"นั่นขึ้นอยู่กับ! แต่ละคน บางคนคิดว่าเซเลน่าดูดีที่สุด และดูเป็นสาวมากขึ้นเมื่ออายุ 25 ถึง 26 ปี พวกเธอดูน่าดึงดูดใจมากที่สุด!”"แต่ถึงอย่างไร รูอิเป็นหญิงสาวที่ดูไร้เดียงสา ด้วยวัยเพียง 22 ปีของเธอ แถมเธอยังโสดอีกด้วย ตั้งแต่มีข่าวเรื่องการแต่งงานของเซเลน่า และเธอก็ยังมีลูกแล้ว พวกหนุ่ม ๆ ที่ไล่ตามจีบเธอตอนนั้นก็กลับมาสนใจที่รูอิแทนแล้ว!”"นอกจากนี้ผมคิดว่าทั้งคู่เป็นหนึ่งในสาวงาม โอ้ ใช่ ตอนนี้เทพีแห่งสงคราม อยู่ในอาณาเขตกลางไม่ใช่เหรอ? ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นสาวงามเหมือนกัน เพราะร่างกายของเธอนั้นน่าเหลือเชื่อ ดูแปลกตามาก น่าเสียดายที่ตําแหน่งของเธอสูงไปจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เธอมา!”นักธุรกิจที่ร่ำรวยพูดด้วยรอยยิ้มที่กล้ำกลืน หลังจากคิดทบทวนเรื่องนี้"เฮ้ ฟังนะ มีคนเรียกเธอว่าสาวสวย?"หลังจากที่ได้ฟังคำสนทนาของทั้งคู่แล้ว เฟนด์ก็อดที่จะหัวเราะลาน่าไม่ได้ลาน่าเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า "แน่นอน แต่สิ่งแปลกตานี้หมายถึงอะไร? ฉันไม่พอใจ มองเผิน ๆ ฉันดุหญิงสาวที่ไร้เดียงสาตั้งแต่แรกเห็นไม่ใช่เหรอ?”อย่างไรก็ตาม ณ วินาทีนั้น เคนและไมเคิล ได้เดินเข้าไปหาพวกเขาอย่างใกล้ชิด "โอ
"อนิจจัง ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นภรรยาของนักธุรกิจที่รวย ๆ คนหนึ่งใช่ไหม? แต่นาฬิกาข้อมือของเธอ มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านเหรียญ แต่สิ่งเดียวที่ผมสงสัยคือ ทําไมเธอถึงใส่หน้ากากและแว่นกันแดด"เคนถอนหายใจแล้วพูดว่า "ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า ถึงผมจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม คนที่ฉลาดพอที่จะเดาใจความสัมพันธ์ของคุณทั้งคู่ได้ใช่ไหม""เป็นไปไม่ได้ จริงไหม? เขาเป็นสามีของเซเลน่าจริง ๆ เหรอ? มันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม? เขากล้าไปมีผู้หญิงคนอื่นไหม ทั้งที่เซเลน่าตื่นสวยขนาดนี้"ทําเอานักธุรกิจวัยกลางคนถึงกับอึ้ง เมื่อได้ยินสิ่งนี้"ใครจะรู้ว่าเพราะอะไร ดูผู้หญิงคนนี้สิ เธอไม่ได้แก่ขนาดนั้น แถมยังมีรูปร่างที่แปลกตาอีกด้วย ผู้ชายน่ะนะ ในฐานะผู้หญิงรวยอย่างเธอ ฉันก็ยินดีที่จะทําอย่างอื่นกับเธอ ต่อให้เธอจะไม่ให้เงินฉันก็ตาม! นับประสาอะไรกับเธอให้เงินเขา!"ชายสูงอายุคนแอบกลืนน้ำลายตัวเองขณะมองขาเซ็กซี่ของลาน่า ไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้"ใช่ ถ้าผมเป็นเขา ผมก็เต็มใจ!"นายน้อยหนุ่มจากครอบครัวขุนนางชั้นสอง ก็ตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน เขากล่าวว่า "ถ้าฉันจะเป็นคนควักเงินซื้อมันก็ตาม ฉันก็จะกระทําตามพอใจของฉันเอง""ฉันไม่ใช่
