ณ ช่วงเวลานั้นทําให้เธอเป็นคนดี"ขอบคุณมาก" ฉันจะดื่มอีกสองแก้วเพื่อเป็นการขอโทษ"สีหน้าเธอยังคงรู้สึกอับอาย เธอฝืนยิ้มพร้อมกับเทไวน์ลงในแก้วสองใบแล้วกระดกมันลงไปทันที"อ่ะแฮ่ม พวกเรามาฉลองกันต่อกับงานเลี้ยงของเรากันเถอะ! เดี๋ยวเราจะไปคาราโอเกะกันตอน ผมไม่ค่อยชอบร้องเพลงสักเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวผมจะนั่งฟังทุกคนร้องเพลงแทน!”เฟนด์ยิ้มแย้มและพูดอย่างสุภาพจากนั้นคนอื่น ๆ ยังคงลิ้มลองอาหารและดื่มไวน์ต่อไปเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันเลยผ่านไปแล้วถึงตอนสองทุ่ม ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะจ่ายบิลอาหารเย็น"ท่านคะ นี่คือบิลของคุณ ทั้งหมด 363,207 เหรียญ!พนักงานเสริฟหนึ่งในสองสาวที่ดูดี เธอคอยให้บริการและดูแลทุกคนในวันนี้ เดินเข้าไปหาเฟนด์ด้วยนรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ “ท่านคะ ท่านจะชำระด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตดีคะ?”ถึงแม้ว่าพนักงานเสริฟจะรู้อยู่แล้วว่าลูกค้าส่วนมากจะต้องชำระเงินผ่านด้วยบัตรเครดิต แต่เธอก็ต้องทำตามหน้าที่และถามคำถามพวกนี้ต่อไป"จ่ายด้วยเงินสดครับ” ทุกคนตกตะลึงในทันทีเมื่อเฟนด์ชี้ไปที่ถุงผ้าที่อยู่มุมห้อง"เงินสด? อยู่ถุงผ้านั่น?"พนักงานสาวเสิร์ฟถึงกับผงะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบก
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็มาถึงคลับธุรกิจสุดหรู จากนั้นพวกเขาถูกพาเข้าไปในห้องวีไอพีที่โอ่อ่าการค่าใช้บริการที่นี่มีราคาไม่แพง แต่เพราะจำนวนคนที่มากมาย ที่มารวมกันที่นี่ อาจจะมีค่าใช้จ่ายประมาณหนึ่งหมื่นถึงสองแสนเหรียญ หรืออาจจะมากกว่านั้นแน่นอนว่าซ่อนย่าไม่กล้าที่จะสงสัยในความสามารถของเฟนด์เกี่ยวกับการจ่ายเงินอีกต่อไป ถุงผ้าขนาดใหญ่ของเขา เงินสดในที่อยู่ข้างในนั้นเกือบทำให้เธอตาบอดในค่ำคืนนี้พวกเขาสั่งอาหารที่เป็นขึ้นชื่อมามากมายและพวกเขาก็เริ่มกินและดื่มกันหลังจากการชักชวนและเกลี้ยกล่อมอยู่สักพัก เซเลน่าก็ขึ้นไปบนเวทีแล้วร้องเพลง สักเพลงสองเพลง น้ำเสียงของเธอน่ารักมาก“พนักงาน! กรุณาคิดเงินด้วย!”เมื่อถึงเวลา เฟนด์ก็จ่ายเงินทั้งหมดโดยไม่ต้องรอ ทั้งหมดสองแสนสองหมื่นเหรียญ เขาทําให้พนักงานรับเงินจำนวนสองแสนสามหมื่นเหรียญ และที่เหลือคือค่าทิปสำหรับพนักงาน เฟนด์เดินออกจากห้องวีไอพี พร้อมกับเงินหนึ่งล้านสี่แสนที่เหลือในกระเป๋าของเขาพร้อมที่จะกลับบ้านซอนย่าและเฟลิเซียออกอาการบูดบึ้งตลอดเวลา พวกเธอสามารถไปกับดื่มและร้องเพลงร่วมกับทุกคนได้ แต่พวกเธอรู้สึกอายที่จะออกไปจากสถานที่
