ในที่สุดเซฟก็ประกาศเริ่มต้นการทดสอบ “เราจะเริ่มการทดสอบทันที กรุณาต่อแถว ทุกคนคอยดูไว้ให้ดี ถ้ามีใครแทรกคิวคนอื่น คน ๆ นั้นจะถูกตัดสิทธิ์ทันที!”การสนทนาของพวกเขาหยุดลง เฟนด์อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมเซฟถึงจงใจให้เวลาพวกเขาพูดคุยกัน สมาคมจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้? ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ชายหนุ่มที่สวมเสื้อสีเขียวก็เริ่มเดินเข้าไปหาออบซิเดียน ถือเป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้เลือกตำแหน่งเป็นคนแรกในเมื่อเขามาถึงเร็วที่สุดในหมู่ฝูงชนคนอื่น ๆ กลัวเขาและลังเลที่จะเป็นคนแรกเพราะรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้ ท้ายที่สุดแล้ว ชายหนุ่มก็อยู่ในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิดแล้ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะหาตำแหน่งตรงหน้าหินออบซิเดียน แอมโบรสก็พูดกับเขาว่า "คุณจะผ่านการทดสอบก็ต่อเมื่อไฟทั้งสามสว่างขึ้นทั้งหมด หากผ่านการทดสอบแล้วโปรดยืนข้างหลังฉัน”ชายหนุ่มพยักหน้าและสูดหายใจลึกเพื่อควบคุมอารมณ์ จากนั้น เขาประสานมือเข้าด้วยกันแบบฝ่ามือต่อฝ่ามือ ก่อนที่แสงสีเขียวเริ่มหมุนวนรอบมือของเขาขณะที่เถาวัลย์ที่มีแสงสีเขียวนีออนปรากฏขึ้นจากมือเถาวัลย์ดังกล่าวดูเหนือจริงและเต็มไปด้วยพลังงานลึกลับ ชายหนุ่มยื
“เขาคงมาจากต่างบ้านต่างเมือง เพราะหากเป็นคนจากเมืองนี้เขาคงไม่มั่นใจขนาดนั้น คนไม่รู้จะเรียกว่าโง่เขลาได้ยังไง”สีหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นหลังจากคำสบประมาทลอยเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาเริ่มสั่นด้วยความโกรธ และดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่จ้องมองไปที่ฝูงชนด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว แต่ความพยายามของเขาไร้ผลเพราะไม่มีใครสนใจความโกรธของเขา จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ และรู้สึกราวกับว่าทุกคนที่นั่นตบเขาจนสะบักสะบอม สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยเฟนด์ถอนหายใจเบา ๆ กับความคิดที่ความเป็นจริงของทุกคน ผู้ที่แข็งแกร่งจะได้รับการเชิดชูตลอดไปในขณะที่ผู้อ่อนแอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากต้องเลียรองเท้าของผู้แข็งแกร่ง แต่ก็อีกนั่นแหละ ฝูงชนอาจพูดถูกเพราะเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่เคยผ่านความยากลำบากใด ๆ มาก่อน ดังนั้นเขาจะไม่รู้สึกอะไรได้ยังไง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครก้าวขึ้นไปทดสอบเป็นคนที่สอง แม้ว่าทุกคนจะหัวเราะเยาะผลลัพธ์ของชายหนุ่ม แต่พวกเขาก็ ได้รับบทเรียนราคาแพงเช่นกัน เพราะท้ายที่สุด ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มนั้นอยู่ในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิด ทั้งท
ไฟดวงที่สามสว่างขึ้นเพียงชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาผ่านการทดสอบ เสียงของแอมโบรสดังไปทั่วฝูงชนอีกครั้ง “แสงดวงที่สาม หนึ่งวินาที โปรดไปยืนข้างหลังฉันเพื่อที่ฉันจะได้ลงทะเบียนของคุณในภายหลัง”“ขอบคุณท่านผู้ดูแล!” แบร์ดีพูด เขายิ้มกว้างจนสุดหูขณะที่เขาเดินไปยืนอยู่ข้างหลังแอมโบรส ฝูงชนมองมาที่เขาด้วยความอิจฉา และความสงสัยทั้งหมดที่พวกเขามีต่อชายหนุ่มก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ยังไงก็ตาม การแสดงออกที่อวดดีบนใบหน้าของชายร่างใหญ่ทำให้พวกเขายังหวังว่าจะได้ตบให้เขาลืมวิธียิ้มได้ด้วยมือของพวกเขาเองพลังคือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ และชายร่างใหญ่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของเขาเพื่อพิสูจน์ว่าเขาสามารถผ่านการทดสอบได้ มีเพียงเท่านี้ที่ทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ยังไงก็ตาม ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าเฟนด์ยังไม่มั่นใจในพลังของชายร่างใหญ่ “ทำไมคุณถึงทำตัวหยิ่งยโสได้ขนาดนี้? ไฟดวงที่สามสว่างขึ้นเพียงหนึ่งวินาที นายผ่านการทดสอบแบบฉิวเฉียดด้วยซ้ำ! ทำอย่างกับว่าจุดไฟดวงที่สี่ได้สำเร็จอย่างนั้นล่ะ!”แบร์ดีหันไปมองชายหนุ่ม ชายหนุ่มไม่ได้ปิดบังระดับพลังยุทธของเขา และแบร์ดี้ก็สามารถรู
