บทที่ 29.
ร่างเล็กของหญิงสาวที่เดินอย่างเหนียมอายเข้ามายังชานเรือนกว้างขวางซึ่งตั้งสำรับอาหารไว้พร้อมสรรพนั้น ดึงดูดทุกสายตาให้มองไปที่เธอจนมนตรารู้สึกประหม่าเมื่อคนทั้งห้ามองมายังตนเป็นจุดเดียว...
“เข้ามาเลยจ้ะน้องมน มานั่งข้างๆ พี่นี่มา...” บารนีเป็นผู้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานในแบบของเธอทั้งยังเดินมาจูงมือเล็กไปนั่งข้างๆ ตน ทั้งอัคราและอัคนีต่างก็ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรและเอ็นดูเว้นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งหน้าตึงอยู่ตรงข้ามกับเธอ...
“น้องมนอย่าไปสนใจโดมเลยค่ะ พี่รักว่าวันนี้เป็นวันดีนะที่เราอยู่กันพร้อมหน้าซึ่งนานๆ จะมีโอกาสแบบนี้” ยอดรักกล่าวขึ้น หญิงสาวอยู่ในชุดคลุมท้องผ้าไหมสีสวยงดงามยิ้มหวานให้เธอพลางสั่งให้แม่บ้านตักข้าวให้ทุกคน
“น้องมนทานเยอะๆ นะครับ ดูจะผอมไปนะเราน่ะ ตัวเล็กเกินไปเดี๋ยวไม่มีแรงสู้กับยักษ์ใหญ่” อัคนีกล่าวยิ้มๆ อย่างเป็นกันเองแล้วหันไปหลิ่วตาให้น้องชายที่นั่งจิบไวน์ข้างๆ
“บอกให้เธอระวังยักษ์ใหญ่จะจับหักคอด้วยก็ดีนะผมว่า” อัครวัฒน์เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหงุดหงิด
บทที่ 30.“อื้ม อา... คุ คุณโดม... อุ๊ย... โอว...” เมื่อสิ่งที่คิดว่าเป็นความฝันนั้นชัดเจนมากขึ้นเมื่อมือร้อนผ่าวสัมผัสกายสาวความง่วงงัวเงียหายไปถ้อยคำที่จะเอ่ยขัดเขาก็กลายเป็นเสียงครางเบาๆ ด้วยความซ่านรัญจวนแทนที่...มือบางอ่อนแรงเกินกว่าจะผลักอกกว้างเปล่าเปลือยซึ่งเธอจำได้ว่าเธอใส่เสื้อให้เขาแต่ตอนนี้เสื้อนอนของเขามันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่เธอก็ไม่อาจจะให้ความสนใจว่าเสื้อผ้าของเขาหรือของเธอมันจะอยู่ตรงมุมไหนของห้อง เพราะตอนนี้เธอต้องสนใจอย่างอื่นมากกว่านั่นคือความร้อนเร่าที่ก่อเกิดในกายสาวที่เริ่มเดือดระอุมากขึ้นตามจังหวะเรียวลิ้นและมือใหญ่ร้อนผะผ่าวที่ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างเปลือยเปล่า...เขาช่างมีความสามารถในการถอดเสื้อผ้าเป็นเลิศเสียจริงๆ ถอดเบามือจนไม่รู้สึกและรวดเร็วจนเธอไม่อาจจะทัดทานเขาได้เลยสักครั้ง...มนตราครางเบาๆ ในลำคออย่างยอมแพ้พลางแอ่นกายขึ้นเหนือที่นอนนุ่มเมื่อทรวงสาวอวบใหญ่ถูกปากและลิ้นของเขาดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อย ยอดทรวงสีหวานแทบจะละลายไปในอุ้งปากร้อนผ่าวของเขาร่างสาวบิดเร่าส่ายพลิ้วเสียดส