"เฮ้ย พวกเธอสองคนรู้แล้วว่าความกังวลเป็นยังไง จริงไหม?"เฟนด์หัวเราะและพูดกับเคนว่า "นายรู้ไหมว่ามีคำพูดที่บอกว่า "รู้จักหน้าที่ของตัวเอง” นายควรจะเรียนรู้จากเรื่องนี้จริง ๆ ฉันเชื่อว่าเดนิสเคยเตือนนาย ตอนที่นายพยายามทําลายบ้านของเรา ใช่ไหม? นายแน่ใจนะว่า... ยังอยากที่จะต่อสู้กับฉันอยู่"เมื่อเคนได้ยินคําขู่ สีหน้าของเขาก็หมองลงทันที เขาเริ่มกังวล เพราะเฟนด์แข็งแกร่งแค่ไหน แม้แต่แดนตัวหลักของพวกเขาก็ไม่มีทางเป็นคู่แข่งได้ หากเขาทําผิดต่อเขาจริง ๆ และต้องเสียเลือดครอบครัวคลาร์กให้กับเขา มันแย่มากสําหรับพวกเขา!มันก็แค่ความคิด เขากล่าวว่า "ฉันจะไม่ต่อต้านนาย และจะไม่ก่อความทุกข์ยากให้แก่พวกนาย ฉันมาที่นี่เพื่อแนะนำนายว่าเซลีน่า ดีกับนาย แต่นายกลับกล้าที่จะทําสิ่งนี้เพื่อเงิน”“นายน้อยเคน ฉันคิดว่านายกำลังกลัวเขานิดหน่อยนะ"ไมเคิลไม่ได้โง่ เขาสามารถสังเกตพฤติกรรมวิตกกังวลของเคนได้ทันที เขาขมวดคิ้ว"ล้อเล่นหรือเปล่า ฉันนายน้อยเคน ทำไมจะต้องกลัวเขาเหรอ? ไม่เอาน่า เขาเป็นแค่คนส่งอาหาร เขาเพิ่งเป็นทหารมาไม่กี่ปีแล้วผมจะกลัวเขาได้ยังไง"เคน กระทุ้งหน้าอกทันที แสดงความกล้าแข็งแกร่ง"ควา
เกรย์สันมองผู้หญิงอ้วน ที่อยู่ข้าง ๆ เขา เขาถึงกับพูดไม่ออก ผู้หญิงคนนี้อ้วนมากจริง ๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตเธอคงจะหาคนแต่งงานด้วยได้ยากอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันไปมองรูอิ ที่อยู่อีกด้านหนึ่ฃ เขารู้สึกว่าอารมณ์ของเขากลับดีขึ้นมาทันที ยิ่งเขาจ้องเธอนานเท่าไหร่ เธอดูสวยมากขึ้นเท่านั้น เธอดูเหมือนอาหารตาที่สวยงามมากเลยทีเดียว "โอ้ งั้นก็ได้ ค่าฐานของวัตถุนี้เริ่มต้นที่ 10 ล้าน! แน่นอนว่ามันมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านเหรียญ และผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้ รู้เรื่องนี้ดี เราจึงมีมาตราการในการเพิ่มเงินประมูล คือ ไม่ต่ำกว่าล้าน!!!"ชายชราหัวเราะคิกคักบนเวทีว่า "การประมูลครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว" ของมีค่านี้ตกเป็นของผู้ที่เสนอราคาสูงสุด!""ล้าน? ขนาดฉันยังอายที่จะตะโกนเรียกเงินเป็นล้านเหรียญ!"นักธุรกิจผู้ร่ำรวยคนหนึ่งลุกขึ้นพูดทันทีว่า "ของชิ้นนี้ช่วยชะลอการเผาผลาญของร่างกายของคนเราได้เล็กน้อย ดังนั้นมันจึงช่วยยืดอายุของคน ๆ นั้นให้ยืนยาวขึ้น ถ้าของชิ้นนี้เก็บไว้ข้างหัวเตียงนาน ๆ จะช่วยยืดอายุคนสักสองสามปีก็ไม่เป็นปัญหาใช่ไหม?"พอพูดจบเขาก็ยกมือขึ้นทันทีว่า "ผมยินดีให้ 20 ล้
