เคย์ล่าสันนิษฐานว่าเฟนด์คงกลัว ตอนที่เธอเห็นคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน “ใช่แล้ว ฉันจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังนะ” เธอพูด “บางครั้ง คนตระกูลวู๊ดจะมีเพื่อนสนิทที่คอยแนะนำใครสักคนให้ หรือ พวกเขาอาจจะลงจากภูเขามาเพื่อเลือกผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์สักสองสามคนเพื่อเข้าสู่ตระกูลวู๊ด ซึ่งเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นได้ยาก แต่บางคนก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลวู๊ดได้เพราะแบบนั้น!”เคย์ล่าหยุดไปสักพักก่อนที่จะพูดต่อว่า “สมาชิกในตระกูลแมคคนหนึ่งโชคดีพอที่จะเข้าไปในตระกูลวู๊ดได้ และเขาสามารถเข้ากับพวกเขาได้ดี ดังนั้นตอนนี้เขาจึงคิดว่าได้ถือหางเสือ และเขายังเป็นผู้ฝึกยุทธระดับเทพแท้จริงขั้นกลางด้วย คุณแมคจึงทำตัวอวดดีเพราะเหตุผลนี้!”“รีบออกไปเถอะพ่อหนุ่ม มันจะสายเกินไปถ้าคุณไม่ออกไป ดูจากนิสัยของเธอ ฉันมั่นใจว่าออทัมน์จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่! อีกอย่าง คุณเป็นคนตัดแขนลูกสาวลำดับที่หนึ่งของตระกูลแมค นายท่านแมคก็คงไม่ปล่อยคุณไปเหมือนกันแน่!”ชายชราแนะนำเฟนด์กับเซเลน่าอย่างวิตกกังวล“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของพวกคุณ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เราก็ไม่ควรออกไปจากที่นี่มากกว่านะ!”เฟนด์ยกมือขึ้นเพื่อทำความเคารพทั้งสองค
“ฮึ่ม ฉันทนเห็นมันไม่ได้หนิ ฉันดูดีในชุดแบบโบราณ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะดูดีมากไปกว่าฉัน สิ่งที่เห็นมันทำให้ฉันโมโห!”ผู้หญิงคนนั้นโกรธจัด สายตาของเธอเต็มไปด้วยความร้ายกาจ “เรารีบกลับกันเถอะ” เธอพูด “เราจะปล่อยทั้งคู่ไปแบบนั้นไม่ได้ ฉันจะให้พ่อไปฆ่ามัน!”ชายร่างท้วมถึงกับพูดไม่ออก แต่เขาก็ไม่มีคำคัดค้านใด ๆ เพราะยังไงซะ เขาก็เป็นเพียงลูกเขยที่ไปอาศัยอยู่กับตระกูลแมค ไม่มีฐานะพิเศษอะไรในตระกูลแมคเลย ถ้าเขาไม่ยอมต่อความปรารถนาของเธอ เธอและตระกูลของเธอคงทำให้ชีวิตของเขาทุกข์ทรมาน“ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือกหนิที่รัก ยังโกรธผมอยู่ไหม?”ชายร่างอ้วนพยุงเธอเดินไปข้างหน้าสีหน้าของออทัมน์มืดลง “มันเป็นความผิดของคุณที่เป็นนักสู้ที่ห่วยแตกและอ่อนแอ ฉันคงไม่ถูกรังแกแบบนี้ถ้าคุณไม่ใช่คนไร้ประโยชน์” เธอตะคอกออกมาและจ้องไปที่สามีของเธอ “ดูชายคนนั้นสิเมื่อกี้นี้สิ เขาไม่มีอะไรเหมือนคุณเลย คุณมันก็แค่ผู้ฝึกยุทธระดับหกที่อายุมากแล้วก็เท่านั้น คุณคงจะถูกหัวเราะเยาะถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป...”…ชายร่างท้วมพูดไม่ออก เขาเพิ่งช่วยออทัมน์จนกระทั่งพวกเขามาถึงตระกูลแมค“คุณหนู เกิด-เกิดอะไรขึ้น?”บอดี