บทที่ 31.“ก็ไม่มีอะไร แค่เซ็งๆ” จะไม่ให้เซ็งได้อย่างไรไหว สองวันมานี้เขาแทบไม่ได้เห็นหน้ามนตราเลยเพราะเธอถูกยอดรักกับบารนีฉกตัวไปเป็นนางแบบและสองสาวนั่นก็เป็นเสมือนเงาตามตัวมนตราเพราะต้องสอนท่วงท่าการเดินแบบให้มนตราและลองเสื้อผ้ากันสนุกสนานประสาสาวๆ ผิดกับเขาที่เกิดความเบื่อหน่ายจนถึงขั้นเกิดอาการเซ็งๆ อย่างที่เป็นอยู่ เขาอยากจูบอยากกอดอยากทำอะไรๆ ต่อมิอะไรกับเธอแต่ก็ไม่มีโอกาสเสียเลยตลอดสองวันมานี้มันช่างเป็นสองวันที่แสนทรมานเสียจริงๆ และเป็นครั้งแรกที่นึกอยากจะให้พี่ชายพี่สะใภ้ของตนหายออกไปจากชีวิตของเขาชั่วขณะ...“เฮ้ย หน้าตาแบบนี้คำพูดแบบนี้ใครเคยพูดมาก่อนนะ พี่เด่นรึเปล่า...”“นายอย่ามาโยนให้ฉันไอ้เดียว นายนั่นล่ะเคยพูดตอนที่ง้อเมียไม่สำเร็จเสียที แล้วก็มานั่งทำหน้าบูดเป็นตูดม้าถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนคนเบื่อโลกอย่างที่ไอ้โดมมันเป็นอยู่ตอนนี้ไง และฉันกับยอดรักก็รักกันดีไม่มีโกรธเคืองกันเว้ย...”อัครารีบออกตัวทั้งหมั่นไส้น้องชายคนรองที่ไม่ยอมรับความจริงว่าตนเองนั่นล่ะเคยมีอาการเช่นนี้ตอน
บทที่ 32.“พี่ไม่รู้หรอก พี่แค่แวะมาดูว่าทำอะไรกันอยู่ถึงได้ขลุกอยู่ที่นี่กันทั้งวัน...” พูดจบคนตัวโตก็เดินจากไปแบบมึนๆ ตึงๆ ยอดรักกับบารนีหัวเราะคิกคักอย่างรู้ทันแต่มนตรากับหน้าเครียดเพราะรู้ดีว่าเขาไม่พอใจเธอ...“อย่าคิดมากค่ะน้องมน โดมเขาก็เป็นแบบนี้ล่ะแต่ไม่มีอะไรหรอก ความจริงโดมน่ะเป็นคนน่ารักจิตใจดีและอ่อนโยนมากนะ เอาล่ะ เรามาสนใจงานของเรากันดีกว่า มนพร้อมนะ...”ยอดรักตบบ่าสาวรุ่นน้องเบาๆ พลางจับร่างอรชรของคนที่ตัวเล็กกว่าตนหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อดูความเรียบร้อยอีกที“ค่ะพี่รัก มนจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”“ดีมากจ้ะ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ นั่นล่ะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ทุกคนที่อยู่ข้างนอกนั่น ก็เป็นคนเหมือนๆ กับเรา...”ทั้งยอดรักและบารนีต่างก็ให้กำลังใจน้องสาวที่น่ารักด้วยรอยยิ้มจริงใจซึ่งมันทำให้มนตรารู้สึกใจชื้นขึ้นมาและพร้อมจะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วยความเต็มใจ...เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่องานแฟชั่นโชว์จบลง นางแบบในชุดฟินาเล่นั้นดูจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษและได้
บทที่ 33.เช้าวันนี้อัครวัฒน์ตั้งใจจะพามนตรากลับบ้านริมหาดและคิดว่าจะไม่ให้เธอกับมิ่งเมืองได้พบกัน ไม่ใช่เพราะมิ่งเมืองร้องขอแต่เพราะเขากำลังเซ็งและเบื่อที่พวกพี่ๆ เอาแต่มองเขาด้วยแววตาล้อเลียนและตอนนี้ที่ไร่ก็มีคนเยอะเกินไปดังนั้นเขาจึงคิดจะกลับบ้านริมหาดอันเงียบสงบและเป็นส่วนตัวของตนจะดีกว่าที่สำคัญอยู่ที่ไร่ขณะที่คนในตระกูลมากันเกือบครบองค์ประชุมเช่นนี้เขาจะทำอะไรก็ไม่ถนัด...