เฟนด์เดินเข้าไปหลังจากที่เขาได้รับอนุญาตจากเซเลน่า"นี่..."พนักงานชายหลายคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างจ้องมองหน้ากันไปมาอย่างลังเล“ว้าว คุณอยากเข้าไปจริง ๆ เหรอ?” ซอนย่าอยากเห็นภาพตรงหน้าจริง ๆ เธอรู้สึกดีใจมาก “คุณเทย์เลอร์ คุณแน่ใจเหรอว่าสามีสุดที่รักของคุณจะไม่เป็นอะไร? ไม่ใช่แค่คนหรือสองคนตรงนั้น” ซอนย่าภาวนาอย่างหนักให้เฟนด์ถูกพวกอันธพาลทุบตีจนตาย คนอวดดีอย่างเขาไม่ให้ความเคารพต่อเธอ แล้วยังทำให้เธอดูแย่ต่อหน้าทุกคน"ฉันเชื่อมั่นในตัวเขา!"เซเลน่ายิ้มอย่างเมินเฉย เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ เฟนด์ได้ต่อยลูกน้องของนีล นั่นมันทำให้ความเชื่อมั่นของเธอที่มีต่อเขาจึงมากขึ้น"แกมีปัญหาอะไร ห๊ะ ไอ้งั่ง? ตอนนี้พยายามอยากจะเป็นฮีโร่มากใช่ไหม?”ผู้ชายสองคนเดินไปหาเฟนด์ เมื่อพวกเขาเห็นเฟนด์เดินเข้ามาใกล้"ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอมาที่นี่เพื่อดื่มกับลูกค้าเพียงเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อนอนกับคุณ คุณได้ยินเธอไม่ชัดเจนเหรอ? ปล่อยเธอไปซะ ไม่อย่างนั้นผมจะทำให้คุณเข้าใจว่าอะไรคือความเสียใจที่แท้จริง”"ว้าว แกกำลังพูดถึงอะไรรู้รึเปล่า? แกรู้ไหมว่าเราเป็นใคร?" ชายคนหนึ่งในพวกเขาหัวเราะเยาะและทำหน้าหยิ่ง
พนักงานในแผนกจัดซื้อเห็นเฟนด์ล้มผู้ชายสามคนด้วยการชกแค่ไม่กี่หมัด ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ต้องยอมรับว่าเฟนด์มีความสามารถมากพอที่จะเป็นบอดี้การ์ดให้กับครอบครัวเดรคได้ผู้ชายหลายสิบคนวิ่งออกมาจากห้องวีไอพีทันที หลังจากที่หนึ่งในนั้นตะโกนเข้าไปข้างในห้อง“โอ้วว พระเจ้า พวกเขามีกันหลายสิบคน!"ซอนย่าและคนอื่น ๆ ต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาล้มลุกคลุกคลานไปหลายก้าว กลัวจะได้รับบาดเจ็บเมื่อสงครามได้เริ่มขึ้น“ขอบคุณค่ะ ฉันขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ฉันแค่คิดว่าขอบคุณอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอ!" หลังจากผู้ชายเลิกควบคุมเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็หลบอยู่หลังเฟนด์ทันที "แต่พวกเขามีเบอร์เธอ" หล่อนพูดต่ออย่างกระอักกระอ่วน "คุณคะ ฉันจะทํายังไงดีคะ?"เฟนด์ยิ้มให้เธออย่างแห้ง ๆ "แค่ยืนอยู่ข้างหลังผม ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมคือ เฟนด์ วู๊ด แม้ราชาแห่งเทพจะอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่กล้ามองผมเป็นคนโง่!"เท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาจากพื้น เตะเข้าที่หน้าท้องของชายที่สักนั่น เฟนด์เตะชายที่มีรอยสักจนล้ม ทําให้เขากระแทกชนกับคนข้างหลังสองถึงสามคน ชายคนนั้นก็พุ่งเข้าใส่เฟนด์“ให้ตายสิ จัดการมัน!"มีคนตะโกนขึ้นมาว่า แล้วอยู่ ๆ
