"ถ้าอย่างนั้น นายน้อยเฟนด์ครับ พวกเราขอบคุณมากสำหรับความใส่ใจที่จะช่วยดำเนินการให้ ที่จริง เราก็แค่อยากบ่นและแสดงออก ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านั้น!" ชายแก่อธิบายอย่างระวัง "เหตุผลหลักคือมันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ที่จริง เราก็มีอัจฉริยะในตระกูลสาขา มีความสามารถทำประโยชน์ เราแต่ขาดทรัพยากร กล้าพูดเลยว่าวัสดุที่เรามีมันหายากมากและทำให้ระดับพลังยุทธของพวกเขาลดลง อนิจจา เราทำได้แค่มองอย่างกังวล"แลนเซล็อตก็พยักหน้าเช่นกัน "เช่นเดียวกับตระกูลสาขาของเรา อัจฉริยะพวกนั้นไม่มั่นใจและร้องเรียนตลอด แต่พวกเขาก็หาสมบัติที่ดีกว่าและหญ้าวิญญาณได้ถ้าระดับพลังยุทธพวกเขาเพิ่มขึ้น เราช่วยพวกเขาไม่ได้ ได้แค่ปลอบใจในตอนที่พวกเขาคลางแคลงใจ"ชายชราผมขาวพยักหน้า "ถูกต้อง ฉันสัญญากับหลานสาวก่อนจะมาที่นี่ไปว่าจะบอกสมาชิกในตระกูลหลักเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันไม่ได้คาดหวังเพราะไม่รู้จะคุยกับใครดี หรือจะเล่าให้ใครฟังดี มันน่ากลัวนะ!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายชราผมขาวก็หยุดและมองเฟนด์ก่อนพูดต่อ "ต้องขอบคุณนายน้อยเฟนด์ที่เชิญเรามา เราได้คุยกันแล้วและตัดสินใจว่าจะบอกความกังวลให้คุณฟัง"แลนเซล็อตยกแก้วไวน์ขึ้นและดื่มให้กับเฟนด์
ผู้นำของตระกูลสาขามาที่ศาลาที่เงียบสงบหลังจากออกจากห้องนั่งเล่นของเฟนด์หนึ่งในนั้นพูดว่า "ทุกคน คิดว่าเราพึ่งพานายน้อยเฟนด์ได้ไหม? มันทำให้ฉันกังวลกับการที่ได้เห็นว่าเขาเพิ่งกลับมาหาตระกูลวู๊ด ฉันว่าคนยังไม่ยอมรับเขาสักเท่าไหร่นัก และลิลลี่ก็อาจจะต่อต้านด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ทุกคนคิดว่าเขาจะช่วยเราได้จริงเหรอ?"ชายชราอีกคนยิ้มตอบ "มันไม่สำคัญสำหรับฉันว่าจะช่วยได้หรือไม่ มันยากที่เขาจะพูดแบบในวันนี้ แต่เขาก็ยังเชิญเรามาทานอาหาร ฉันเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจนานมามากแล้ว ฉันรู้สึกสบายใจหลังจากได้พูดออกไป""ฮ่า ๆ... ถูกต้อง! ฉันก็สบายใจเหมือนกัน!" แลนเซล็อตหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า "อย่างนี้เป็นไง พรุ่งนี้เราก็ค่อยออกจากตระกูลหลักอย่างช้า ๆ ในตอนเช้า พวกนายรอฉันได้ที่ด้านล่างของภูเขามังกร และรอดูว่าเขาจะว่ายังไง ยังไงซะเขาก็บอกให้ฉันไปพบเขาคนเดียวในตอนเช้าวันพรุ่งนี้"แชดขมวดคิ้วและถาม "มันก็ดึกแล้วนะ เขาจะยังไปถามพ่อเรื่องนี้หรือเปล่าน่ะ?""นั่นฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันจะไปยังไงเขาก็พูดไว้อย่างนั้น ฉันแสดงออกมาไม่ได้หรอก!" แลนเซล็อตยิ้มอย่างขมขื่น "กลับไปนอนเร็ว ๆ กันเถ
