“เช่นนั้นข้าขอลาทุก ๆ ท่านก่อน ข้ามิรบกวนแล้ว…” หมิงจงเป่าแสร้งที่จะก้าวจากไป“หยุดเดี๋ยวนี้! ในเมื่อเจ้าเห็นในสิ่งที่ไม่สมควรแล้ว ข้าคงปล่อยเจ้าไปไม่ได้” ผู้นำของคนชุดดำกล่าวเสียงกร้าวออกมา“แล้วจะเอายังไงกับข้าล่ะ โปรดบอกคนป่าเช่นข้าให้กระจ่างสักหน่อยจะได้หรือไม่”คนชุดดำกระชับอาวุธ จ้องมองกลุ่มของพระชายาและคนแปลกหน้าที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าโดยมีหมวกปีกกว้างที่ถูกดึงลงต่ำเพื่อปิดบังใบหน้าเอาไว้จนพวกเขามิอาจมองเห็นใบหน้าภายใต้หมวกได้ชัดเจนนักส่วนกลุ่มคนด้านหลังของหมิงจงเป่าก็มิอาจวางใจฝ่ายใดได้ทั้งนั้น องครักษ์ทั้งสามก้าวขึ้นมายืนบังผู้เป็นนายเอาไว้ อาวุธในมือถูกเตรียมพร้อม หมิงจงเป่ายังคงยืนเอามือหนาลูบที่ตัวของเจ้าเสือตัวน้อยในอ้อมแขนเล่น มันช่างน่าเอ็นดูกว่าพวกมารเหล่านี้หลายเท่านัก“สงเคราะห์ให้เจ้าตายแบบสบาย ๆ อย่างไรล่ะ ฮา ๆ”ฟิ้ว! ปึก! ทุกคนเหมือนถูกสะกดด้วยภาพชวนให้ตกตะลึงกับภาพที่เห็นในตอนนี้ แม้ทุกคนผ่านเรื่องฆ่าฟันมามาก ยังรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วกาย“สบายเช่นเขาน่ะหรือ” หมิงจงเป่าถามกลับไปพร้อมทำใบหน้าใสซื่อ เหมือนผู้บริสุทธิ์หนึ่งในคนร้ายเวลานี้ได้ล้มลงชักกระตุกอยู่ที
ถนนหลักเมื่อพ้นชายป่าสู่ถนนหลัก เสียงการต่อสู้ดังก้องเข้ามาในหู ดูแล้วคนร้ายคงมีมากไม่ใช่เล่น ดีที่พวกมันใส่ชุดสีดำปิดบังใบหน้าหมด มิเช่นนั้นงานหนักคงมาตกที่เขา เพราะไม่รู้จะแยกใครเป็นใคร สายตาดุจเหยี่ยวจ้าวเวหาสอดส่ายหาเป้าหมายที่ตนจะมาช่วยเหลือเป็นคนแรก“ผู้ใดคือท่านอ๋องเจ็ด” คำถามที่แฝงไปด้วยพลังขั้นสูงถึงกับทำให้การต่อสู้ชะงักไปชั่วขณะ…“ใครคือเขา…บอกข้ามา! พวกเจ้าจะมองทำไมกัน ฮะ! ก็ข้าหาไม่พบจึงได้ถามยังไงล่ะ ข้าผิดตรงไหน”ทั้งสองฝ่ายซึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ต่างพากันพุ่งเป้ามายังคนแปลกหน้าที่สวมหมวกและสะพายตะกร้า เวลานี้เท่ากับแยกออกเป็นสามฝ่ายอย่างชัดเจน ผู้มาใหม่ คนร้าย และคณะของท่านอ๋องเจ็ด ถงเหยียนเจี๋ยขยับเข้าบังบิดาของสหายเอาไว้ เขาไม่คิดที่จะประมาทในเวลาเช่นนี้“เจ้าเป็นใคร ช่างรนหาที่ตาย กล้ามาสอดมือในภารกิจของข้า สมควร...” มือหนากุมอยู่ที่ลำคอคนพูดก่อนจะตาเหลือกค้างและร่วงลงสู่พื้นเมื่อหมิงจงเป่ากางมือออก“อย่าสอดแทรกเวลาผู้ใหญ่เขาคุยกัน หรือว่าจะต้องให้ข้าสอน” รอยยิ้มที่ทุกคนเห็น มันดูมิต่างจากปีศาจที่จำแลงกายมาในคราบของเทพเซียนในตอนนี้“ฆ่ามันด้วยอีกคน อย่าปล่อยให้รอดไป