เซเลน่าก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าว และอธิบายสถานการณ์ให้คุณไมเออร์ฟัง“เธอพูดถูก คุณไมเออร์ คนพวกนี้จงใจเสียงดัง คุณต้องทําอะไรสักอย่าง!"พนักงานจัดซื้อบางคนเสนอเหตุผลและแสดงความเห็นชอบ"คุณไมเออร์ ฉันแค่มาดื่มกับลูกค้าเท่านั้น ทํางานพาร์ทไทม์วันละสามร้อยเหรียญ ตอนที่คุณรับสมัครงาน คุณบอกว่านี่เป็นงานที่ทํางานพาร์ทไทม์วันละสามร้อยเหรียญ! ฉันไม่ได้อยากขายร่างกายของฉัน!"ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เหมือนแบนชีที่กําลังจะตาย เธอร้องไห้คร่ำครวญ "ขะ-แต่พวกเขา..."คุณไมเออร์ทําบางสิ่งที่เหลือเชื่อ เขาตบเธออย่างแรงก่อนที่เธอจะพูดจบไป… "อย่างกับท่อนไม้!"“คุณหมายความว่ายังไง คุณไมเออร์?" เซเลน่าโกรธเกรี้ยว ความโกรธปะทุขึ้นในหัวใจเธอคุณไมเออร์หัวเราะ "เรื่องอะไรขึ้นกับพวกคุณ? มันเป็นกิจการภายในของบริษัทเรา!" คุณไมเออร์แย้งว่า "อีกอย่างเธอควรจะรู้อยู่แล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากเธอมาทํางานที่นี่" นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นลูกค้าประจําของเราด้วย! มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้จ่ายเงินให้กับเธอ เงินกี่พันที่เธอจะได้รับ ถ้าเธอนอนกับพวกเขาแค่วันสองวันล่ะ?"คุณไมเออร์หัวเราะอย่างเยือกเย็นและโอหัง จ้องเซเลน่าด
“ฉัน-ฉันหวังว่าคุณจะ... แต่คนที่หนุนหลังพวกเขาอยู่มีอำนาจมากไม่ใช่หรือ? เราจะทํายังไงดีเมื่อ..." เซเลน่ากัดริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มยั่วยวนของเธอ คิ้วของเธอขมวดคิ้วเล็กน้อย“หึ หึ ที่รัก คุณแค่อนุญาตให้ผมจัดการก็พอ ถ้าพวกเขากล้าพูดผิดกับผม มันก็เหมือนมีเรื่องกับพวกเดรคใช่ไหม?" เฟนด์หัวเราะและกระซิบบอกหูของเซเลน่าเซเลน่าฟังเขา ตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที เขาพูดถูก! ตอนนี้เขาเป็นบอดี้การ์ดชั้นยอด ที่ครอบครัวเดรคจ้างมา นอกจากนี้คุณทันย่ายังให้ค่าจ้างเขาสูงมาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ตราบเท่าที่พวกเดรค สามารถช่วยพวกเขาได้ ทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว!“เป็นคู่รักกันอย่างนั้นเหรอ?”นายไมเออร์เห็นพวกเขากระซิบกันอย่างรักใคร่ ก็หัวเราะเยาะพวกเขาอย่างเย็นชา"ไอ้เด็กเหลือขอ ยังอยากสู้ใช่ไหม?" เราเกี่ยวข้องกับตระกูลคลาร์ก ตระกูลคลาร์กคือ ตระกูลที่ทรงอิทธิพลอันดับ สองของเมืองนี้ แกจำคำพูดโง่ ๆ ของแกตอนนี้ได้หรือยัง? ถ้าแกกล้าเริ่มมัน”นายไมเออร์ถูกตบเข้าที่หน้าอย่างแรง ก่อนที่นายไมเออร์จะได้ตัดสินโทษเพี๊ยะ!ไมเออร์พ่นเลือดออกมาเต็มปาก ฟันสองหลุดออกมาจากปากของเขา“ไอ้ลูกหมา! แกกล้
