ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตอนที่เห็นพวกเขาเข้ามาใกล้ ความกังวลบีบรัดหน้าอกของเขา “ใครสนล่ะ เราไม่มีอะไรต้องกลัว อีกอย่าง เราก็ไม่อาจหลบซ่อนพวกเขาได้ตลอด ยังไงเราก็ต้องไปเจอกับพวกเขาที่สถานที่แข่งขันอยู่ดี”แนชยิ้มอย่างเย็นช้าและพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ“นั่น...นั่นคือคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลจริงด้วย!”หลังจากที่พวกเขาเข้าในระยะใกล้มากขึ้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาตอนที่เขาเห็นกับตาชัด ๆ“ไดอาเนียลล่า ทำไมคุณถึงไปอยู่บนกระบี่บินของตระกูลวู๊ด?”คีธ ลูกชายคนโตของนายท่านนอร์แมนรู้สึกประหลาดใจนิด ๆ “คุณไดอาเนียลล่า คุณถูกตระกูลวู๊ดลักพาตัวมาเหรอ?” เขาถาม “ถ้าเป็นอย่างนั้น ให้คุณกระพริบตา ตระกูลนอร์แมนจะช่วยคุณเอง!”ลูกชายคนที่สองของนายท่านนอร์แมนก็ก้าวออกมาข้างหน้าเหมือนกัน “พวกสมาชิกตระกูลวู๊ด หญิงสาวคนสวยคนนี้คือคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลนะ” เขาตะโกน “ฉันจะฆ่าพวกแกแน่ ถ้าพวกแกกล้าแตะต้องผมแม้แต่เส้นเดียวของเธอ!”คนอ้วน ๆ ซึ่งเป็นลูกชายคนที่สามก็พูดขึ้นด้วยท่าทีประชดประชันว่า “ด้วยเกียรติของฉันในฐานะนายน้อยของตระกูลนอร์แมน ฉันสาบานได้เลยว่าพวกแกเผช
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ไดอาเนียลล่าพูดออกมาจะตรงประเด็นมาก และนายท่านนอร์แมนก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ถ้าเขายังยึดถือเรื่องนี้และรายงานต่อตระกูลคาเบลโลว่าเธออยู่กับตระกูลวู๊ด เขาจะไม่เป็นคนใจแคบไปหน่อยเหรอ? แต่ถ้าเขาปล่อยไปแบบนี้ ตระกูลนอร์แมนคงจะอับอายมาก เพราะยังไงซะ ที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็เพราะพวกเขาเข้ามาถามไดอาเนียลล่าว่าเธอถูกลักพาตัวหรือเปล่า และยังชวนเธอไปกับพวกเขาแทนอีกเขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีหลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเหลือบมองที่แนชและยิ้มอย่างเย็นชา “นายท่านวู๊ด ฉันได้ยินมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้วมีบางอย่างเกิดขึ้นในตระกูลวู๊ดใช่ไหม? หึ ๆ... ถ้าเรื่องราวที่น่าสนใจดังกล่าวถูกเอาไปเขียนลงในหนังสือ หนังสือเล่มนั้นคงจะเป็นที่นิยมแน่นอน!”มุมปากของแนชกระตุกเล็กน้อย เขารู้ว่าคงมีบางคนพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและเอามันมาพูด แต่เขาไม่คิดว่าเรื่องนี้จะถูกเอามาพูดถึงในระหว่างเดินทางไปที่ภูเขาโกเบเขาเหลือบมองแดร์ริลและยิ้มอย่างขมขื่น “ฮ่าฮ่า... ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าตระกูลนอร์แมนจะรู้เรื่องดีและให้ความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในตระกูลวู๊ดมากจริง ๆ !”แนชหยุดก่อนจะพู
