ในที่สุดทั้งสองก็เข้าสู่ขั้นต้นของระดับเทพแท้จริงได้ แต่เฟนด์ก็บุกทะลวงเข้าสู่ขั้นกลางได้แล้ว ระดับพลังยุทธของเขาเหนือกว่าพวกเขามาก ทักษะการต่อสู้ของเขาจะไม่ยิ่งกว่าเหรอ? ความจริงเรื่องนี้ทำให้พวกเขายอมจำนนต่อเขาอย่างสมบูรณ์“สัตว์อสูรนั่นหนังหนามาก เราสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!”ลีอาห์พูดอย่างสิ้นหวังขณะที่เธอต่อสู้กับงูเหลือม “ดูเหมือนว่างูเหลือมตัวนี้จะไม่ได้อยู่ขั้นต้นของระดับเทพแท้จริงแล้ว เมื่อไม่นานมานี้มันน่าจะเข้าสู่ขั้นกลางแล้ว!”"คุณพูดถูก เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแม้ว่าเราสองคนจะรวมพลังกันก็ตาม ให้ตายสิ ฉันสงสัยว่านายน้อยเฟนด์จะมาถึงจุดนัดแล้วหรือยัง! ถ้าเขาไม่อยู่ที่นั่น เราอาจจะทำร้ายสมาชิกตระกูลวู๊ดมากกว่าด้วยการพามันไปที่นั่น!”มาร์ตินคิดเกี่ยวกับมันอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาก็มืดลง ในใจเขาเต็มไปด้วยความกังวลลีอาห์หัวเราะแห้ง ๆ "คุณพูดถูก แล้วเราจะทำยังไงกันดี? เราจะทำให้มันอันตรายมากขึ้น ถ้าสมาชิกในตระกูลวู๊ดที่รออยู่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับกึ่งเทพ”“เรายังไม่รู้ว่าเบธกับคนอื่น ๆ อยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า เรายังมีผู้ฝึกยุทธสองสามคนที่อยู่ในขั้นต้นระดับเทพแท้จริง แต่เรา
“พรวด!” ลีอาห์ถูกกระแทกจนล้มลง และของเหลวสีแดงอุ่น ๆ ก็พุ่งออกมาจากปาก ใบหน้าของเธอซีดเผือดทันทีถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกัดฟันทนเตรียมที่จะต่อสู้ต่อไป ไอ้งูเหลือมเวรนั่น! ก่อนหน้านี้มันฆ่าคนจากตระกูลวู๊ดไปหลายคน ตระกูลวู๊ดต้องการฆ่าสัตว์อสูรตัวนี้มานานแล้ว เมื่อเห็นมาร์ตินได้รับบาดเจ็บเพราะมัน ทำให้ลีอาห์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากขึ้นไปอีก “ลีอาห์ อย่าสู้กับสัตว์อสูรตัวนี้อีกเลย! หนังของมันแข็งแกร่งเกินกว่าจะเจาะทะลุได้! อีกไม่นาน นายน้อยเฟนด์จะมาถึงและจัดการมัน!”ทันทีที่มาร์ตินเห็นว่าลีอาห์ยืนขึ้น แล้ววางแผนที่จะโจมตีและต่อสู้อีกครั้ง เขาก็เหาะไปด้านข้างของเธอและแนะนำเธอฟ่อออ! อย่างไรก็ตาม งูเหลือมยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บอีกรอบ ครั้งนี้กลับยิ่งโกรธมากขึ้นอีก หลังจากส่งเสียงคำราม มันก็พุ่งตรงไปทางลีอาห์กับมาร์ติน “ตายซะ เจ้าสัตว์อสูร!” จู่ ๆ เงาหนึ่งก็พุ่งเคลื่อนตัวมาถึงที่เกิดเหตุ ในที่สุดเฟนด์ก็มาถึง เขากำหมัด พลังฉีหนาแน่นล้อมรอบหมัดของเขาไว้อย่างสมบูรณ์ ในพริบตา เขาก็มายืนข้าง ๆ งูเหลือมยักษ์และชกหมัดของเขาใส่มันตรง ๆ ปัง! เสียงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วอวกาศ ร่าง