“อะไรวะ มาไม่ทันไรจะกลับแล้วเหรอ อยู่ต่ออีกสักวันสิโดม” อัคราทำหน้ายุ่งเพราะยังไม่อยากให้น้องชายรีบกลับเนื่องจากนานๆ จะได้รวมพลกันครบสามพี่น้องแบบนี้“ไม่ดีกว่า ผมมีอะไรต้องทำเยอะแยะ...”“ที่ว่ามีอะไรต้องทำนี่คือทำอะไรวะ” อัคนีถามน้องชายยิ้มๆ อัครวัฒน์มองหน้าพี่ชายทั้งสองเก้อๆ ไปเล็กน้อยเมื่อเจอแววตารู้ทัน สามหนุ่มคุยกันไปเรื่อยๆ ในขณะรอสาวๆ ยกอาหารออกมาจากครัว“มาแล้วค่า วันนี้มีแม่ครัวคนเก่งมาช่วยทำอาหารอีกคน รับรองได้ว่ามื้อนี้อิ่มอร่อยแน่นอนค่ะ...” ยอดรักผู้เป็นเจ้าของบ้านกล่าวพร้อมทั้งยกถาดอาหารเช้ามาวางต
ตอนที่ 34.“มันใช่ความผิดของผมคนเดียวรึไงกันล่ะ...”“ความผิดของแกคนเดียวเลยไอ้โดม...” พี่ชายทั้งสองพร้อมใจพูดประโยคเดียวกันเหมือนนัดไว้ด้วยความหมั่นไส้น้องชายที่ป่านนี้ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับอะไรอารมณ์ผู้หญิงยามโกรธนั้นน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ได้ชื่อว่า เมีย...ในขณะที่พี่ชายทั้งสองกำลังหามุกไปง้อภรรยาของตนอัครวัฒน์เองก็กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรกับมนตราดี... จะไปต่อหรือหยุดแค่นี้...มนตราเดินแทบจะวิ่งออกมาจากเรือนไม้สักหลังงามด้วยน้ำตานองหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง และไม่รู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ส่วนไหนของไร่ รู้แต่เพียงว่ารอบกายเธอคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีม้าบางตัวที่เลาะเล็มหญ้าเขียวขจีอยู่อย่างสบายอารมณ์ดูอิสระเสรี...มนตราเดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาด้วยอาการคล้ายคนที่กำลังจะหมดแรง หญิงสาวนั่งกอดเข่ามองเจ้าม้าที่กำลังเล็มหญ้าอย่างมีความสุขด้วยความริษยาพวกมันพลางปาดน้ำตาที่แก้มซีดเซียวของตนออกแต่ยิ่งเช็ดก็เหมือนว่ามันยิ่ง
บทที่ 35. “คุณโดม...” มนตรากับมิ่งเมืองหันมามองผู้มาใหม่อย่างตระหนกเล็กน้อย มนตราเดินมาขวางชายหนุ่มไว้ด้วยท่าทางเหมือนจะปกป้องพี่ชายของตัวเองทั้งที่ตนตัวเล็กเท่ามดเมื่อเทียบกับเขา แววตาหญิงสาวดูแข็งกร้าวและตัดพ้อจนคนมองรู้สึกใจคอแกว่งๆ แต่เก็บอาการเอาไว้...“กลับกันได้แล้ว หมดเวลาเล่นสนุกแล้วหนูน้อย”“คุณควรปล่อยมนไป ผมก็ได้รับโทษจากคุณแล้วมันไม่ยุติธรรมหากคุณทำร้ายมนเพียงเพราะเธอเป็นน้องสาวผม” มิ่งเมืองบอกเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งรู้สึกสงสารน้องสาวจับใจ“มันเรื่องของฉัน เพราะถึงยังไงนายก็สมควรจะได้รับโทษอยู่แล้ว คนที่ทำให้ฉันเจ็บมันจะต้องเจ็บมากกว่าหลายร้ายเท่า...”“คนใจร้าย... ใจคอคุณจะทำลายเราให้ตายตามคนรักของคุณไปเลยหรือไง” มนตราอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาและเป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยพาดพิงถึงใครอีกคนที่คิดถึงเมื่อไหร่เธอก็รู้สึกเจ็บปวดเสียทุกครั้งไป...“เธออย่าเอาตัวเองมาเปรียบกับหนูเล็ก หากจะเทียบกัน