โจแอนยิ้มอย่างขมขื่น "ทำไมฉันต้องเกลียดคุณล่ะ?" เธอพูด "ฉันเกลียดคุณตั้งแต่แรกเริ่ม ฉันเกลียดความอ่อนแอของคุณ และที่คุณดูแลเราไม่ได้!"เธอถอนหายใจและลุกขึ้นยืน "แต่ฉันไม่ได้เกลียดคุณแล้ว ฉันรู้ว่าคุณรักฉันจริง ๆ และรู้สึกถึงความจริงใจที่มี" เธอพูด "ฉันเข้าใจความไร้อำนาจของคุณ ยังไงซะคุณก็มาอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว พ่อคุณและครอบครัวคุณจะไม่มีวันยอมรับเราแม้ในตอนนั้นก็ตาม นอกจากนี้ ในฐานะนายท่านของตระกูล คุณต้องนึกถึงตระกูลวู๊ดเสมอ!""ขอบคุณมากโจแอน ขอบคุณที่เข้าใจและให้อภัยกัน!"ดวงตาของแนชเปลี่ยนเป็นสีแดง "หรือนี่อาจจะเป็นการลงโทษจากพระเจ้า ที่ทำให้ผมผู้ซึ่งเป็นนายท่านของตระกูลวู๊ดต้องมานอนตายบนเตียงแทนที่จะเป็นสนามรบ" เขาเสริม "ผมคิดวิธีที่ตัวเองจะตายได้มากมาย แต่ไม่คิดว่าจะตายเพราะโดนวางยา!"โจแอนมองแนชด้วยรอยยิ้ม "อย่ามองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น เฟนด์เชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาก ฉันเชื่อว่าเขาจะมีวิธีหายาแก้พิษ ฉันว่าเขาจะหาทางให้อยู่ดี!""ผมว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น มันยากมากที่จะหายาพิษที่ส่งผลกับผู้ฝึกใช้พลังฉีได้ และผู้ฝึกพลังฉีอย่างผมโดนเช่นนี้ แสดงว่าพิษนั้นร้ายกาจมาก!"แนชยิ้มอย่างขมขื
แนชยิ้ม "ก็ เราให้พวกเขาจ่ายมา 50 เปอร์เซ็นต์ตลอด แต่ไม่กี่ปีมานี้เราได้เพิ่มมา 10 เปอร์เซ็นต์เพื่อพัฒนาตระกูลหลัก พวกเขาจึงจ่าย 60 เปอร์เซ็นต์ ช่วยไม่ได้ที่สมาชิกของตระกูลสาขาต้องเสียสละเพื่อให้พวกเราบางคนเข็มแข็งขึ้นมา"แนชซาบซึ้ง "สมาชิกในตระกูลสาขาดีมาก ผู้อาวุโสลำดับสามพูดเอง พวกเขาเข้าใจเรา และให้ความร่วมมือมาเต็มที่ แถมยังให้หญ้ามีชีวิตมาให้เรา พ่อกำลังคิดที่จะคืนเป็น 50 เปอร์เซ็นต์หลังจากตระกูลหลักมั่นคงขึ้นแล้ว"เป็นไปอย่างที่เฟนด์คิดไว้ ผู้อาวุโสลำดับสามและลิลลี่โกหกทุกคนโดยใช้ทรัพยากรเสริมทักษะการต่อสู้ให้ตัวเอง"ถ้าอย่างนั้น พ่อก็ไม่เคยเพิ่มเปอร์เซ็นต์อีกเลยหลังจากเพิ่มไปแล้ว 60 ใช่ไหม? แม้แต่ครั้งเดียว?"เฟนด์ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ"ไม่เลย!"แนชไม่คิดเพิ่มเติมก่อนตอบว่า "60 เปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอแล้ว ตระกูลใหญ่อื่น ๆ ขอตระกูลสาขามาแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น บางครั้ง คนจากตระกูลหลักก็ช่วยหาของมาด้วย แต่ที่นี่ เราอยากให้ทุกคนมีสมาธิฝึกซ้อมและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตระกูลสาขาจึงหาทรัพยากรมาให้เรา 60 เปอร์เซ็นต์!"