“ลุกขึ้นกันก่อนเถอะ”เมื่อทุกคนยืนขึ้น หมิงจงเป่าขยับเข้าใกล้บิดาของศิษย์รักก่อนจะกระซิบบางอย่างเบา ๆ แล้วขยับตัวถอยออกห่างเล็กน้อยเพื่อรอคำตอบของท่านอ๋องเจ็ด เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจได้เอง และทุกคนก็ไม่มีสิทธิ์เช่นกันท่านอ๋องเจ็ดลิงโลดอยู่ภายในใจ แต่ยังคงรักษาสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะเดินไปเขียนอะไรบางอย่างก่อนจะส่งให้คนสนิทโดยกำชับว่าต้องมอบให้ท่านอ๋องน้อยด้วยตัวเองเท่านั้นแม้จะมีคำทัดทานจากคนสนิท แต่ท่านอ๋องกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า เกิดมาทุกคนต้องตาย หากการตามชายผู้นั้นไปแล้วต้องจบชีวิตลงก็ไม่คิดเสียดาย เขาจะกลายเป็นคนอกตัญญูในทันทีถ้าเขาปล่อยให้ถงเหยียนเจี๋ยต้องตาย“บุญคุณต้องทดแทน ถงเหยียนเจี๋ยและบิดาของเขามอบชีวิตให้แก่สกุลโม่ หากชีวิตของข้าแลกได้ ข้าจะไม่มีคำว่าลังเล”วังหลวง…“อย่านิ่งหลานรัก หรือเจ้าคิดจะล้มกระดานแล้วเราเริ่มใหม่กันดีล่ะ หึ ๆ”โม่หยวนฟางลอบยิ้มอยู่ในใจ ช่องว่างเล็ก ๆ ที่เขารอโอกาสชนะนั้นยังพอมีอยู่ เพียงแต่เขามิอยากรีบจบเกมเร็วนัก คนที่นั่งอยู่ด้านข้างองค์ฮ่องเต้เริ่มมีอาการกระสับกระส่ายเล็กน้อย รอยยิ้มก็เหมือนจะฝืนเต็มทน สองลุงหลานลอบยิ้มให้แก่กัน“กุ้ยเฟยกลับไปพั
“แล้วจะทำอย่าไรกับเจินเจินเล่าเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามถึงบุคคลที่สาม“ก็ส่งนางไปอยู่กับลูกสาวของนางอย่างไรเล่า” เจ้าของจวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเขาไม่อยากได้ยินชื่อของคนอื่นในเวลานี้เท่าใดนัก‘มันคืออะไรกัน ลูกสาว หมายความว่ายังไง’คนที่แอบอยู่เงียบ ๆ นิ่งอึ้งไปอยู่สักพัก เวลานี้เหมือนถูกค้อนทุบลงบนหัวของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหนภาพตรงหน้าที่เห็นอีกว่าประมุขของบ้านกับแขกผู้มาเยือนนั้นมีความสัมพันธ์กันถึงขั้นนี้ แล้วคำว่าสามคนพ่อแม่ลูกและคำว่าลูกสาวอีกเล่า มันหมายความว่ายังไง ดวงตากลมโตหลับลงช้า ๆ เพื่อควบคุมตัวเองและตั้งสติอีกครั้งก่อนจะทนฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของร่างที่กำลังกอดรัดกันบนพื้นที่ปูรองด้วยผ้าขนสัตว์ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม เรื่องราวทุกอย่างได้กระจ่างชัด ทำให้คนที่แอบอยู่ถึงกับร่างกายไร้เรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินแก๊ง!! เสียงของบางอย่างตกกระทบพื้น ทำให้คนที่แอบอยู่รีบดึงผ้าสีดำขึ้นปิดบังใบหน้าพร้อมพุ่งออกไปยังอีกด้าน สร้างความตกตะลึงให้แก่สองร่างที่นอนทาบทับกันอยู่ ประมุขของบ้านรีบลุกขึ้นคว้าจับอาวุธ ตั้งใจจะออกติดตามคนร้าย“พี่ซานซินอย่าเจ้าค่ะ” มือบางรั้งจับแขนแกร่งเ