บทที่ 36.“พ่อคะ... มนคิดถึงพ่อ...” เสียงแหบแห้งของคนที่นอนหลับสนิทเอ่ยขึ้นเหมือนละเมอทำให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์คิดแล้วเดินมาแตะหน้าผากมนด้วยความห่วงใย...“มน... เป็นไงบ้าง...”“ใคร... พ่อหรือคะ หรือพี่เมือง... อย่าทิ้งมนนะคะ อย่าไป อย่าปล่อยมนให้อยู่กับคนใจร้าย เขาใจร้าย ใจร้าย...”ดวงตาที่หลับพริ้มลืมช้าๆ สะลึมสะลือพลางคว้ามือหนาไปแนบแก้มแดงๆ เพราะพิษไข้ของตน ทั้งพยายามกอดร่างแกร่งของเขาไว้เหมือนกลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง จนอัครวัฒน์ต้องเอนกายลงกึ่งนั่งกึ่งนอนเคียงข้างคนตัวเล็กอย่างเสียไม่ได้และเป็นห่วงเธอ“นี่ฉันเอง พี่โดมไงคนดี... หลับซะนะ ไม่ต้องห่วงพี่โดมจะอยู่เป็นเพื่อนมน พี่โดมจะดูแลมนเอง...” ชายหนุ่มปลอบเบาๆ แต่คำพูดของเธอในประโยคท้ายทำให้ใจของเขาแกว่งไกวนี่เขาใจร้ายกับเธอมากขนาดนั้นเลยหรือ... อัครวัฒน์ลูบปอยผมที่ละใบหน้านวลออกแล้วก้มลงหอมแก้มนวลเบาๆ ใจที่แข็งกระด้างอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัวมนตราขยับกา
บทที่37.“ไม่ปล่อย อยากได้คืนต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”“ไม่ค่ะ มันเป็นของมน คุณไม่มีสิทธิ์จะมาหยิบฉวยอะไรของมนไป แม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าชีวิตมนแต่บางสิ่งบางอย่างมันควรจะเป็นของส่วนตัว เอาคืนมานะ”เมื่อเห็นว่าตนจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ มนตราก็เริ่มจะแสดงความดื้อรั้นและมีปฏิกิริยาที่เรียกว่าสัญชาติญาณการปกป้องตนเองออกมา ใบหน้านวลดูจริงจังและแดงก่ำด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เจ้าตัวพยายามปกปิด...“เธอนี่แกล้งทำตัวใสซื่อได้เนียนมาก” ชายหนุ่มเย้าไม่จริงจังนักเพียงแต่อยากจะแกล้งแหย่ให้มนตราแสดงอารมณ์อื่นออกมามากกว่าเย็นชาหน้าบึ้งไม่มองไม่สนใจเขาเหมือนตอนที่นั่งรถกลับมาจากไร่อัครา เพราะเขาเองก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้นเลยทั้งที่ตั้งใจจะกลั่นแกล้งทำให้เธอเสียใจ เจ็บปวด แต่เป็นเขาเสียเองที่ทนไม่ได้และไม่อยากเจอสภาพแบบนั้น มันทรมานจนเขาอึดอัดไปหมด ยิ่งเห็นน้ำตาของเธอเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ“มนไม่เคยแกล้งทำตัวใสซื่ออย่ามาหาความมนนะคะ ปล่อยมนเลยคนไร้หัวใจ...” ยิ่งคิดถึงสิ่งที่เขาทำและคำพูด