"ทําไมคุณไม่ประมูลให้ฉันทีหลังล่ะ? แค่เพิ่มจํานวนสุ่ม คนจะคิดว่าคุณเป็นคนรับใช้ของฉัน ดังนั้น ตัวตนของคุณก็จะไม่ถูกเปิดเผย” ลาน่าพูดประโยคนี้กับเฟนด์หลังจากคิดแล้วเฟนด์พยักหน้าแล้วพูดว่า "แน่นอน ก็อยากหาเรื่องสองคนนี้อยู่แล้ว!"พอพูดจบ เฟนด์ก็ยกมือขึ้นทันทีว่า "51 ล้าน!"เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ทุกคนหันมามองเขา เพราะสารเลวนั่นเรียกแค่หลักล้านเท่านั้นแม้แต่ลาน่าเองก็รู้สึกอายแทนเขา เพราะคนอื่น ๆ เพิ่มราคาให้ถึง 10 ล้าน แต่เขาคนนี้ก็เพิ่มแค่หนึ่งล้านเท่า "ว้าว เฟนด์ ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงรวย ๆ ของเธอ จะรวยด้วยตัวของเธอเอง เธอมีส่วนรวมกับประมูลจริง ๆ!"ไมเคิลประหลาดใจ เขาหัวเราะและพูดว่า "สมาชิกครอบครัวที่ร่ำรวยของเราเริ่มแข่งขันกันแล้ว ดังนั้น พ่อค้าทั้งหลายควรลืมเรื่องนี้ซะ แค่เก็บเงินไว้อยู่กับการลงทุนก็พอ"เพิ่มราคาหนึ่งล้านเท่า? ดูเหมือนพวกเขาจะทนไม่ได้ที่จะทิ้งเงินของเขา?"นีลหัวเราะทันที เขาก็ชูมือขึ้นแล้วพูดว่า "ฉันเพิ่มให้เป็น 60 ล้าน! คุณจะไม่ต้องสนใจราคาประมูลของฉันได้เลยเฟนด์!”เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของนักธุรกิจที่ร่ำรวยหลายคนเริ่มบอกบุญไม่รับ สําหรับพวกเขาแล้ว พวก
ชารอนหันไปมองเฟนด์และหันมาพูดว่า "ฉันขอเพิ่มเป็น 120 ล้าน!” ฉันซื้อให้ปู่ของฉัน ช่วงนี้เหมือนเขาจะนอนไม่หลับ!""150 ล้าน!"ในขณะนั้นตระกูลรอยที่นิ่งเงียบมาตลอดได้ยกมือขึ้น เขาเน้นย้ำว่า “ฉันเพิ่มเป็น 150 ล้านเหรียญ!”“เจ้านายของตระกูลรอยก็จับตามองเพื่อที่จะเสนอราคาเช่นนี้!”“นี่มันสูงมาก!” เขามาจากครอบครัวชนชั้นสูงจริง ๆ ยอมจ่ายเงิน 150 ล้านเหรียญ เพื่อซื้อไข่มุกเรืองแสงนั่นจริงเหรอ? ราคานี้น่าจะสูงเท่ากับราคาเดิมของมัน!”"ผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนอื่นมาต่อสู้เพื่อมันอีกหรือเปล่า"นักธุรกิจที่ร่ำรวยหลายคนถึงกับอึ้งไปตาม ๆ กันใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ราคาก็พุ่งสูงขึ้นจาก 10 ล้านเหรียญ เป็น 150 ล้านเหรียญเมื่อไมเคิลอยากจะเอาชนะใจเซเลน่า เขาต้องการที่จะมอบของขวัญราคาแพง ๆ ให้กับเธอ เธอจะได้กระโดดเข้ามาสู้อ้อมกอดของเขา เขากัดฟันลุกขึ้นยืนและพูดว่า “180 ล้าน!”"พระเจ้า!"ทางด้านเคนถึงกับตกใจกับการกระทําของเขา นายน้อยเคนถึงกับเอ่ยปากว่า “อย่าวู่วามอย่างนี้ นายน้อยไมเคิล ไข่มุกนี้ถึงแม้จะมีมูลค่ามาก แต่ 180 ล้านเหรียญ ก็เป็นราคาที่สูงเกินไป ฉันไม่อยากต่อสู้เพื่อมันอีก…”"นายรู้อะไรไหม? ฉ