หยางซานซินเริ่มมีความคิดที่ขัดแย้งเกิดขึ้นภายในใจ หลิวเจินเจินเองก็แอบขอบคุณบิดาอยู่เช่นกัน ที่ได้ส่งปลาจีหมักเกลือมาให้ จึงได้นำมาเป็นข้ออ้างในการลอบออกจากห้องครั้งนี้ สายตาประมุขของบ้านกวาดมองไปจนทั่วห้องครัวก่อนจะหันกลับมายังภรรยาของตนที่ตอนนี้ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว“เช่นนั้นก็ให้บ่าวไพร่ดูแลต่อเถอะ เจ้าควรกลับไปนอนได้แล้ว ข้าจะไปห้องหนังสือสักหน่อย”เมื่อคิดไม่ตก กับเรื่องที่ขัดแย้งในความรู้สึก หยางซานซินจึงได้บอกให้ภรรยาหยุดมือกับการทำน้ำแกงแล้วให้นางกลับไปนอนพักผ่อนต่อได้“เจ้าค่ะท่านพี่ เช่นนั้นขอเวลาสั่งงานสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ แล้วข้าจะรีบกลับห้อง”หลิวเจินเจินไม่ใช่คนไร้สามารถจนมองไม่ออกว่าสามีมิวางใจนางเช่นวันวานแล้ว หากปล่อยเวลาทิ้งช่วงมากเกินไปอาจสายเกินที่จะแก้ไขอันใดได้ทัน นางต้องลงมือในตอนนี้ถึงจะมั่นใจได้ว่าแคว้นชีเป่ยจะมิลุกเป็นไฟ“ข้าจะรออยู่ด้านนอกก็แล้วกัน เร็วเข้าล่ะ ข้ามีงานต้องสะสาง”หลิวเจินเจินพยักหน้าให้แก่สามีก่อนจะหันไปสั่งงานกับหัวหน้าพ่อบ้านโดยการกำชับเรื่องส่วนประกอบที่ต้องใส่หลังสุด เมื่อน้ำแกงได้ที่ ให้ชิมดูว่ากลมกล่อมหรือยัง หากรสชาติได้ตามต้องการค่อยนำปลา
‘ไม่นาน ข้าจะกำจัดพวกเจ้าทุกคน ใครที่ทำร้ายมารดาข้า อย่าร้องหาคำว่าอภัยจากคนเช่นข้าก็แล้วกัน’รอยยิ้มที่ดูละมุนของเมี่ยวเอ๋อร์แต่แววตาอาฆาตกลับฉายชัดออกมา เพียงแต่ไม่มีผู้ใดได้เห็นมันเท่านั้น ร่างบางตักโจ๊กและน้ำแกงบำรุงร่างกายจัดวางในถาดก่อนจะก้าวออกจากห้องครัว สาวใช้อีกคนตั้งใจจะตามไปเพื่อให้แน่ใจว่าเมี่ยวเอ๋อร์จะสามารถทำให้หยางฮูหยินกินอาหารเหล่านั้นได้จริง มิเช่นนั้น นางจะถูกลงทัณฑ์จากท่านแม่ทัพผู้เป็นนายแน่นอน ทว่า…“ช้าก่อนแม่นาง เอ่อ! ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้หรือไม่”สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มกำลังจะหันไปตวาดคนที่ถาม แต่พอหันกลับไปเจอหน้าของอีกฝ่ายเข้าเต็มสองตา ใบหน้าหวานกลับแดงระเรื่อขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ชายหนุ่มในชุดทหารยาม แม้ไม่คุ้นหน้าแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะทำให้นางแปลกใจ เพราะทหารในจวนมีมากมาย พวกนางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินไปไหนมาไหนตามอำเภอใจเสียหน่อย หญิงสาวเองก็มิเคยพบเจอทหารคนไหนรูปงามเช่นนี้มาก่อน“มีอะไรก็ว่ามา ข้าจะรีบไปช่วยเมี่ยวเอ๋อร์ปรนนิบัติฮูหยิน”ชายหนุ่มเริ่มการพูดคุยจนเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่ไม่รู้ จากที่ยืนพูดคุย เวลานี้ หญิงสาวได้ติดตามชายหนุ่มไปยังสวนด้านหลังจวนโด