ไม่น่าแปลกใจที่ตำหนักสองกษัตริย์กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนห้องพัก การทดสอบนี้จะทำให้พวกเขาได้รับศิษย์ใหม่เข้ามาถึงสามร้อยคนหรือมากกว่านั้น และเมื่อรวมกับศิษย์ดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว เพราะเขาน่าจะมีศิษย์ทั้งหมดหนึ่งพันคนแต่เฟนด์รู้ว่าศิษย์ใหม่สามร้อยคนนี้อาจถูกส่งไปรบและก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมีสักกี่คนที่รอดกลับมา คนในระดับสูงของตำหนักสองกษัตริย์ไม่ได้โง่ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีแผนของตัวเองในตอนแรก มอร์ตันวางแผนที่จะเป็นผู้ประเมินคนที่สองรองจากคนสุดท้าย แต่เขาไม่อาจรอได้อีกต่อไปเมื่อเวลาผ่านไป หลายคนที่อยู่ที่นั่นมีความทะเยอทะยานมากเหลือล้นและคิดไปว่าพวกเขาจะทำได้ดีในการทดสอบ และการกระทำที่กล้าหาญของพวกเขาจะตราตรึงในใจของผู้อื่นตลอดไป นั่นเป็นความจริงอย่างที่สุด ในบรรดาผู้ที่ผ่านการทดสอบแทบจะไม่มีใครทำให้ออบซิเดียนสว่างได้เกินสามดวง ผู้ที่สามารถจุดไฟดวงที่สี่ได้นั้นถือเป็นชนกลุ่มน้อย ถึงกระนั้น กลุ่มหลังก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะทั้งหมด และฝูงชนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชม“ฉันคิดว่าฉันจะผ่านการทดสอบได้ แต่ฉันกลับทำได้เพียงจุดไฟได้เพียงสองดวง และดวงที่สองสว่าง
เมื่อเทียบกันแล้วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ตระกูลของมอร์ตันจะด้อยกว่าตำหนักสองกษัตริย์ แต่ตระกูลของเขาถือเป็นตระกูลใหญ่โตเพียงไม่กี่ตระกูลในเมืองของเขา และเขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยความเชื่อว่าเขาคือผู้ถูกเลือกและต้องแบกรับภาระในการทำให้ตระกูลของเขาภาคภูมิใจบวกกับความจริงที่ว่าเขาไม่เคยเผชิญกับความล้มเหลวมาก่อน จึงไม่แปลกใจเลยที่เขามั่นใจในตัวเองมากถึงขนาดนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองมีเอกลักษณ์และและไม่ได้รับการอบรมดูแลจากตำหนักสองกษัตริย์เพียงเพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ แต่เขาเชื่อว่าเมื่อเขาได้เข้ามาอยู่ในตำหนักแล้วเขาจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน เขาจะปีนขึ้นไปให้สูงและใช้ตำแหน่งของศิษย์ภายในเป็นฐานรองเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเขาจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์อาวุโส และจากนั้นก็จะไม่มีอะไรหยุดไม่ให้เขาขึ้นเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกเขาอาจได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในด้วยซ้ำ ตระกูลของเขาจะต้องภูมิใจในตัวเขาอย่างแน่นอน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่พอใจที่จะถูกมองว่าเท่าเทียมกับเจอรัลด์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความมั่นใจของเขาและอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะปมด้อยของเขาด้วย การทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้คล้ายกับการสอบเข้า ด