“นายน้อยเฟนด์คุณแข็งแกร่ง แข็งแกร่งมาก!” ลีอาห์ก็เหาะไปรวมกลุ่มและมองเฟนด์ด้วยสีหน้าอิจฉา “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงเลยล่ะ? ด้วยความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของคุณ อย่างน้อยคุณคงอยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นสุดท้ายหรืออาจจะอยู่ขั้นสูงสุดแล้วด้วยซ้ำ!”“เธอพูดถูก! ไอ้หมอนี่ ถ้าเขาทะลวงไปสู่ขั้นสุดท้ายของระดับเทพแท้จริงแล้ว ฉันคิดว่าแม้แต่นักสู้ที่แข็งแกร่งบางคนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงก็คงจะกลัวเขา!” มาร์ตินรู้สึกอิจฉาเฟนด์ “ฉันนึกถึงอดีตตอนที่ฉันเคยดูถูกคุณ เฮ้อ ฉันละอายใจจัง ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณเลยด้วยซ้ำ! เฮ้อ! ฉันคงต้องยอมรับใช่ไหม?” เขาคิดถึงอดีตและอดสงสารตัวเองไม่ได้ “ฮ่าฮ่า พวกคุณสองคน หยุดชื่นชมผมได้แล้ว!” เฟนด์ยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็โบกมือ โอสถสมานแผลสองเม็ดก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา "รับมันไปสิ พวกคุณดูบาดเจ็บหนัก!” “ฮ่า ๆ ขอบคุณมาก นายน้อยเฟนด์ที่รักของพวกเรา!” ทั้งสองหัวเราะอย่างเขินอายและรับโอสถที่เฟนด์เสนอให้ จากนั้นพวกเขาก็กลืนยาลงไป หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที มาร์ตินก็สัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพของโอสถสมานแผน และรู้สึ
มุมปากของคลาวด์กระตุกสองสามครั้ง ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ไม่อยากจะเชื่อความจริงเรื่องใหม่ที่ได้ยินหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็คว้าคอเสื้อของชายคนนั้นขึ้นมา "พูดอีกครั้งสิ! ถ้านายกล้าโกหก ฉันจะฉีกนายเป็นชิ้น ๆ!” เขาจ้องมองชายคนนั้นอย่างเกลียดชัง“นายน้อยคลาวด์ มันเป็นเรื่องจริง! คุณสามารถถามคนที่เหลือดูได้ พวกเขาก็เห็นศพด้วยเหมือนกัน และเราพบแหวนจอมยุทธของนายน้อยไทเรลในพุ่มไม้! ฆาตกรต้องเอาของที่อยู่ในแหวนไปแล้วโยนมันทิ้ง!” ชายคนนั้นทำหน้าโศกเศร้า เสียงของเขาสั่นด้วยความกลัว จากนั้นเขาก็หยิบแหวนออกมาอย่างสั่นเทาและส่งให้คลาวด์คลาวด์จึงปล่อยมือจากคอเขาและหยิบแหวนมาจากชายคนนั้น ดวงตาของเขาแดงก่ำจนเขาต้องกัดฟันแน่น “ไอ้เวรที่ไหนมันเป็นคนทำเรื่องนี้? ใครกันที่สามารถฆ่าน้องชายของฉันได้? คน ๆ นั้นต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของระดับเทพแท้จริงแล้วถึงจะทำอย่างนั้นได้ และจะต้องมีทักษะการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว น้องชายของฉันตายไปแล้วจริง ๆ…”“นายน้อยคลาวด์ เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ตอนเราไปถึงที่นั่น หมาป่าฝูงหนึ่งก็อยู่ที่นั่นแล้ว มันกำลังกัดแทะร่างของนายน้อยไทเรล ถ้าเราไปที่นั่นช้ากว่านั้น