เมื่อแดนชําเลืองมองไปทางที่ไมเออร์ชี้ ใบหน้าของเขากระตุกอย่างรุนแรงราวกับเส้นเลือดในสมองของเขากำลังจะแตกราวกับแดนสำนึกได้ว่าคราวนี้น้องเขยที่น่ารักของเขาได้ยั่วยุคนที่ไม่ควรจะไปยุ่งด้วยเลย!เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาโล่งใจเมื่อรู้ว่านายน้อยคลาร์กพาจอมพลที่มีความสามารถไปกําจัดเฟนด์ แต่นายน้อยคลาร์ก็กลับมาด้วยใบหน้าดูซีดเซียวจนน่าเกลียด เขาตะโกนว่า เดนนิส ฮาวเวิร์ด เป็นจอมพลที่ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น และในตอนแรกจอมพลเดนนิสก็พูดอย่างมั่นใจเกินไปว่า เขาจะส่งเฟนด์ไปที่หลุมฝังศพ แต่ทั้งคู่ได้หลบไปอยู่ในห้อง และได้พูดคุยกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ในที่สุดจอมพลก็โน้มน้าวนายน้อยคลาร์กไม่ให้ระรานเฟนด์ ถ้าตระกูลคลาร์กทําให้เฟนด์โกรธ พวกเขาคงจะต้องถอนรากถอนโคนตัวเองแดนตกใจกับข่าวนี้อีกครั้งเขารู้ว่าเฟนด์แข็งแกร่ง แต่เขาไม่ได้คิดว่าแม้แต่จอมพลก็จะไม่กล้าสัมผัสเส้นผมของเขาแม้แต่เส้นเดียว เป็นไปได้มากที่ เฟนด์ วู๊ด จะเป็นราชาแห่งสงคราม"สวัสดี แดน โลกช่างแคบจริง ๆ”เฟนด์หัวเราะเยาะและพูดต่อว่า "คุณจะทํายังไงต่อไป?"“เราจะทํายังไงดี? เราจะส่งแกไปหายมทูต ไอ้โง่! แกยังไม่ได้เจอพี่ชายฉันเลย เขามีชื่อเส
"อ๊ากกกก!"เสียงกรีดร้องตีโพยตีพายทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือก เสียงกรีดร้องนั่นทำให้เลือดภายในตัวของทุกคนหนาวสั่น คนส่วนใหญ่กลัวถึงขั้นต้องหลับตาลง"ที่รัก ไปกันเถอะ!"เฟนด์คว้ากระเป๋าแล้วพาดไว้บนบ่า เขามองไปที่พนักงานพาร์ทไทม์แล้วพูดว่า "ยังจะอยากอยู่ที่นี่ไหม? ไปเดี๋ยวนี้!”ผู้หญิงคนนี้ตกใจกับฉากตรงหน้า จนเฟนด์เรียกสติเธอกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง เธอรีบตามเฟนด์และคนอื่น ๆ ออกจาก KTV อย่างรวดเร็ว“เลิกทํางานในสถานที่แบบนี้ได้แล้ว!” เซเลน่าตําหนิเธอ "ทําไมเธอถึงคิดจะทํางานที่นี่ตั้งแต่แรก? เธอทํางานอะไร?" เธอถามหล่อน หน้าผากของเธอเหี่ยวย่นในขณะที่เธอถามผู้หญิงคนนั้นมองเฟนด์กับเซเลน่า แล้วหล่อนก็คุกเข่าต่อหน้าพวกเขา "ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้!" ฉันชื่อ เจสสิก้า แฟร์ ฉันทำงานที่สํานักงานประกันสังคม แต่ฉันต้องทํางานพาร์ทไทม์เพื่อหาเงินและจ่ายค่าผ่าตัดของพ่อ เนื่องจากพ่อของฉันป่วยอย่างมาก เราจำนองบ้านของเราไปแล้ว แต่เราก็ยังขาดเงินอยู่ ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากทํางานที่นี่เพื่อหาเงินเพิ่ม"น้ำตาพวยพุ่งออกมาเมื่อเธอคิดถึงสถานการณ์ของพ่อของเธอ เธอบอกว่า "ประกาศรับสมัครงานของพวกเขาแสดงใ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