เชอร์ลี่ย์ชะงักเมื่อได้ยินว่าวิลตันอาจมาทำร้ายพ่อแม่ของเธอ เธอเซถอยหลังไปสองก้าวเพราะความตกใจ“ไปกันพี่สาว เรากลับกันเถอะ วันนี้พี่ควรพักผ่อนให้เพียงพอและเตรียมใจให้พร้อมสำหรับงานแต่งงานในอีกสองวัน” เฮนดริกพูดออกมา รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะที่พูด “พี่คงจะไม่ปล่อยให้ราชาสงครามเจ็ดดารามาทำลายตระกูลแลงคาสเตอร์ทั้งหมดใช่ไหม?”“พี่ไม่คิดเลยว่าวิลตันจะเป็นคนสารเลวขนาดนี้ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้พี่แต่งงานกับเขา” เชอร์ลี่ย์ยิ้มอย่างเย็นชาและมองซาเวียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วตะโกนออกมา “ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพ่อ! หนูเคยบอกพ่อไปแล้วว่า มันคงดีกว่าถ้าพ่อทำงานร่วมกับตระกูลนอร์ตันน้อยลง และไม่ทำโครงการให้ใหญ่มากนัก พ่อทำอะไรลงไป? พ่อไม่เคยฟังหนูเลยและยืนกรานที่จะทำโครงการใหญ่! ฮ่า ๆ...! พ่อทำไปเพราะอยากได้เงินมากขึ้น พ่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไหม? พ่อทำลายความสุขในชีวิตที่เหลือของลูกสาวตัวเอง!”“เฮ้อ...พ่อรู้ว่าเรื่องนี้พ่อเป็นคนผิด ลูกพ่อ พ่อควรจะฟังลูกตั้งแต่แรก แต่พ่อก็ไม่มีทางเลืก พ่อรู้ว่าลูกเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ลูกคงจะไม่ยืนเฉย ๆ และมองดูตระกูลแลงคาสเตอร์ถูกกำจัดทิ้งใช่ไหม?
เชอร์ลี่ย์ยิ้มอ่อน ๆ “ฉันจะทำอะไรได้อีก? ฉันไม่คิดเลยว่าจะทำให้วิลตันทำตัวแบบนี้ในเมื่อแผนเดิมของฉันคือการทำให้เขายอมแพ้ ฉันไม่มีวิธีอื่นที่จะแก้ปัญหานี้แล้ว เพราะตอนนี้เขาใช้วิธีแบบนั้นมาข่มขู่ฉัน”เธอยิ้มอย่างขมขื่นและพึมพำออกมา “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ควรคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาอาจจะปฏิบัติต่อฉันอย่างดีก็ได้ถ้าพวกเราแต่งงานกัน”แม้ว่าเธอจะปลอบใจตัวเองด้วยความคิดพวกนี้ แต่เชอร์ลี่ย์ก็รู้ดีว่าวิลตันเป็นผู้ชายเจ้าชู้ เธอจะมีความสุขได้ยังไงหลังจากที่พวกเธอแต่งงานกัน?“งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสองวันใช่ไหม? เราอาจจะช่วยคุณได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดหวังไป” เฟนด์เดินเข้ามาและพูดอย่างไม่ใส่ใจ“นาย?” เชอร์ลี่ย์ตกใจมาก แล้วเธอก็ส่ายหน้าที่มีรอยยิ้มขมขื่น “พวกนายจะช่วยฉันได้ยังไง? บอดี้การ์ดที่นายน้อยนอร์ตันพามาในวันนี้เป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดธรรมดา ๆ แต่ในตระกูลของพวกเขายังมีปรมาจารย์อีกหลายคน นอกจากนี้ เขายังรู้จักกับราชาสงครามเจ็ดดาราด้วย และนั่นก็น่ากลัว พูดง่าย ๆ เลยนะ ตระกูลของเขาไม่ใช่พวกที่เราจะไปทำให้โกรธเคืองได้ นายเข้าใจไหม?”“คุณแค่จำไว้ว่า ผมจะช่วยคุณเอง” เฟนด์ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบา
