ฉันตั้งใจไปถามศิษย์ของสำนักสหัสบรรณอย่างเฮลธ์ เวย์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว เขาเห็นกับตาว่านายมีโอกาสที่จะรับมือกับการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามก่อนที่นายจะหลบหนี แต่นายก็ไม่ทำ นายทิ้งศิษย์น้องแฟรงก์ไว้ที่นั่นปล่อยให้เขารับการโจมตีซึ่งทำให้เขาต้องเสียชีวิต ในขณะที่นายหนีไปได้!"มุมปากของเฟนด์กระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เฟนด์โกรธมากจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่เขาทำล้วนสมเหตุสมผลอย่างแน่นอนเฟนด์กำลังจะปฏิเสธในตอนที่กริฟฟินพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน "ศิษย์น้องเฟนด์ สิ่งที่นายทำมันไม่ถูกต้องเอาซะเลยนะ ในเมื่อนายทำแบบนี้เพราะต้องการจะหนีแล้วไปใส่ร้ายคนอื่นเขาได้ยังไง?"เฟนด์หันหน้าไปมองที่กริฟฟินอย่างเย็นชา กริฟฟินมองกล
การที่กริฟฟินพูดโพล่งขึ้นว่าครั้งหนึ่งเฟนด์เคยใส่ร้ายเขา ทำให้คนอื่น ๆ เข้าใจผิดไปในทันทีว่าเฟนด์เคยทำเช่นนี้ในอดีตเฟนด์เลิกคิ้วขึ้น “ศิษย์พี่กริฟฟิน ผมประทับใจจริง ๆ ที่คุณกุเรื่องขึ้นมาได้ง่ายดายแบบนี้ ในเมื่อคุณบอกว่าผมใส่ร้ายคุณ ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยบอกทุกคนได้ไหมว่าผมกุเรื่องอะไรขึ้นมา และใส่ร้ายคุณได้ยังไง?”เนลสันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าหากเขาปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปเช่นนี้ มันจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อทั้งเฟนด์และตำหนักสองกษัตริย์ดังนั้นเขาเราจึงต้องยื่นมือออกไปช่วยและหยุดไม่ให้เฟนด์พูด ก่อนที่จะหันไปหากริฟฟิน จากนั้นเขาก็เตือนกริฟฟินด้วยสีหน้าเย็นชา "ศิษย์น้องกริฟฟิน ระวังคำพูดของนายด้วย ในเมื่อเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาย ก็ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฉันและศิษย์น้องเฟนด์เถอะ"กริฟฟินไม่พูดอะไรก่อนหน้านี้เพราะเขากลัวเนลสันและกลัวจะถูกสำนักลงโทษ แต่การที่เขาแสดงความคิดเห็นออกมามันไม่ได้มีความหมายอะไร ณ จุดนี้ เนื่องจากเฟนด์ทำให้คนนอกขุ่นเคืองและมาหาเรื่องเฟนด์ถึงที่ ต่อให้ผู้ปกครองระดับสูงขอสำนักจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาทำ แต่เขาก็ยังปกป้องตัวเองได้ด้วยการบอกว่าเฟ
เรื่องทั้งหมดนี้ผิดปกติไปหมดทันใดนั้นเฟนด์ก็เงยหน้าขึ้นและพูดกับธีโอว่า "คุณบอกว่าศิษย์พี่เฮลธ์เห็นเรื่องทุกอย่างกับตาตัวเองเลยใช่ไหม? เขาไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและได้บอกทุกอย่างกับคุณแล้ว ผมพูดถูกหรือเปล่า?"ธีโอจ้องมองไปรอบ ๆ แต่ในไม่ช้าเขาก็สงบลงและพยักหน้า “ก็จริงน่ะสิ ศิษย์น้องเฮลธ์รู้สึกว่านายทำเกินไป ไม่มีใครยอมรับการกระทำที่น่ารังเกียจแบบนั้นได้ เขาถึงได้บอกทุกอย่างกับฉันอย่างหมดเปลือก! อย่ามาอ้างเลยว่าศิษย์น้องเฮลธ์ไม่เห็นอะไร ถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาจะถูกทำร้ายอย่างหนัก แต่เขาไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรขนาดนั้น คนอื่น ๆ ต่างจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของตัวเอง แต่เขามีเวลาสังเกตทุกคนในตอนนั้น เขาถึงได้เห็นว่านายน่ารังเกียจขนาดไหน!"ธีโอเชิดหน้าและยืดอกขึ้นในขณะที่เขาพูดอย่างชอบธรรม ราวกับว่าเขาเป็นผู้ส่งสารแห่งความยุติธรรมที่กำลังตำหนิคนร้ายกาจอย่างน่ารังเกียจไร้ยางอายอย่างเฟนด์เฟนด์กลั้วหัวเราะ ก่อนจะเริ่มหัวเราะเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ธีโอพูด การกลั้นหัวเราะของเฟนด์ดูไม่ต่างจากเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นเขามองไปยังจุดที่ศิษย์ของสำนักสหัสบรรณรวมตัวกันอยู่เ