ชายร่างสูงกำยำสองคนตรงเข้ามาช่วยกันแก้ผ้าที่ผูกติดสองร่างออกและปลดมือของหยางฮูหยินที่คล้องอยู่ยังลำคอของผู้เป็นนายออก เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลิวเจินเจินก็นอนอยู่ในรถม้าที่ปูรองด้วยขนสัตว์หนานุ่ม“นอนพักเถอะเจ้าค่ะ ท่านจะปลอดภัย ข้าให้สัญญา” ดวงตากลมโตมีแววอ่อนโยนต่างจากท่าทางของนางยิ่งนัก ทุกทวงท่ามันดูองอาจมิเหมือนสตรี แต่เมื่อพิศใบหน้าที่ถูกเช็ดล้างด้วยผ้าเปียก มันช่างราวกับเทพธิดาจำแลงกายมาก็มิปาน ความงามที่มิแพ้โม่ไป๋หลาน สะใภ้รักของนาง เพียงแต่หญิงสาวมีสีผิวที่เข้มกว่ามาก ถึงอย่างนั้นผิวสีน้ำผึ้งนี่กลับดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นให้ตะลึงงันได้มิยากเลยทีเดียว“ท่านเมี่ยวจ้าน…เราใกล้จะถึงประตูเมืองแล้วขอรับ” เสียงรายงานจากคนขับรถม้า“อืม! ทุกคนมากันครบหรือยัง”“ครบแล้วขอรับ”ไม่มีการสนทนาใดอีก ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้งเมี่ยวจ้านยังคงนั่งนิ่งต่อไปเพราะภายในใจของนางกำลังลิงโลดยิ่งกว่าได้ของล้ำค่ามาไว้ในครอบครองเพราะคนที่นอนอยู่ตรงหน้านางในตอนนี้มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด และไม่มีอะไรมาทดแทนได้เช่นกัน ตอนนี้ พวกนางยังอยู่ในเขตเมืองหลวง ยังมิอาจวางใจอะไรได้ทั้งนั้นจนกว่าจะออกพ้นป
จวนแม่ทัพหยางซานซินปัง! เสียงทุบโต๊ะน้ำชากลางห้องจนแตกออกเป็นสองส่วน ใบหน้าของคนที่ลงมือดุดันราวปีศาจ หยางซานซินกวาดมองทหารและบ่าวไพร่ภายในจวนด้วยความกรุ่นโกรธเป็นที่สุดเพียงแค่ก้าวพ้นประตูจวนเข้ามาก็ได้รับรายงานว่าฮูหยินของตนได้หายตัวไปพร้อมสาวใช้นางหนึ่งที่เป็นผู้รับช่วงดูแลนายหญิงของบ้าน ตัวเขาเองก็ติดพันเรื่องงานที่อยู่ก็เกิดเรื่องภายในกรมจนเขาต้องเข้าร่วมแก้ไข จนล่วงเลยมาเสียมืดค่ำ มือหนากำหมัดแน่น ใครกันที่กล้าต่อกรกับเขา เพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ หรือที่จะลักพาตัวภรรยาของเขาหนีออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ หรือเจ้าเฒ่าหลิวไห่กันที่ส่งคนมาชิงตัวลูกสาวกลับไปสิ่งสำคัญคือมีจดหมายลับหายไป รวมทั้งหัวหน้าพ่อบ้านที่ไม่กลับมาที่จวนอีกเลยนับตั้งแต่ไปส่งอาหารยังจวนอ๋องน้อย จนบัดนี้ก็ไม่มีใครพบเห็นพ่อบ้านของจวนเขาอีกเลย แม้จะส่งคนออกสืบหาแต่ก็ยังไร้วี่แวว คนของเขาที่แฝงอยู่ในจวนอ๋องน้อยแจ้งเพียงว่าพ่อบ้านเกากลับออกไปหลังจากนำอาหารเข้าไปมอบแด่ท่านอ๋องน้อยเพียงไม่นาน‘คิดท้าทายข้าอย่างนั้นใช่ไหม ความตายคือคำตอบที่ข้ามีให้’คำสั่งจากใครบางคนให้กำจัดหลิวเจินเจินก่อนที่นางจะนำความลับของพวกเขาไปสู่