เฟนด์มีความหวังขึ้นมาแวบหนึ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าของร้านขายยาบอกกับพวกเขา ทั้งหมดจึงนั่งแท็กซี่ไปที่คฤหาสน์ตระกูลซิมเมอร์ทันทีแต่เฟนด์กับคนอื่น ๆ กลับถูกหยุดไว้ตอนที่พวกเขามาถึงทางเข้า“พวกคุณคือ...?” บอดี้การ์ดคนหนึ่งถามออกมา“อ๋อ ฉันคือคุณหนูของตระกูลแลงคาสเตอร์ เชอร์ลี่ย์ แลงคาสเตอร์ ฉันอยากขอพบนายท่านของตระกูลซิมเมอร์” เชอร์ลี่ย์ทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพเธอเตือนเฟนด์ให้ทำตัวดี ๆ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง ตระกูลซิมเมอร์เป็นตระกูลชนชั้นหนึ่งในเมืองวิญญาณ แม้แต่ตระกูลนอร์ตันก็ยังไม่กล้าทำให้พวกเขาโกรธเคือง ไม่ต้องพูดถึงตระกูลแลงคาสเตอร์เลยอย่างไรก็ตาม เธอคิดว่ามันคงจะไม่มีปัญหา ถ้าเธอขอพบนายท่านของตระกูลพวกเขาด้วยเกียรติของเธอ“โอ้ คุณหนูเชอร์ลี่ย์!” บอดี้การ์ดชำเลืองมองเชอร์ลี่ย์พลางยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นไงบ้างคุณหนูเชอร์ลี่ย์ คุณไม่ได้กลับมาพรุ่งนี้หรอกเหรอ? ผมจะแจ้งนายท่านให้คืนนี้แล้วพรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่นะ ผมต้องขอโทษด้วย แต่วันนี้คงไม่ได้พบนายท่านหรอก”“วันนี้เราพบเขาไม่ได้เหรอ? ทำไมพบไม่ได้ล่ะ?” เชอร์ลี่ย์สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เธอรู้ว่าเฟนด์กับคนอื่น ๆ ต้องการบัวหิมะมาก ถ้าหา
ทั้งวิลโลว์และเชอร์ลี่ย์ต่างก็เป็นห่วงเฟนด์มากเพราะยังไงซะ บอดี้การ์ดพวกนี้ก็เอาไปเทียบกับบอดี้การ์ดของตระกูลนอร์ตันไม่ได้ พวกนี้เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลซิมเมอร์และมีผู้ช่วยผู้บัญชาการรวมอยู่ด้วย“อยากตายนักรึไง?” พวกบอดี้การ์ดยังไม่หยุดเมื่อเห็นเฟนด์กับคนอื่น ๆ บุกเข้ามา พวกเขาจึงกำหมัดพุ่งเข้าใส่คนทั้งสามปัง! เพียะ! ผัวะ!พวกบอดี้การ์ดล้มลงกับพื้น พ่ายแพ้พร้อมใบหน้าซีด“โอ้พระเจ้า พวกเขาเริ่มสู้กันจริง ๆ แล้ว!” สีหน้าของเชอร์ลี่ย์กับวิลโลว์เปลี่ยนไปหวาดกลัวเมื่อพวกเธอเห็นทั้งสามคนชนะมันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาแพ้ แต่เพราะพวกเขาเอาชนะบอดี้การ์ดของตระกูลซิมเมอร์ได้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเฟนด์กับคนของเขาได้ล้ำเส้นไปแล้วแต่ถึงอย่างนั้นเฟนด์กับคนของเขาก็ไม่ได้หยุด พวกเขาก้าวออกมาข้างหน้าแล้วล้มพวกบอดี้การ์ดที่ขวางทางพวกเขาไว้วิลโลว์กับเชอร์ลี่ย์วิตกกังวลมากพลางพูดขึ้นมาว่า “พี่สาว เราควรทำยังไงต่อดี? เราควรตามพวกเขาไปไหม?”“ไปกันเถอะ!” เชอร์ลี่ย์กัดฟันและเดินไปข้างหน้า รีบเดินตามเฟนด์กับคนของเขาไปอย่างรวดเร็วเมื่อเหลือบมองไปที่บอดี้การ์ดที่นอนอยู่บนพื้น วิลโลว์ก็รีบเดินตามไปทันที