แดร์ริลไม่คิดว่าไดอาเนียลล่าจะไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะเดินทางไปกับตระกูลนอร์แมนเท่านั้น แต่เธอยังช่วยพูดเข้าข้างตระกูลวู๊ดอีกเขาตะลึงเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “จริงเหรอ? งั้นมารอดูกันว่าจะเป็นยังไง”เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากที่เขาพูดก่อนจะถามไดอาเนียลล่าอีกครั้ง “ยังไงก็ตาม ไดอาเนียลล่า คุณแน่ใจนะสว่าไม่อยากมากับพวกเรา? หากคุณนั่งบนกระบี่บินที่ช้า ๆ ของพวกตระกูลวู๊ด มันคงอาจต้องใช้เวลาสักพัก ไปพักผ่อนที่เมืองใต้ภูเขาโกเบก่อนดีกว่าไหม?”“ลุงแดร์ริล ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าการนั่งบนกระบี่บินของพวกเขาจะเร็วกว่าการเดินทางกับคุณมากกว่าล่ะ?” ไดอาเนียลล่ายิ้มขณะที่เธอหันไปถามเฟนด์ “เฟนด์ กระบี่บินของเราเร็วกว่าของพวกนั้นใช่ไหม?”เฟนด์เงียบตลอดเวลาในขณะที่เขาเชื่อว่าพัฒนาของตระกูลวู๊ดคงจะได้รับการพิสูจน์ในเวลานี้อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพยักหน้าตอนที่ไดอาเนียลล่ากำลังพูดแทนพวกเขามากมาย “แน่นอนอยู่แล้ว!”“ฮ่าฮ่า… ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาไปเอาขยะชิ้นนี้มาจากไหน คงเป็นเรื่องตลกที่พวกเขาคิดจะมาเทียบความเร็วกับกระบี่บินของพวกเรา!” คีธยิ้มอย่างเย็นชา “ไดอาเนียลล่า ไม่คิดว่าพวกวู๊ดจะบ้าไปแล้ว ทำไมคุ
ผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลนอร์แมนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น "เป็นไปไม่ได้หรอก ตระกูลวู๊ดไม่มีอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางเท่าที่ฉันนึกออก โดยเฉพาะกระบี่บินอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางก็ยิ่งหายากไปเลย! ดาบของเราเหินได้ช้ากว่าดาบพวกมันเนี่ยนะ ดาบของพวกมันจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางได้ไหม?"เขาไม่ได้เห็นภาพหลอนหรือฝันไป ทุกคนก็ต่างเห็นแบบเดียวกันแดร์ริลพูดด้วยสีหน้าเย็นชา "ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตระกูลวู๊ดจะโชคดีและได้ของหายากมาจากที่ที่ใครก็รู้ว่าที่ไหน ถ้านี่เป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับสูงสุดก็จะเพิ่มพลังการต่อสู้ได้มากเลย! ถ้าแนชใช้ดาบเล่มนี้ ฉันก็จะโค่นมันลงไม่ได้!""อ้อ แล้วนั่นใคร" ชายหนุ่มพูดหลังจากที่เห็นพวกนั้น "แล้วทำไมเหมือนไดอาเนียลล่าจะคุ้นเคยกับเขาน่ะ?""เหมือนว่าไดอาเนียลล่าจะเรียกเขาว่าเฟนด์นะ!" คนอื่นพูด"เฟนด์ ลูกนอกสมรสนั่นน่ะเหรอ?" นายน้อยลำดับสองของตระกูลนอร์แมนทำหน้าเบ้ "แม่ง! ไดอาเนียลล่าอยากจะอยู่ฝั่งคนที่ใช้กระบี่บินแทนที่จะไปกับเราเหรอ?"ในทางกลับกัน คีธยิ้มเยาะเย้ย "เป็นไปได้ว่าไดอาเนียลล่ารู้สึกว่ากระบี่บินเร็วกว่ามาก เธอเต็มใจไปกับตระกูลวู๊ดเพราะรู้ว่าดาบนั่นคืออุปกรณ์วิญญาณระดับ