เอซมองลูกเขยที่อ่อนแอของเขา แล้วเขาก็พากลุ่มผู้อาวุโสและนักสู้ที่ทรงพลังรีบไปยังที่สถานนั้น พวกเขาทั้งหมดเคลื่อนตัวเร็วมาก ราวกับว่าพวกเขาเป็นดั่งเงาที่วิ่งแข่งในความมืด“รอผมด้วย…”ชายร่างท้วมที่อ่อนแอถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว เขาเหนื่อยมากจนหอบหายใจไม่หยุด ตามความเร็วของนักสู้พวกนั้นไม่ทัน“พ่อ หนูคิดว่าพวกคงไปแล้ว เมื่อกี้หนูไม่น่าบอกพวกเขาเลยว่าหนูเป็นลูกสาวของตระกูลแมค ตอนนี้พวกเขารู้แล้ว พวกเขาต้องหนีไปแล้วแน่!”ระหว่างทาง ออทัมน์พูดกับพ่อของเธอสีหน้าของเอซดุดันขึ้น เขาไม่พูดอะไรเลยสักคำ ความโกรธเดือดขึ้นมาในเส้นเลือดของเขา“เอ๊ะ พวกเขายังอยู่ที่นี่ พวกเขาอยู่ตรงนั้นค่ะพ่อ พวกเขากำลังกินบาร์บีคิวกันอยู่!”อย่างไรก็ตาม ไม่นานดวงตาของออทัมน์ก็เป็นประกายขึ้นหลังจากที่เธอเห็นคนสามคนกำลังกินอาหารอยู่ที่ร้านบาร์บีคิว“ทำไมเคย์ล่าถึงไปอยู่ที่นั่น? เธอเป็นเพื่อนของพวกเขาเหรอ?”เอซกำหมัดแน่นในขณะที่เขาเฝ้าดูเหตุการณนั้นจากระยะไกล“หนูไม่คิดว่าเคย์ล่าจะรู้จักพวกเขานะ ก่อนหน้านี้เธอยังเคยโน้วน้าวทั้งคู่ให้ขายเสื้อผ้าให้หนูอยู่เลย บางทีพวกเขาอาจเลี้ยงข้าวเธอเพราะพวกเขาคิดว่าเ
“ออทัมน์ใช่ไหม? เฮ้ ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้ ฉันยังกินข้าวไม่เสร็จเลย!”เฟนด์เดินเข้ามาหาเธออย่างสบาย ๆ “อย่าบอกนะว่าคุณมาที่นี่เพื่อขอบคุณที่ฉันไว้ชีวิตคุณ” เขาพูดพร้อมยิ้ม “ฮ่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก คุณพาคนจำนวนมากมาที่นี่เพื่อขอบคุณฉันเลยเหรอ คุณทำให้ฉันเขินนะ!”หลายคนที่กังวลเกี่ยวกับเฟนด์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะคำพูดของเขา แม้แต่ในตอนนี้ เขายังมีกระจิตกระใจมาพูดล้อเล่นอยู่อีก“เฮ้ แกตัดแขนลูกสาวของฉัน แล้วแกยังมาบอกว่าฉันควรจะขอบคุณแกอีกเหรอ ไอ้บ้า? แกคิดว่าฉันโง่เหรอ?”เอซหัวเราะและจ้องเฟนด์เขม็ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาดูน่ากลัวมาก ออร่าของนักสู้ระดับเทพแท้จริงปกคลุมรอบตัวเขา“นายท่าน ให้ฉันเป็นคนฆ่าไอ้เด็กบ้านี่เอง ให้ตายสิ เขายังมัวมานั่งกินบาร์บีคิวอยู่เลย เขาไม่เคารพตระกูลแมคเลย!”ชายชราซึ่งเป็นปรมาจารย์ระดับแปดก้าวออกมาข้างหน้าสองสามก้าว พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหดเอซยิ้มอย่างร่าเริง “ขอบคุณพระเจ้าที่เขายังกินบาร์บีคิวอยู่ที่นี่ เราจะไปหาเขาเจอได้ที่ไหน ถ้าเขาหนีไปซะก่อนแล้ว”“ผู้อาวุโสลำดับที่สอง อย่าฆ่าหมอนี่ทันทีนะ” ออทัมน์เตือ