บทที่ 61. อวสาน “ไม่อยากนอนค่ะอยากทำอย่างอื่น..” มนตราบอกสามีเสียงพร่าเล็กน้อยแล้วเผยอกายขึ้นผลักเขานอนลงแทนที่ตนก่อนจะก้มลงไล้เลียยอดอกของเขาอย่างที่เขาทำกับเธอเมื่อครู่อัครวัฒน์ถึงกับครางเสียงดังเลยทีเดียว..“โอ้ว มนจ๋ามนที่รัก... ดีเหลือเกินเมียจ๋า...” อัครวัฒน์ครางกระเส่าเร่าร้อน กายแกร่งปวดหนึบไปด้วยความต้องการอยากจะโจนจ้วงเข้าสู่โพรงร่างสาว อัครวัฒน์ร้อนจนไม่อาจจะรีรอให้หล่อนเล่นเกมเหนือเขาได้ ชายหนุ่มผลักร่างเล็กลงนอนแทนที่ตนเปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุก มนตราหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจเมื่อเห็นแววตาและความพรั่งพร้อมของสามี อัครวัฒน์ก้มลงไปยังกึ่งกายสาวแล้วแตะแต้มริมฝีปากเลียไล้ไปทั้งกลีบกายสาวสดฉ่ำชุ่มชื้น...“อ๊า โอ้ววว... พี่โดมขา...” มนตราครางกระเส่าแล้วแอ่นหยัดสะโพกเข้าหาปากร้ายของเขาเร่าๆ ด้วยความเสียว ก่อนที่สะโพกมนจะเกร็งค้างกับปากและลิ้นของเขาเมื่อพุ่งทะยานไปสู่ความสุขสมอัครวัฒน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจับร่างเล็กให้ก้มก้งโค้งในท่าคลา
บทที่ 60. มนตรามองสามีที่กำลังจูงมือลูกๆ มาหาตนในสวนผักปลอดสารพิษที่เธอกับลูกสาวฝาแฝดทั้งสองช่วยกันปลูก น้องมิ่งแก้ว กับ น้องมิ่งขวัญ ชอบกินผักซึ่งเธอพอใจมากที่เด็กๆ ชอบกินผัก ตอนนี้เด็กหญิงทั้งสองสี่ขวบแล้ว“คุณแม่ขา.. พวกเรามาแย้วววว..” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักวิ่งมาหาผู้เป็นแม่จนผมเปียปลิวไสว มนตรากางแขนรอรับลูกสาวทั้งสองแล้วหอมแก้มแดงๆ ของสองสาวจอมซนหนักๆ อย่างรักใคร่และมันเขี้ยว“เหงื่อท่วมมาเชียวไปเล่นอะไรกันมาคะเนี่ย”“วิ่งจับผีเสื้อค่า แต่จับไม่ได้สักตัว” เด็กหญิงมิ่งขวัญตอบเจื้อยแจ้ว“ผีเสื้อบินเร็วๆๆ แบบนี้ค่า” เด็กหญิงมิ่งแก้วทำท่าบินๆ ให้ผู้เป็นแม่ดู“ผีเสื้อบินน่ารักจัง”“ช่ายค่า น่ารักเหมือนแก้วเหมือนขวัญ” เด็กหญิงทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันแล้วกอดคอกันยิ้มแฉ่งให้บิดามารดาของตน“เซี้ยวจริงๆ เลยลูกพ่อ” อัครวัฒน์เดิน
บทที่ 59.“เมื่อคืนมนฝันถึงคุณชลิตาด้วยค่ะ” มนตราบอกสามีซึ่งซบหน้าหอบกระเส่าอยู่กับอกอวบใหญ่ของตนหลังจากที่เพลงรักเร่าร้อนที่ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่จบลง...แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ความรักที่พวกเขามีให้กันก็ยังคงฉ่ำหวานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้ลูกๆ ไม่อยู่ขัดความสำราญพวกเขาก็ยิ่งรักกันเหนียวแน่นมากขึ้น เพราะน้องมิ่งแก้วกับน้องมิ่งขวัญในวัยสองขวบนั้นไปเที่ยวพักผ่อนที่ไร่ของคุณลุงเด่นคุณป้ายอดรักกับคุณปู่คุณย่าที่ยังคงแข็งแรงสดใส ซึ่งยินดีจะเลี้ยงดูหลานๆ เพื่อให้โอกาสลูกชายลูกสะใภ้คนดีได้อยู่ด้วยกันลำพังบ้างมนตรากับอัครวัฒน์นั้นต่างช่วยกันเลี้ยงดูลูกๆ ฝาแฝดทั้งสองด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนพวกเขาก็จะยกกันไปทั้งครอบครัว มาดคุณโดมแฟมิลี่แมนจึงเป็นที่กล่าวขวัญและมนตราก็เป็นหญิงสาวที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาในความโชคดีของเธอที่ได้สามีที่ดีแสนน่ารักอย่างคุณโดม อัครวัฒน์ ดีแลนด์ คนนี้...“จริงเหรอ เหมือนพี่เลย พี่ก็ฝันว่าหนูเล็กมาเยี่ยม เธอดูมีความสุขมากทั้งที่พี่ไม่ได้ฝันถึงเธอมานานมากตั้งแต่เราแต่งงานกัน...”
บทที่58.“แล้วแก้แค้นเธอสำเร็จไหมคะ...” มนตราถามล้อๆ พลางยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์...“ก็ไม่รู้สินะ รู้แต่ว่ามันทำให้พี่ได้ทั้งเมียและลูกมาพร้อมๆ กัน...”อัครวัฒน์ยิ้มกว้างพอๆ กับเธอที่ยิ้มไม่หุบ รอยยิ้มสดใสของมนตราดังมีมนต์ขลังที่ทำให้เขาถอนสายตาจากใบหน้านวลไม่ได้เลย ชายหนุ่มมองเธออย่างหลงใหลจนมนตรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับแววตาที่เริ่มจะพราวพรายของเขา“เราทานข้าวกันดีกว่าค่ะ มนอยากจะไปเดินเล่นในไร่...” หญิงสาวตัดบทและหาทางเอาตัวรอดจากเปลวเสน่หาของเขาไปก่อนในเช้านี้อัครวัฒน์รู้ทันความคิดเธอจึงคีบจมูกเล็กๆ นั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วนั่งลงเคียงข้างกัน... หนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันและคุยกันด้วยความรักและเข้าใจ ความบาดหมางความแค้นเคืองขึ้งโกรธมลายหายไปจากใจของพวกเขาจนหมดสิ้นมีเพียงความรักอ่อนหวาน ที่โอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยรักแท้ที่ต่างอภัยให้กันและกัน...หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้วอัครวัฒน์ก็จดทะเบียนกับมนตราไว้ก่อนแล้วจัดงานแต่งงานใ
บทที่57.พระมิ่งเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเต็มไปด้วยเมตตาธรรมซึ่งมนตราสัมผัสได้ น้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นออกจากดวงตางามช้าๆ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือคนคนเดียวกันที่เคยทำร้ายเธออย่างเลือดเย็นมาก่อน...“ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่หรอกนะโยมน้องมน... อะไรที่ดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ควรจะคว้าไว้ โดยเฉพาะความสุขเพราะมันอาจจะอยู่กับเราไม่นาน หรือ เราอาจจะไม่ได้อยู่จนพบเจอมัน หากให้มิจฉาทิฐิบดบังจิตใจ... หลวงพี่จะบอกกล่าวเพียงเท่านี้...” มนตรารู้สึกเหมือนมีใครเขี่ยผงเล็กๆ ออกจากตาทั้งที่รู้แต่เธอกลับเขี่ยมันออกเองไม่ได้“ไหนแบมือมาสิโยมน้องมน...” หญิงสาวยื่นมือออกไปตามที่หลวงพี่บอก แล้วพระมิ่งเมืองก็วางของสิ่งหนึ่งลงบนมือของเธอด้วยการปล่อยให้มันตกลงมาเบาๆ มนตรามองของตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ“ฝากไปให้โยมโดมด้วย บอกว่าเป็นของขวัญจากหลวงพี่ให้เป็นของขวัญแต่งงาน... เจริญพร...”“สาธุค่ะหลวงพี่...” มนตราสาธุการด้วยความซาบซึ้งมองตามหลังพระมิ่งเมืองไปด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยควา
บทที่ 56.“หากไม่ยุ่งกับเมียจะไปยุ่งกับใครล่ะครับ ไม่เอาไม่ทะเลาะกันนะ เดี๋ยวลูกเราจะหน้ายุ่ง...”“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปคะ”“ทำไมน้องมนพูดแบบนี้ล่ะครับ เมียอยู่ที่ไหนผัวก็ต้องอยู่ที่นั่นสิครับ”“ฉันจำได้ว่าไม่เคยแต่งงานกับคุณนะคะ และเราก็ไม่ได้มีสถานะอะไรที่เกี่ยวข้องกันแล้ว แม้แต่แฟน หรือคนรัก เราก็ไม่เคยใช้มันร่วมกันมาก่อน...” คำพูดของเธอทำให้อัครวัฒน์สะอึกถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว...“พี่...”“พอเถอะค่ะ หากคุณจะทำทุกอย่างให้ฉันเพื่อไถ่โทษ หรือเพราะรู้สึกผิดที่หลอกใช้ฉันเพื่อนแก้แค้น เราจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันยกโทษให้คุณ เราเป็นอิสระต่อกัน... ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ถือว่าเราให้โอกาสกันและกัน ให้อิสระกันและกัน ฉันอาจจะได้เจอผู้ชายสักคนที่รักฉันจริงและพร้อมจะดูแลฉันกับลูก คุณเองก็อาจจะเจอผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมกับคุณทุกๆ ด้าน ผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกสาวพ่อบ้านกระจอกๆ อย่างฉัน...”มนตราตัดสินใจพูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองมีหวังอะไรลมๆ แล้ง
บทที่ 55.อัครวัฒน์สะดุ้งตื่นด้วยอาการของคนที่หัวใจจดจ่ออยู่กับการ ตามหาลูกเมีย ชายหนุ่มรีบก้าวลงจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวออกไปตามหามนตราเหมือนเช่นทุกวัน แต่เสียงเตือนข้อความที่ดังเข้ามาทำให้เขารีบเปิดดูอย่างรวดเร็วด้วยความหวังเพราะทุกๆ วินาทีที่มีข้อความหรือเสียงแจ้งเตือนใดๆ เข้ามาในโทรศัพท์นั้นเสมือนความหวังอันสูงสุดของเขา... ข้อความนี้ก็เช่นกันและทันทีที่อัครวัฒน์ปิดดูข้อความในครั้งนี้ มือใหญ่ของเขาก็สั่นระริกด้วยความยินดี น้ำตาลูกผู้ชายรื้นเต็มสองดวงตาคม เขาไม่คิดเลยว่าเพียงภาพภาพเดียวบนหน้าจอสมาร์ตโฟนเครื่องหรูนี้จะมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้...