หลายคนไม่เข้าใจกับสิ่งที่ไดอาเนียลล่าพูด? เธอหมายความว่ายังไงกัน จะฟังทุกอย่างที่เขาจะพูดเหรอ? ทำไมฟังดูเหมือนคู่รักคุยกัน?เฟนด์ก็ตกใจเช่นกัน เขาทำได้แค่ยิ้มแหย ๆ ขณะมองไปข้างหน้าพร้อมเร่งเร้ากระบี่บินไปข้างหน้ากลุ่มหนึ่งได้มาถึงที่ชานเมืองที่อยู่ใต้เขาโกเบด้วยกระบี่บินในคืนนั้นเฟนด์หยุดกระบี่บินตอนที่พวกเขามาถึงที่ทางเข้า "เอาล่ะ ลงไปแล้วเข้ากันไปเถอะ จะดีที่สุดถ้าทำตัวให้ธรรมดา ๆ เข้าไว้ เพราะการได้เห็นจะเป็นการรบกวนถ้าใครจับตามองดูของล้ำค่าอย่างนั้นอยู่"แนชพยักหน้าอย่างพอใจ "เอาล่ะ เข้าไปข้างในกัน"พวกเขากระโดดลงจากกระบี่บินและเดินเข้าไปหลังจากที่เฟนด์ทำให้ดาบเล็กลงและซ่อนไว้ในแหวนยุทธ"เหมือนว่าเราจะมาถึงก่อนใครเลยนะ ถ้ามาทีหลังคงหาที่พักยาก" ผู้อาวุโสลำดับแรกยิ้มขมขื่น "ตอนนั้น เราทำได้แค่หาถ้ำนอกเมืองอยู่ถ้าหาที่พักไม่ได้""ฮ่า ๆ...! ต้องขอบคุณนายน้อยเฟนด์สำหรับกระบี่บินนะ เราคงมาไม่ได้เร็วขนาดนี้ถ้าไม่มีดาบนั่นใช่ไหม?" เมสันหัวเราะ แม้ว่าตระกูลวู๊ดจะสูญเสียอย่างร้ายแรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็ยังมั่นใจในความพัฒนาของตัววเอง โดยเฉพาะเฟนด์ที่มีพรสวรรค์และ
แนชตกใจกับข่าวนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าตระกูลฮันท์ทำเพื่อหากำไรชัดเจนเลยว่าพรรคเล็ก ๆ อย่างโกเบไม่ได้ต้องพึ่งพาตระกูลฮันท์ในทันที ตระกูลฮันท์ต้องหาพวกเขาและแบ่งกำไรกันในภายหลังอย่างไรก็ตาม ตระกูลฮันท์ก็เป็นพรรคใหญ่ และมีปรมาจารย์ถึงสี่คนในระดับสูงสุดของเทพแท้จริง พวกเขายังมีปรมาจารย์อีกหลายคนที่เป็นระดับสูงสุดของเทพแท้จริงตระกูลวู๊ดจะไปเถียงอะไรได้ถ้าต้องเจอกับตระกูลที่มีอำนาจขนาดนี้?แนชทำได้เพียงแค่ยิ้มให้บอดี้การ์ด "แล้วเราจะทำให้มันยากขึ้นสำหรับพวกคุณได้ยังไงกันล่ะ? นี่คือสิ่งที่เราควรทำ! และเราจะทำ! บอกฉันมา ต้องจ่ายหินวิญญาณเท่าไหร่?"บอดี้การ์ดยิ้ม "อืมมม... หินวิญญาณระดับเล็กสองก้อนต่อหนึ่งคน และผมเห็นว่าตรงนี้มีสี่สิบสองคน หมายความว่าหนึ่งพันสี่สิบก้อนก็พอแล้วสินะ?""เกินพันเลยเหรอ?" มุมปากของผู้อาวุโสกระตุกเมื่อได้ยินค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างแพง พวกเขาต้องจ่ายหินวิญญาณเพื่อเข้าเมืองให้ได้ และมันแพงไปสำหรับสองก้อนต่อคนสุดท้ายแล้ว ของอย่างนั้นก็จำเป็นกับพวกปรมาจารย์ที่ต้องการฝึกฝน"ใช่ นี่คือคำสั่งที่พวกเขาสั่งไว้ เราทำอะไรไม่ได้เลย" บอดี้การ์ดพูดอย่างเหลืออดขณะมองผู้อาวุโ