ปัง!ทันใดนั้นเองก็เกิดแรงระเบิดที่รุนแรงขึ้น คลื่นดาบของเอซถูกทำลายด้วยคลื่นดาบของเฟนด์ที่ลบล้างมันได้ในทันทีคลื่นดาบที่น่ากลัวนั่นหายไปแล้ว และพลังคลื่นดาบของเฟนด์ก็หายไปด้วยแต่พลังที่หลงเหลืออยู่ก็อัดกระแทกร่างกายของเอซอย่างแรง“อ่อก!”เอซกระอักเลือดออกมาทันที เขาลอยกระเด็นถอยหลังไป มีรอยเท้าประทับอยู่บนหน้าอกของเขา“นายท่าน!”นักสู้ของตระกูลแมคหลายคนหวาดกลัวจนหน้าซีดเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้านายของพวกเขาอยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นต้นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟนด์วูบ ฟุ่บ ฟุ่บ!เฟนด์ตวัดดาบส่งคลื่นดาบออกไปอีกหลายครั้ง ผู้อาวุโสหลายคนที่เป็นปรมาจารย์ขั้นสูงถูกฆ่าตายทันที“วิ่ง!”พวกเขาที่เหลือซึ่งไม่ได้เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งมากนัก หลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้ว ต่างก็รีบหันหลังวิ่งหนีไปชายร่างท้วมที่ในี่สุดก็ตามมาทันรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกตระกูลแมคและหนีออกมาทันที นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลแมคตายแล้ว และตระกูลของพวกเขาก็หนีไปเกือบหมดแล้ว“อั่ก!”เอซลุกขึ้นยืน เลือดกระอักออกมาจากปากเขาอีกครั้ง เขาแทงดาบลงบนพื้น
“นาย...นายน้อยเฟนด์ วู๊ด?” เอซ แมค ตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมไกอัส แมคถึงคุกเข่าและพูดว่าเฟนด์คือนายน้อย นั่นหมายความว่าหมอนี่เป็นนายน้อยจากตระกูลหลักของตระกูลวู๊ดงั้นเหรอ? ไม่งั้น ทำไมไกอัสถึงคุกเข่าต่อหน้าเขา?“นายน้อยตระกูลวู๊ด!” เคย์ล่า ลีห์สูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม้เสียบบาร์บีคิวในมือของเธอเกือบจะหล่นลงพื้น ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเฟนด์ถึงได้ไม่กลัวอีกฝ่ายเลย ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่เขายังมีตำแหน่งที่ทรงอำนาจมากอีกด้วย“นายน้อยเฟนด์ พี่...พี่ชายรองของผมไปทำให้คุณโกรธเคืองเหรอ? ได้โปรดยกโทษให้พวกเขาด้วย!” สีหน้าของไกอัสซีดเผือด ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกพี่ชายของเขาแล้วว่า ห้ามไปทำให้คนในตระกูลวู๊ดโกรธเคือง เพราะเขารู้ว่าพี่ชายของเขาชอบตามใจหลานสาวของเขาตอนที่เธอรังแกผู้คนในเมืองเขาบอกเรื่องนี้กับเอซและคนอื่น ๆ ด้วยตัวเอง เขาขอให้เอซควบคุมลูกสาวของเขา ไม่อย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็วอาจจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม เอซก็พูดเสมอว่าเขาจะอบรมลูกสาวของเขาอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้เธอเสียหน้าไกอัสคิดเสมอว่าคงไม่มีผู้มีอำนาจในเมืองคนไหนที่จะแข