พระเจ้า ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? จาก 200 ล้านเหรียญ กระโดดมาเป็น 300 ล้านเหรียญ ตอนนี้มันบ้ามากไปแล้ว”“นั่งคงไม่ใช่ความผิดพลาดใช่ไหม แม้ว่าเธอจะเพิ่มเงินเป็นร้อยล้านอย่างไม่ต้องลังเล แต่ก็ยังคงเป็นร้อยล้านเหรียญ แม้ว่าจะเป็นครอบครัวชนชั้นสูงที่ทำเช่นนั้น พวกเขาก็ยังคงต้องคิดอย่างหนักที่จะจ่ายเงินจำนวนมากมหาศาลขนาดนั้น!”“ใช่ บางที 210 ล้านเหรียญอาจเพียงพอที่จะชนะการประมูล? ได้ประหยัดเงิน 90 ล้านเหรียญ นั่นเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ?”นักธุรกิจที่ร่ำรวย และครอบครัวชนชั้นสองจำนวนมาก ต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนว่า ตระกูลรอยและอีกสี่ตระกูลใหญ่ และทิโมธีก็ยังไม่ได้ยื่นข้อเสนอ พวกเขาต่างตกใจกับผลที่เกิดขึ้นในขณะนี้สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้ที่ทำการประมูลไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟนด์“เฟนด์ นายแน่ใจนะว่าเป็นเงิน 300 ล้านเหรียญ นายได้ถามคนข้าง ๆ หรือยัง นายคงไม่ได้แค่ตะโกนมั่วซั่วใช่ไหม? ถ้านายตะโกนประมูลแล้วชนะในภายหลัง หากนายไม่มีเงินจ่าย นายไม่มีทางหนีได้หรอกนะ!” ไมเคิลบอกเฟนด์ในขณะที่ชี้ไปทางเขา เขาโกรธมาก ขณะที่เขายืนขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อเรียกร้องอีกครั้ง หลังจ
มุมปากของทิโมธีกระตุก ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถชนะการประมูลได้ในราคา 320 ล้านเหรียญ แต่เขาไม่คิดว่า... เมื่อราคาขึ้นไปถึง 400 ล้านเหรียญ ไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต, เกรย์สัน, ชารอน หรือคนอื่น ๆ ต่างก็นั่งลงทันที และไม่กล้าประมูลอีก เพราะตอนนี้ราคามันหรูหราเกินไป ถึงแม้ว่าทั้งสองจะต้องการก็ตาม แต่พวกเขากลับเลือกที่จะหยุดตรงนั้น"500 ล้าน!"อย่างไรก็ตาม เฟนด์ยิ้มอย่างใจเย็นอีกครั้ง โดยบอกว่า "เพื่อนของผมบอก 500 ล้าน!"ขนาดคนแก่บนเวทียังตื่นเต้นสุด ๆ เงินจํานวนดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากค่าคอมมิชชั่น ส่วนราคาดังกล่าวเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดเลยคราวนี้ทิโมธีไท่กล้าเสนอราคาอีก ในขณะที่เขานั่งอยู่คนเดีนวทำหน้าไม่สบอารมณ์"500 ล้าน ครั้งที่หนึ่ง! ถ้าไม่มีคนเสนอราคาเพิ่มไข่มุกก็จะตกไปอยู่ในมือของสาวสวยคนนั้น!""500 ล้าน ครั้งที่สอง!"ชายชรายิ้มแย้มอยู่บนเวที กําลังรอให้เคาะไม้ของเขาลง"เดี๋ยวก่อน!"ในตอนนั้น ทิโมธีติลุกขึ้นทันทีเขามองลาน่าตรง ๆ ว่า "ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าสาวสวยคนนี้อาจเป็นใคร? ไข่มุก 500 ล้านเหรียญ ไม่ได้มากเกินไป แต่ใครจะยื่นข้อเสนอแบบนี้ได้ถ้าไม่ได้เงินเป็นพันล้านเหรียญ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