เฟนด์หยุดเดินและกำมือแน่นขณะที่เขาโกรธมากค่าธรรมเนียมอย่างว่าไม่ควรมีตั้งแต่แรก และพวกเขาก็ไม่เคยขอมาก่อน มันไม่ยุติธรรมเลยเพราะตระกูลฮันท์คิดขึ้นมาเพื่อทำเงินให้ตัวเอง ใครจะรู้ล่ะว่าอีกฝ่ายรับเงินไปเหมือนกับสมเหตุสมผล พวกเขากล้าแม้แต่จะดูถูกเพราะมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง"ช่างเถอะ!" แนชมองเฟนด์และยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ "โลกก็เป็นอย่างนี้แหละ คนมีอำนาจก็มีสิทธิในการพูดมากกว่า ตระกูลฮันท์มีปรมาจารย์ระดับเทพแท้จริงถึงสี่คน และยังมีปรมาจารย์ที่อยู่ระดับขั้นสูงและขั้นกลางอีกมาก เราสู้เขาไม่ได้เพราะมีระดับสูงมาก ไม่ใช่แค่ตระกูลฮันท์เท่านั้นนะ แต่ยังต้องหลีกทางให้ตระกูลอื่นด้วย!"เฟนด์เข้าใจเลยว่าการกระทำของเขาคือตัวแทนของตระกูลวู๊ดด้วย เขาคลายหมัดหลังจากพยักหน้าเห็นด้วยและพูด "เอาล่ะ ผมเข้าใจ ตระกูลพวกนั้นคงไม่กล้ารังแกหรือดูถูกเรา ถ้าเราทำให้ตระกูลวู๊ดเข้มแข็งได้!""ใช่ ไม่มีทางอื่นแล้ว มาพยายามให้เต็มที่เพื่อให้ตระกูลเราแข็งแกร่งกันเถอะ!" แนชถอนหายใจ หินวิญญาณมากกว่า 1000 ชิ้นก็พอแล้วสำหรับคนใหม่ ๆ ของตระกูลวู๊ดที่จะให้ใช้ได้ถึงหนึ่งเดือนอย่างไรก็ตาม พวกเขาทำอะไรไม่ได้เมื่อต้องเจอกับ
บอสเลนยิ้มเมื่อเห็นแนชลังเล "นายท่านวู๊ด ห้องที่นี่พอกับคุณและคนอื่น ๆ อีกห้าร้อยคนเท่านั้น ถ้าจะมาพัก ผมจะติดป้ายว่าเต็มแล้ว ถ้าไม่ได้วางแผนจะเช็คอินที่นี่ คุณก็ต้องไปดูที่อื่นและปล่อยให้คนอื่นเข้ามาได้นะ!"แนชยิ้มเล็ก ๆ "ยังมีเวลาอีกห้าวันและหินวิญญาณทั้งหมดสี่ร้อยห้าสิบใช่ไหม?"บอสพยักหน้า "ถูกต้อง ราคานี้ต่ำมากแล้ว!"แนชพลิกมือและหยิบหินวิญญาณขึ้นมาพร้อมจ่าย"เดี๋ยวก่อน พวกเราจะพักที่นี่!" ทันใดนั้นก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดแนชกระตุกมุมปากทันทีเมื่อได้ยินคนที่พูดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนายท่านเทรนตันของตระกูลลาโกริโอ"ฮ่า ๆ... แนช วู๊ด บังเอิญจริง ๆ ใครจะรู้ว่าจะได้เจอหลังจากเพิ่งมาถึงที่เมืองโกเบ!" ไดอาน่ายิ้มอย่างเย็นชาและมองไปที่สมาชิกของตระกูลวู๊ดอย่างเกลียดชัง เธออยากจะฆ่าพวกนี้ทั้งหมด“นายท่านลาโกริโอ บังเอิญจริง ๆ เลยนะ ใครจะรู้ว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้!"แม้ว่าเขาจะรู้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะได้เจอกับสมาชิกในตระกูลลาโกริโอและได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้เทรนตันพึมพำอย่างเย็นชาก่อนจะมองเฟนด์ "นี่เฟนด์เหรอ? เหมือนแนชเลยนะ!""นา
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