“มนตรา... โอ... คุณพระ... ไม่น่าเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อเลย...” อัครวัฒน์รีบแต่งตัวแล้วลงไปยังรถยนต์คันหรูพร้อมทั้งโทรศัพท์สั่งการลูกน้องคนสนิททันที เมื่อเจอหน้าบิดามารดาเขาก็รีบเข้าไปรายงานพวกท่านด้วยความตื่นเต้น...“ผมเจอมนแล้วครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่เด่นเพิ่งส่งข้อความมาให้ผมเมื่อกี้นี้เอง เธออยู่ที่ไร่เวียงดารา ไร่ของคุณแม่นี่เอง... แต่ เอ๊ะ... นี่ทุกคนรู้มาตลอดเลยใช่ไหมครับว่ามนอ
บทที่ 54.“อ้อ... เห็นเขาเป็นเมีย เป็นแม่ของลูกด้วยเหรอ...”“คุณแม่ครับ ผมสำนึกผิดแล้วนะครับ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้น้องมนรู้ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ”“แล้วยังไงอีกล่ะ”“ก็ผมรักเขา ผมรักน้องมน รักมาตั้งนานแล้วด้วย...”แล้วเขาก็บอกให้มารดาได้รับรู้ว่าเขารักมนตรามากแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในตอนนี้เมื่อเธอไม่อยู่แล้ว...“โดมจะมาบอกแม่ทำไม ในเมื่อแม่ไม่ใช่หนูมน แล้วตอนนี้แม่ก็คิดว่าหนูมนคงกลับบ้านนอกไปแล้วก็ได้”“แม่คิดว่าน้องมนเขาจะไปไหนครับ”“ก็อาจจะกลับไปบ้านเกิดของพ่อเขาก็ได้มั้งลูก...” คุณดาราทำท่าเศร้าแล้วพูดต่อ“เฮ้อ... ถึงว่าหนูมนมีท่าทางแปลกๆ เมื่อวาน แล้วก็ยังบอกแม่ว่าจะกลับไปบ้านเกิดของนายมิ่ง โดมคิดดูนะ ลูกสะใภ้ของแม่ไม่มีใครไปตกระกำลำบากหอบลูกหอบเต้าไปบ้านนอกที่กันดารขนาดนั้น นี่หากหนูมนไปที่บ้านเกิดนายมิ่งจริงๆ แม่ล่ะหวั่นใจว่าหนูมนอาจจะแท้งกลางทางได้... โธ่ หนูมนของแม่...” คุณดาราทำที
บทที่ 53.“นั่นสิคะ น้องล่ะทึ่งหนูมนจริงๆ เธอใจเด็ดมากที่กล้าทำขนาดนั้น ลูกชายคุณพี่นี่โดนน้อยไปไหมคะ”“โธ่... นี่ไม่มีใครสงสารโดมบ้างหรือคะ ถึงรักจะเข้าข้างน้องมนแต่รักก็สงสารโดมนะคะคุณแม่”“ไอ้สงสารก็สงสารจ้ะ แต่รักดูสิ จนป่านนี้แล้วโดมบอกหนูมนสักคำหรือยังว่ารู้สึกยังไงกับเขาน่ะ หืม... คนท่ามากปากหนักนี่มันต้องเอาให้เจ็บ ดูสิ... จนหนูมนป่องขนาดนี้แล้วจะพูดอะไรมากกว่านี้สักคำก็ไม่มีไม่รู้ท่าเยอะเหมือนใคร...”คุณดาราหันมาค้อนสามีอย่างหมั่นไส้จนคุณอีริคเองก็พลอยเสียวสันหลังไปด้วย จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ภรรยาที่รัก“แหม น้องล่ะก็ มาลงที่พี่ทุกทีเลย”“ก็มันจริงนี่คะ สงสัยเราต้องงัดไม้ตายมาใช้แล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลานเราแย่กันพอดี”“จริงค่ะคุณแม่ น้องมนเองก็ร้องไห้หนักมาก น่าสงสารออกค่ะ”“ที่แม่ทำไปก็เพื่อเราทุกคนนะจ๊ะหนูรัก แม่น่ะรักลูกๆ ทุกคนและอยากให้พวกเรามีความสุขกันเสียที” คุณดารากล่าวพลางลูบเรือนผมสลวยของส