หลังจากที่เขาพูดอย่างนั้น แนชก็ตระหนักได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟนด์รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ "ไม่ต้องห่วง ผมจะรักษาอาการพ่อเอง" เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม "ตอนนี้ผมสงสัยว่าเป็นลิลลี่ที่จัดการเรื่องยาพิษ เธอส่งนักฆ่ามาตามล่าตัวผมที่อาณาเขตกลาง ใครบอกว่าเธอจะไม่ทำอะไรแบบนี้!""อ่า เธอส่งคนไปลอบฆ่าลูก กับผู้พิทักษ์ที่เก้าคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสลำดับสามและคนอื่น ๆ ก็อยากฆ่าลูกตั้งแต่ประตูทางเข้า นอกจากนี้ยังร่วมมือกับผู้อาวุโสลำดับสามเพื่อนำทรัพยากรเสริมพลังยุทธมาใช้เองด้วยการเพิ่มมาหลักสิบ พวกเขาร่วมมือกันต่อหน้าเรา!"แนชถอนหายใจ "พ่อคงจะโง่มากถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้หลังจากเกิดเรื่องทั้งหมด!" เขาพูดอย่างเหลืออด"แล้วตอนนี้เราควรทำยังไงกันดีครับพ่อ? ผมว่ามันยาก สุดท้ายผู้อาวุโสลำดับสามก็เป็นผู้ฝึกพลังฉีที่ทรงอำนาจ คนเดียวที่สู้กับเขาได้ตอนนี้คือผู้อาวุโวลำดับแรก! เพราะเหตุนี้เราเลยกำจัดพวกนี้ไม่ได้""และลิลลี่ก็ไม่ใช่พวกเซ่อซ่า ที่สำคัญ เธอเป็นลูกสาวคนแรกของตระกูลลาโกริโออีก เราจะทำลายความสัมพันธ์กับตระกูลนั้นเข้าถ้าเราไปฆ่าเธอ ตระกูลลาโกริโอเสื่อมถอยไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ หากเราต้องมีสงครามกัน ผู้อาวุโสบางคนจากตระกูลนั้นก็อาจจะเ
แนชขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดเวลาผ่านไปนานกว่าเขาจะตอบในที่สุด "ก็ดีนะเฟนด์ แต่มันอันตรายเกินไป ตอนที่เราให้รับผิดชอบแก่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ มันเท่ากับว่าเรารู้ว่าลิลลี่และคนอื่น ๆ แอบยักยอกทรัพยากรบ่มเพาะไป 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์จากตระกูลสาขา ถ้าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้เข้า เราจะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้"แนชหยุดครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ "เมื่อผู้อาวุโสจากตระกูลหลักรู้เรื่องนี้เข้า ก็จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เราจะอยู่ในสงครามกัน!""อ่า!"เฟนด์ถอนหายใจ เขาคิดก่อนพูดว่า "แล้วทำไมไม่ให้ผมไปบอกสิ่งที่พ่อพูดกับตระกูลสาขาล่ะ? ผมจะให้เขาพักหนึ่งหรือสองเดือน เราจะเปลี่ยนเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ตอนที่พ่อดีขึ้น แต่ผมมีความคิดดี ๆ ที่มีประโยชน์กับตระกูลสาขา!""เหรอ? ว่ามาเลย!"แนชยินดีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาชื่นชมในความฉลาดและความสามารถที่เฟนด์สงบสติอารมณ์ได้ดี เขาเชื่อว่าตระกูลวู๊ดจะเจริญรุ่งเรืองถ้าเฟนด์ได้เป็นนายท่านแล้ว"ผู้นำของตระกูลสาขาทุกคนบอกว่าสมาชิกพวกเขาเก่งด้านต่อสู้มาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ พวกเขาจึงไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่!"เฟนด์ยิ้มแล้วนั่งลง "เราให้ตระกูลสาขาเลือกคนหนุ่มมาสองสามคนที่พ