“จริงหรือ?” เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาและมองผู้คนรอบ ๆ ก่อนจะพูดว่า “ทุกวันนี้การกระทำของหัวหน้างานอย่างเขาได้ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายทุกคนหรือเปล่า? หากมีการกระทำแบบนั้นเกิดขึ้น กรุณาบอกผมด้วย ผมจะได้ฆ่าเขาและกู้ชื่อเสียงให้ตระกูลของผม!”คำพูดของเฟนด์มีอำนาจมาก เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้นของเทพเจ้าไกอัสหวาดกลัวมากจนเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดี แต่เขาก็กลัวมากว่าจะมีใครบางคนเข้ามาแล้วทำบางอย่างเพื่อให้เขาถูกฆ่า เพราะยังไงซะ ความจริงเรื่องที่เขาเป็นหัวหน้างานของตระกูลวู๊ดก็ทำให้หลายคนอิจฉา ริษยา และเกลียดชังเขา“เขาไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดี!” ในตอนนั้นเอง เคย์ล่าคิดเกี่ยวกับมันและลุกขึ้นยืน “ไกอัสไม่ค่อยลงจากภูเขาและเขายุ่งอยู่กับการฝึกฝนอยู่ตลอด เขาคงคิดที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้พิทักษ์ ดังนั้นภรรยาของเขาก็มักจะบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอมักจะพูดว่าเขาอยู่แต่บนภูเขาและไม่ค่อยลงมาหาพวกเขาเลย!”“ใช่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ภรรยาของเขามักจะบ่นอยู่เสมอ!” ผู้หญิงคนหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วยไกอัสแอบโล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น เขามองไปที่ฝูงชนและพูดว่า “ขอบคุ
"เข้าร่วมตระกูลวู๊ดเหรอ?" เคย์ล่าโพล่งขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ดวงตาเธอเป็นประกายเต็มไปด้วยความยินดี "เอาจริงเหรอ? ไม่ได้โกหกกันนะ ใช่ไหม?" ท่าทีเธอเปลี่ยนไปอย่างระแวง เธอพูดต่อว่า "คนธรรมดาไม่มีอำนาจที่จะพาใครเข้าตระกูลวู๊ดได้ เว้นแต่จะมีตำแหน่งสูงในตระกูล เช่น ผู้อาวุโส ผู้พิทักษ์ หรือไม่ก็ลูกของผู้อาวุโส!"เซเลน่าแทบจะกัดฟันกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่ไหวกับการกระทำของเด็กสาว "ไม่ต้องห่วง เธอเข้าร่วมตระกูลวู๊ดได้แน่นอนถ้าเฟนด์พูดอย่างนั้นแล้ว เขาคือลูกชายของนายท่านตระกูลวู๊ด เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งนายท่านในตอนนี้""โอ้... พระเจ้า!" เคย์ล่าตกใจมากกับข่าวนี้ เธออ้าปากกว้างจนแทบจะวางไข่ได้วินาทีต่อมา เธอก็กลืนน้ำลายตัวเองและพูดว่า "ทายาทของนายท่านเหรอ...? นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณมีหวังที่จะได้เป็นนายท่านในอนาคตเหรอ? ฉันไม่รู้ว่าคุณมีสถานะที่มีเกียรติอย่างนี้ ไม่แปลกใจที่ไกอัสจะคุกเข่าอย่างไม่ลังเลตอนที่ได้เจอคุณ!""ฮ่า ๆ...! ฉันไม่สนใจการได้เป็นนายท่านหรอก เลยไม่ยึดติดกับสิ่งนั้น พ่อฉันทำได้ดีแล้ว!" เฟนด์หัวเราะเขาเชื่อว่าจะรักษาพ่อได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่ทำยาแล้ว ด้วยอายุของแนช มันจะไม่เป็นปั
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