น่าเสียดายตอนที่ความวุ่นวายสงบลง บอดี้การ์ดของตระกูลซิมเมอร์ทั้งหมดก็ล้มลงบนพื้น พวกเขาร้องคร่ำครวญออกมา“อะไรกัน? พวกเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” เชอร์ลี่ย์กับวิลโลว์ตกตะลึง บอกไม่ได้เลยว่าเฟนด์กับคนของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน พวกปรมาจารย์ตระกูลซิมเมอร์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย...“นายท่าน แย่แล้ว! แย่แล้ว! ข้างนอกมีการสู้กัน!” บอดี้การ์ดวิ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่นของตระกูลซิมเมอร์ “มีคนหลายคนพยายามบุกเข้ามาในบ้านเพื่อขอพบนายท่าน พวกเขาไม่ยอมฟังเราที่บอกว่าให้พวกเขากลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็เลยสู้กับคนของเรา!”บอดี้การ์ดก้มหัวลงด้วยความอับอายและพูดต่อว่า “พวกเขาแข็งแกร่งมากจนเราแทบจะสู้กับพวกเขาไม่ได้ แม้แต่ระดับหัวหน้าผู้บัญชาการก็ถูกพวกเขาอัดจนกระเด็น”“เป็นไปได้ยังไง! พวกมันเป็นใคร? พวกมันกล้าดียังไงบุกมาที่บ้านของเรา!” สีหน้าของนายท่านตระกูลซิมเมอร์มืดลงขณะที่เขาลุกขึ้นยืนราชาสงครามผู้ที่มารักษานายหญิงเฒ่าก็ยืนขึ้นเช่นกัน “ดูเหมือนเราคงต้องออกไปดูข้างนอกกันสักหน่อย!”“นั่นสิ!” นายท่านตระกูลซิมเมอร์พยักหน้า เขาเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับผู้พิทักษ์ของตระกูลซิมเมอร์หลายคนและราช
“ใช่ ๆ ใช่แล้ว...ทุกคน เชิญ...เชิญทุกคนเข้าไปด้านใน!” ผู้อาวุโสของตระกูลซิมเมอร์หลายคนส่งยิ้มอบอุ่นให้เฟนด์กับคนของเขา ไม่เย่อหยิ่งและดูถูกเหยียดหยามเหมือนก่อนหน้านี้พวกเขามองไปที่เฟนด์อย่างหวาดกลัวปรมาจารย์คนนี้สามารถฆ่าทุกคนที่คฤหาสน์นี้ได้ถ้าเขาต้องการ“ก็ได้” เฟนด์พยักหน้าและเดินตามพวกเขาเข้าไปข้างในไม่นานทุกคนก็นั่งลงในห้องนั่งเล่นโดยไม่อ้อมค้อม เฟนด์ก็เริ่มพูดทันทีว่า “นายท่านซิมเมอร์ ผมชื่อ เฟนด์ วู๊ด ที่ผมมาที่นี่เพราะได้ยินมาว่าคุณเพิ่งซื้อบัวหิมะมา เรื่องมีอยู่ว่า พ่อของผมป่วยหนักและเขาต้องการสมุนไพรตัวนี้ ดังนั้นที่ผมมาที่นี่วันนี้ด้วยหวังว่านายท่านซิมเมอร์จะมอบสมุนไพรนี้ให้ผมได้”“เอ่อ…” นายท่านซิมเมอร์ดูอึดอัด เขาเหลือบไปมองนายหญิงเฒ่าที่นอนอยู่บนโซฟาและพูดว่า “เฟนด์ แม่ของฉันก็ป่วยมาหลายปีแล้ว และในที่สุดหมอปาฏิหาริย์ก็มาที่นี่ช่วยรักษาเธอ ฉันก็ต้องการบัวหิมะนี้มาก หมอถึงกับบอกว่าถ้ายังรักษาแม่ของฉันไม่หาย เธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินปีนี้”ในขณะเดียวกัน ราชาสงครามก็ยังคงจ้องมองลาน่ากับอีธานอยู่ ทั้งคู่ดูคุ้น ๆ มาก แต่เขาก็นึกไม่ออกเฟนด์เดินไปที่โต๊ะและหยิบบัวห