คลาวด์กำหมัดแน่น “หนุ่มนอกคอกจากตระกูลวู๊ดมีระดับพลังยุทธและความสามารถในการต่อสู้ต่ำกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเป็นคนฆ่าน้องชายฉันได้ ส่วนพวกตระกูลแลงคาสเตอร์และตระกูลอื่น ๆ แม้ว่าเราจะไม่สนิทกับพวกเขา แต่เราก็ไม่ใช่ศัตรูกัน และพวกเขาก็ไม่เคยมีปัญหากับน้องชายฉัน ฉันคิดว่าเป้าหมายหลักของเราตอนนี้คือ การตามหาเฮเลน่า คาเบลโล และฆ่าเธอเพื่อแก้แค้นให้น้องชายฉัน!” “ตอนนี้เหลือเวลาเพียงอีกไม่กี่วันการแข่งขั้นก็จะสิ้นสุดลง ฉันเดาว่าอีกฝ่ายคงมาถึงภูเขาโกเบแล้ว ดังนั้นตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะบังเอิญเจอกัน!”ใครบางคนจากในกลุ่มคนตะโกนขึ้นมา"ไปกันเถอะ!" คลาวด์โบกมือเป็นเชิงบอกให้คนของเขาออกไป “นายน้อยคลาวด์ ดูสิ! มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมา ดูเหมือนว่าจะเป็นตระกูลเชิร์ช! เยี่ยมไปเลย! ตอนนี้กลุ่มของเราแข็งแกร่งขึ้นแล้ว! ฮ่าฮ่า!” ชายคนหนึ่งหัวเราะออกมาเมื่อเขาเห็นบางอย่าง พวกเขามีคนจากตระกูลฮันท์มากกว่าสองร้อยคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ และนั่นกำลังมีคนจากตระกูลเชิร์ชอีกมากกว่าร้อยคนจะมาถึง ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็มีสี่ร้อยคนหรือมากกว่านั้น! “ฮ่าฮ่า ดูครงนั้นสิ ตระกูลลาโกริโอก็มาที่นี่ด้วย! พวกเขาห
"หยุดนะ!" ดาเนียลล่าจ้องไปที่แรนดัลล์ แต่ในท้องของเธอก็เหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ทั่ว คำพูดของแรนดัลล์แทงใจเธอ ถ้าไม่ใช่เพื่อไม่ให้ตระกูลฮันท์รู้ เธอคงบอกให้คนทั้งโลกรู้แล้วว่าเฟนด์เป็นแฟนของเธอ! “นายน้อยเฟนด์ พวกซีกเลอร์บางคนอยู่ที่นั่น!” หลังจากเหาะไปได้สักพัก เฟนด์และคนอื่น ๆ ก็หยุดลงตรงกลุ่มคนจากตระกูลซีกเลอร์ซึ่งเป็นตระกูลชนชั้นสองพวกเขามีมากกว่ายี่สิบคน ในที่สุดเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นเฟนด์และคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาก็หวาดกลัวจนใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “โอ้พระเจ้า ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า? มีสามตระกูลมารวมตัวกัน!” ชายคนหนึ่งจากตระกูลซีกเลอร์ตะโกนขึ้นมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และเมื่อเวลาผ่านไปใบหน้าของเขาก็มืดมนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าแผ่นป้ายที่พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจะต้องออกจากกระเป๋าไป ความพยายามที่ผ่านมาของพวกเขานั้นช่างสูญเปล่า“สามตระกูลรวมตัวกันและมีจำนวนเกือบเจ็ดร้อยคน! พวกเขารวบรวมผู้คนจำนวนมากมายได้ยังไง? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลวู๊ด พวกเขามีคนมากที่สุด!” ผู้หญิงอีกคนแสดงอาการหมดหนทางด้วยใบหน้าที่ขมขื่น เมื่อมายืนอยู่ต่อ