เขาก้าวไปข้างหน้าเป็นก้าวใหญ่ ๆ และรูปลักษณ์ที่แข็งแรงของเขาทำให้เขาดูเหมือนชายผู้เต็มไปด้วยพลัง ราวกับว่าหมัดเดียวจากเขาเพียงพอที่จะฆ่านักสู้สองคนในขั้นสูงระดับติดตัว ฝูงชนแยกย้ายหลีกทางให้เขาและเฝ้าดูเขาก้าวขึ้นเวทีไปเมื่อไปถึงที่นั่นเจอรัลด์ใช้เวลาวิเคราะห์ออบซิเดียนราวกับว่าเขาต้องการฟื้นความทรงจำของตัวเอง เขาแตะออบซิเดียนเบา ๆ และพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ฉันจะแสดงให้พวกนายเห็นถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่าอัจฉริยะและพลัง” ฝูงชนที่เงียบก่อนหน้านี้ส่งเสียงกึกก้องเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้แต่เฟนด์ก็ยังพบว่ามุมปากของเขาเริ่มมีรอยยิ้มเย้ยหยันในตอนแรกเฟนด์รู้สึกว่าเจอรัลด์ดีกว่ามอร์ตันมาก อย่างน้อยเจอรัลด์ก็ไม่ได้โอ้อวดตัวเอง ต่างจากมอร์ตันที่มักพล่ามถึงแต่ความแข็งแกร่งของตัวเอง นั่นทำให้เขาดูเป็นคนเหลาะแหละ แม้ว่ามอร์ตันจะมีอำนาจขนาดนั้นจริง ๆ แต่ก็ถือเป็นเรื่องน่าขัน สิ่งที่เจอรัลด์ทำเหมือนเป็นการว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองแต่การที่ก่อนหน้านี้เจอรัลด์ไม่อวดตัวเองไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มั่นใจในตัวเอง แถมเขายังโอ้อวดตัวเองได้ดียิ่งกว่ามอร์ตันเสียอีก เขาต้องการแสดงให้เห็นว่าอัจฉริยะที่แท้จริงเป็
หินทั้งสี่ดวงสว่างดวงขึ้นทันทีซึ่งทำให้ฝูงชนอ้าปากค้าง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เจอรัลด์จะพอใจกับแสงเพียงสี่ดวง ตาของเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าในขณะที่เขามุ่งมั่นที่จะทำให้แสงดวงที่ห้าสว่างขึ้น แต่เขาเขาก็ถูกเลือกให้ผิดหวังเมื่อแปดวินาทีผ่านไปและไฟดวงที่สี่ก็ดับลงผลการทดสอบของเขาถือว่าดีที่สุด ไม่ว่าใครได้รับผลการทดสอบเช่นนี้ย่อมต้องดีใจมาก แต่เจอรัลด์พบว่าตัวเองยิ้มไม่ออกเลยสักนิด ใบหน้าของเขามืดมนราวกับกลางคืน“แสงดวงที่สี่สว่างถึงแปดวินาที โปรดมายืนข้างหลังฉัน” แอมโบรสกล่าว มีนัยของความสงสารในน้ำเสียงของเขาด้วย แม้ว่าผลลัพธ์ของเจอรัลด์จะน่าประทับใจมาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขา“ไฟสี่ดวงเท่านั้นเองเหรอ? น่าผิดหวังจริง ๆ” เจอรัลด์พูดด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงและมือทั้งสองของเขาก็สั่น "เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางที่พลังของฉันจะมีเท่านี้” เขากำลังเตรียมที่จะหันกลับไปอีกครั้ง แต่แอมโบรสหยุดเขาไหว “ทุกคนได้รับสิทธิ์เพียงคนละครั้งเท่านั้น แม้แต่คุณเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ผลลัพธ์ของคุณค่อนข้างพิเศษกว่าใครอยู่แล้ว และถึงจะได้สิทธิ์ทำอย่างนั้นอีกครั้งผลลัพธ์ก็จะไ
มอร์ตันหุบพัดลง “ฉันมีสิทธิ์อะไรมาหัวเราะเยาะนาย? นั่นก็เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็แข็งแกร่งกว่านาย นั่นทำให้ฉันมีสิทธิ์หัวเราะเยาะนายไงล่ะ!”เจอรัลด์หัวเราะอย่างเย็นชา "ถ้าอย่างนั้น นายก็ขึ้นไปทดสอบเป็นคนต่อไปสิ เราจะได้จบเรื่องนี้กันสักที”มอร์ตันเย้ยหยันและเดินเข้าไปหาออบซิเดียนอย่างมั่นคงราวกับว่าชัยชนะอยู่ในมือของเขาแล้ว ไม่ว่าใครที่หันมามองเขาก็ล้วนต้องนึกถึงนกยูงที่กำลังเดินหาคู่อยู่ฝูงชนมองดูพวกเขาทะเลาะกันเงียบ ๆ “ฉันสงสัยจังว่ามอร์ตันจะสามารถจุดไฟห้าดวงได้จริง ๆ หรือเปล่า” ใครบางคนกระซิบ"ฉันก็คิดแบบนั้น เขาไม่ใช่คนโง่ หากเขาไม่มั่นใจในตัวเองเขาคงไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมา ศักดิ์ศรีของเขาสำคัญที่สุด”หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของผู้พูดคนที่สอง จริงอยู่ มอร์ตันอาจจะชอบอวดตัวเอง แต่เขาจะไม่ทำอะไรที่จะทำลายชื่อเสียงของเขา ถ้าเขาบอกว่าทำได้เขาก็ทำได้เมื่อถึงเวลานั้น มอร์ตันก็ยืนอยู่หน้าออบซิเดียน ณ ที่เดียวกับที่เจอรัลด์ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขามองดูออบซิเดียนก่อนจะเก็บพัดของเขาไว้ในแหวนยุทธ มีกฎว่าห้ามใช้อาวุธ ผู้ประเมินจึงสามารถโจมตีออบซิเดียนด้วยพลังยุทธของพวกเขาเพียงเท่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