ราชาสงครามขมวดคิ้วอย่างสงสัยไม่กี่วินาทีต่อมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหวาดกลัว “พระเจ้า เป็นพวกเขาจริง ๆ ด้วย เป็นสองคนนั้นจริง ๆ ! ฉันไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เจอพวกเขา!”“คุณหมอ คุณกำลังพูดถึงใคร? คุณรู้จักคนพวกนั้นเหรอ?” นายท่านซิมเมอร์รู้สึกงุนงง จากที่เขาเห็นสีหน้าของราชาสงครามที่บ่งบอกว่าคนพวกนั้นเป็นคนสำคัญ“ใช่แล้ว และมันคงจะดีกว่านี้ถ้าฉันจำพวกเขาได้ทันทีที่เจอ โธ่เอ๊ย ฉันเพิ่งมาจำได้ตอนที่พวกเขาจากไปแล้ว” ราชาสงครามพูดด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ “ผู้หญิงคนนั้นคือเทพีสงคราม ลาน่า เซคส์ และผู้ชายคนนั้นคือเทพสงคราม อีธาน ฮายส์! ท่านอีธาน ฮายส์เป็นหมอปาฏิหาร์ตัวจริง เป็นไอดอลของฉัน!”“ว่าไงนะ?! เทพสงครามสองคน?! ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาแข็งแกร่งมาก!” นายท่านซิมเมอร์รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “แปลก...เพราะพวกเขาทั้งคู่ก็คือเทพสงคราม งั้นเฟนด์ วู๊ดล่ะเป็นใคร? พวกเทพสงครามดูเหมือนจะพูดกับเขาด้วยความเคารพ!”“มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เทพสงครามทั้งสองคนพูดด้วยความเคารพได้!” ราชาสงครามเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างช้า ๆ “คนคนนั้น...คือท่านนักรบสูง
“เอาล่ะ คุณเชอร์ลี่ย์ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ ไม่ต้องกังวล ผมจะไปหาคุณวันมะรืนนี้ คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลนอร์ตัน ผมจะจัดการพวกเขาถ้าพวกเขากล้าบังคับให้คุณแต่งงานด้วย” เฟนด์พูดด้วยรอยยิ้มไม่ใส่ใจหลังจากที่พวกเขาออกจากคฤหาสน์ของตระกูลซิมเมอร์“รักษาสัญญาด้วยนะ ยังไงก็ตาม ฉันจะเชื่อคำพูดของนาย และถ้านายไม่มาฉันจะเกลียดนายไปตลอดชีวิต” เชอร์ลี่ย์กลอกตามองเฟนด์และมองเวลาก่อนจะพูดว่า “งั้นให้ฉันเลี้ยงอาหารเย็นพวกนายดีไหม? ตอนนี้ก็ค่อนข้างเย็นแล้ว ยังไงซะ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกนายมาที่เมืองวิญญาณ ฉันคิดว่าพวกนายไม่รู้หรอกว่าร้านไหนอร่อยมากกว่ากัน งั้นฉันจะใช้โอกาสนี้เพื่อเป็นเจ้าภาพที่ดีแล้วกัน”“ฮ่าฮ่า...ได้สิ! เพราะคุณเชอร์ลี่ย์ใจดีมาก งั้นเราไปกับคุณก็ได้!” เฟนด์หัวเราะและตกลงตามนั้นไม่นานทั้งหมดก็ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เชอร์ลี่ย์กับวิลโลว์ก็กลับไปหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จเช้าวันรุ่งขึ้น เฟนด์ก็มาถึงที่ทางเข้าของร้านประมูลสกายซิตี้พร้อมกับลาน่าและอีธานนี่เป็นร้านประมูลขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองวิญญาณเฟนด์กับคนอื่น ๆ ถูกหยุดไว้ตอนที่พวกเขากำลังจะเดินเข้าไป “คุณครับ เ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