หลังจากที่ตระกูลซีกเลอร์คุยกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ทำตามคำแนะนำของเฟนด์ และลงจากภูเขาไป“คุณช่างมีน้ำใจเหลือเกิน นอกจากคุณจะไม่ได้เอาหญ้าวิญญาณของพวกเขาแล้ว คุณยังปล่อยพวกเขาไปอีกด้วย!”หลังจากที่พวกเขาจากไป เฮเลน่าก็มองไปที่เฟนด์และอดไม่ได้ที่จะยิ้มหวานออกมา“มันไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะอยู่รอดมาได้ไกลขนาดนี้ นอกจากนี้ การที่พวกเขามาเจอเราในตอนนี้ แต่ถ้าพวกเขาเจอตระกูลฮันท์ พวกเขาคงไม่รอดแม้ว่าระดับพลังยุทธของพวกเขาจะต่ำก็ตาม”ความสนใจของเฟนด์พุ่งตรงไปที่จุดสูงสุด ดวงตาของเขาดูเคร่งขรึมผิดปกติ ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้จุดสูงสุดมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเจอตระกูลฮันต์ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เป็นไปได้ว่าในที่สุดก็คงต้องต่อสู้กับพวกเขาทุกคนยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อไป และก็ผ่านไปอีกสองวัน เหลือเวลาอีกเพียงห้าวันเท่านั้นก่อนที่การแข่งขันจะจบลง ในที่สุดเฟนด์และคนอื่น ๆ ก็พบกลุ่มคนจำนวนมากในระยะไกลในตอนนั้นเอง เฟนด์และคนอื่น ๆ สามารถรวบรวมคนจำนวนมากจากตระกูลวู๊ด ตระกูลคาเบลโล และตระกูลแลงคาสเตอร์ รวมกันแล้วก็มีจำนวนประมาณแปดร้อยคน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมีประมาณหกร้อยคน“นายน้อยเฟนด์ นั่นพวกคนจากตระกูลฮันท์
“ใช่แล้ว นายน้อยคลาวด์ ผมเห็นกับตาตัวเองเลย! เขาฆ่านายน้อยลำดับที่สอง!”ชายคนนั้นโกรธจัด “แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณหรอก คราวนี้เขาตายแน่!”“แน่นอน ฉันต้องแก้แค้นให้ได้!”สีหน้าของคลาวด์ยังแข็งกร้าวเช่นเคย “แต่ถ้าเขาแข็งแกร่งจริง ฉันอาจจะต้องสู้กับเขานาน เรามีจำนวนคนน้อยกว่า เมื่อฉันจัดการเขาเสร็จ เราอาจจะสูญเสียคนของเราไปหลายคน!”สมาชิกตระกูลเชิร์ชและสมาชิกตระกูลลาโกริโอมีท่าทางไม่ค่อยพอใจพวกเขาคิดว่า พวกเขาจะฆ่าอัจฉริยะของศัตรูได้อย่างง่ายดายด้วยการเป็นพันธมิตรกับตระกูลฮันท์ และตระกูลฮันท์ยังสัญญากับพวกเขาว่า พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์มากมายเมื่อพวกเขาทำข้อตกลงเสร็จ จากนั้นพวกเขาก็จะรวมตัวกันและกำจัดพวกตระกูลวู๊ดและตระกูลแลงคาสเตอร์หลังจากนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบสองหรือสามปี แน่นอนโดยที่ไม่นับตระกูลฮันท์พวกเขาไม่คิดว่าตระกูลวู๊ด ตระกูลแลงคาสเตอร์ และตระกูลคาเบลโล จะรวมตัวเป็นพันธมิตรกัน พวกเขายังมีลางสังหรณ์ว่าพันธมิตรอื่น ๆ จะเลือกพวกเขาก่อน หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองตระกูลจะต้องสูญเสียอย่างหนักแน่“มีอะไร? เราอยู่ที่นี่แล้ว
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