เฮลธ์ไม่มีทางลุกขึ้นมาทวงความชอบทำให้กับแฟรงก์ได้เหมือนกับที่ธีโอพูด เนื่องจากเฮลธ์เองก็เกลียดชังแฟรงก์ไม่ต่างกัน ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้เฟนด์นึกขำไปยิ่งกว่าเดิม เขาจำได้ว่าเฮลธ์ได้รับบาดเจ็บจากชายสวมหน้ากากจนลุกไม่ไหว แล้วในตอนนั้นเขาจะยังมีอารมณ์สนใจสถานการณ์ของคนอื่นอีกหรือ?แม้ว่าเฟนด์จะง่วนอยู่กับการต่อสู้ในเวลานั้น แต่เขาก็ยังให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงรอบตัว การที่เฮลธ์เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูคล้ายจะเป็นเรื่องโกหก! จริงอยู่ที่คนอื่น ๆ ต่างก็หมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ของตัวเอง แต่ธีโอสามารถอธิบายการต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง หมายความว่ามีคนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับธีโอ แต่คน ๆ นั้นไม่ใช่ทั้งเฮลธ์และเอดริก!จู่ ๆ เฟนด์ก็เงยหน้าขึ้นมองธีโอแล้วยิ้มอย่างเย็นชา เขาเอ่ยปากพูดว่า "ผมประทับใจนะ! คุณทำแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อแฟรงก์เป็นศิษย์น้องที่มาจากสำนักเดียวกันกับคุณ?... "ธีโอตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และผู้คนรอบข้างก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดจ้องมองที่เฟนด์ด้วยความไม่เชื่อกริฟฟินพูดด้วยใบหน้านิ่ว “นี่นายกลัวจนเสียสติไปแล้วหรือไง?”จู่ๆ เฟนด์ก็หันกลับไปมองที่กริฟฟิน “ถ้าเรื่องนี้เ
เฟนด์หยุดชั่วคราวหลังจากที่เขาพูดจบ “ยังมีอีกคนที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น!”สีหน้าของธีโอเปลี่ยนไป และเขากำลังจะขัดจังหวะเฟนด์เมื่อเฟนด์หันมาเล่นงานเขา “คน ๆ นั้นก็คือคนที่พยายามจะฆ่าเราในตอนนั้น!” เขาชี้ไปที่ทิศทางของชายสวมหน้ากากทันทีที่เขาพูดจบ "ศิษย์พี่ใหญ่จากสำนักวายชนม์ที่สวมหน้ากากยืนเฝ้าดูการต่อสู้ทั้งหมดอยู่หลังจากที่เขาทำร้ายศิษย์พี่เฮลธ์! เขาคงเป็นคนบอกคุณเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น!"สิ่งที่เฟนด์พูดราวกับปลุกทุกคนที่อยู่ตรงนั้นให้ได้สติ แม้ว่าเฟนด์จะไม่ซื่อสัตย์และไร้ศีลธรรมแต่เขาก็เป็นฝ่ายที่เสียเปรียบกว่า เฟนด์เยาะเย้ยและพูดต่อ "สำนักวายชนม์ต่างหากที่ต้องการฆ่าเรา และแฟรงก์ก็ตายด้วยน้ำมือของศิษย์สำนักวายชนม์ คุณมาหาเรื่องเราแทนที่จะไปต่อว่าสำนักวายชนม์! นี่คือความภักดีและความชอบธรรมที่คุณหมายถึงงั้นหรือ? "ทุกคนในที่นั้นตระหนักได้ทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เฟนด์พูด เฟนด์พูดถูก สำนักวายชนม์เป็นผู้ลงมือฆาตกรรม และแฟรงก์เสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนพวกนั้น แต่ถึงอย่างนั้นธีโอกลับทำราวกับว่าเขาลืมเรื่องนี้ไปแล้วและมาคาดคั้นเอาผิดกับเฟนด์เพียงผู้เดียว เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