"พ่อพักผ่อนก่อนสิ ผมจะกลับก่อน!"เฟนด์พยักหน้าและเดินออกไป"เอาล่ะ ลูกฉันโตแล้วจริง ๆ เป็นผู้ใหญ่แล้วอีกด้วย มากกว่าแลนซ์อีก!"หลังจากที่เฟนด์ออกไป แนชก็นอนลงบนเตียง มีความขอบคุณอยู่บนใบหน้าของเขาเช้าวันต่อมา สมาชิกตระกูลสาขาที่นอนค้างคืนเริ่มเดินทางกลับทุกอย่างดูปกติแต่ไม่มีใครคิดว่าฮัดสันที่กำลังคุยอยู่กับลูกสาวสองคนของตระกูลวู๊ดในศาลา จะสังเกตเห็นแลนเซล็อตกำลังมุ่งหน้าไปบ้านเฟนด์"แปลกนะ ทำไมเขาต้องไปบ้านเฟนด์ด้วย? สมาชิกตระกูลสาขาที่เหลือกลับไปแล้ว ทำไมเขายังไม่ไปอีก? ทำไมไปหาเฟนด์แทนล่ะ?"ฮัดสันขมวดคิ้วขณะจ้องไปที่แผ่นหลังของแลนเซล็อต มีความสงสัยอยู่บนใบหน้าของเขาเมื่อวานเขากระอักกระอ่วนใจมาก อยากจะฆ่าเฟนด์แต่แตะต้องไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วก่อนที่เขาจะถูกกำจัดไปเขาคิดว่าเฟนด์จะเป็นคู่แข่งคนสุดท้ายในโลกด้วยซ้ำที่จะได้ชนะเป็นแชมป์ และได้เป็นทายาทตระกูลวู๊ด"เฮ้ ใครจะรู้ล่ะ? ต้องไปเลียเท้าเฟนด์แน่ ๆ ตอนนี้เขาก็ได้เป็นทายาทแล้ว ทุกคนก็รู้ว่านายท่านจะอยู่ได้อีกไม่นานหลังจากเป็นโรคประหลาดนั่น เฟนด์ก็จะได้กลายเป็นนายน้อย คนมากมายต้องอยากประจบเขาแน่!"ผู้หญิงสวมชุดม่วงพูดด้วย
แลนเซล็อตทักทายเฟนด์ด้วยการโบกมือขณะเดินเข้าไปหา"นั่งก่อนสิ!"เฟนด์ยิ้มให้และให้แลนเซล็อตนั่งลง "ผมไปคุยกับพ่อมาแล้วเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น" เขาพูดอย่างช้า ๆ "เราจัดประชุมเพื่อสนทนากันเรื่องเพิ่มภาษีสำหรับทรัพยากรการฝึก"เฟนด์หยุดก่อนพูดต่อ "แต่เราได้เพิ่มไปครั้งเดียว จาก 50 เป็น 60 เปอร์เซ็นต์ และเราไม่ได้ขอเพิ่มอีก นั่นก็ชัดเจนเลยว่าผู้อาวุโสและนายหญิงคบคิดกันที่จะใช้ทรัพยากรที่คุณให้มา!""ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะเอาไปใช้เอง!"แม้จะสงสัยมานานแล้วว่าเป็นเช่นนี้ แต่แลนเซล็อตก็ยังตกใจหลังจากที่เฟนด์ยืนยันมา และความโกรธก็ประกายขึ้นมาในตัวเขา"แล้วนายท่านอยากให้เราทำยังไง?"ในตอนท้าย แลนเซล็อตก็จ้องเฟนด์อย่างหนัก เขารู้ดีว่าแม้เราจะรู้เรื่องนี้แต่การจะแก้ไขมันก็ไม่ง่ายนอกจากนี้ นายท่านก็ยังป่วยด้วยโรคประหลาด เป็นไปได้ว่ามีคนอยากได้ตำแหน่งเขาเฟนด์คือทายาทคนปัจจุบัน แต่ก็ยังเด็ก และไม่ชำนาญ มันคงยากหากผู้อาวุโสลำดับสามอยากจะก่อกบฏในตอนนี้เฟนด์กลับมามองและยกถ้วยขึ้นจิบ "เขาบอกให้คุณรอสักพักก่อน และกระจายข่าวนี้ไปให้หัวหน้าตระกูลสาขารู้อย่างลับ ๆ" เฟนด์พูด "สถานการณ์ตอนนี้มันซับซ้อน ผ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