“ให้เข้ามาได้” ฮ่องเต้ทรงตรัสอนุญาต แม้จะทรงข้องพระทัยอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นอาของพระองค์ก็เสด็จมาหา“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงก้าวออกไปยังหน้าประตู ก่อนทูลเชิญเสด็จจิ้นอ๋องจิ้นอ๋องเสิ่นหลีก้าวเข้ามาอย่างองอาจ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตามที แต่ยังคงความสง่าเช่นราชนิกุลผู้มีสายเลือดมังกรอยู่มิเสื่อมคลาย ใบหน้าที่อ่อนโอน และอบอุ่นเสมอสำหรับคนในครอบครัว แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอ๋องประสานมือก่อนจะโค้งตัว ทำความเคารพโอรสมังกร ผู้ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ตนเอง“ตามสบายเถอะ เสด็จอา วันนี้ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ จึงได้มาหาข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มิทรงอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทรงรู้จักนิสัยของผู้เป็นอาดี ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ คนผู้นี้มักจะขลุกอยู่กับโคลงกลอน และการออกตรวจเยี่ยมราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่ของพระองค์เอง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงมาเยี่ยมเยียน พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ทรงมิค่อยสบายพระทัยนัก จึงอยากที่จะมาชวนฝ่าบาท ร่วมดื่มสุราชั้นยอด จากเมืองฉินเส่าสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้โม่เหยีย
แต่ยังไร้เสียงร้องขอความเมตตา ออกจากปากของสองพี่น้อง โม่หยวนฟางพยายามยกหน้าไม้ขึ้น เขาทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงตัดสินใจกดยิงออกไป ระยะประชิดเช่นนี้ มีหรือจะพลาดเป้า ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณสีข้างของคนร้าย ด้วยอารามตกใจ ชายสวมหน้ากากจึงเหวี่ยงหยวนฟาง ไปยังทิศทางเดียวกับโม่คังปึก! ตุบ! ร่างเด็กชายกระแทกเข้ากับตัวของพี่ชายที่รวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งรับร่างผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะตกสู่พื้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่สะเทือนใจขององครักษ์บางคนที่ยังหายใจอยู่ แต่ไร้สามารถที่จะลุกขึ้นปกป้องนายได้แล้วเช่นกันเลือดสีแดงฉาน ทะลักออกมาจากปากของโม่คัง เด็กชายยังคงพลิกตัวนอน ทาบทับเอาร่างบังน้องชายเอาไว้ภายใต้กายโชกเลือดของตนเอง ซึ่งเขาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อาการหายใจไม่ทั่วช่องท้อง เริ่มมีบ้างแล้วหยวนฟางดึงปี่ออกจากเชือกที่ร้อยติดกับสายคาดเอว ก่อนจะนำมาใส่ปากออกแรงเป่าอยู่อย่างมิท้อถอย ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาเหยียบลงบนหลังของโม่คัง ค่อย ๆ กดน้ำหนักลงไป เด็กชายไร้แรงต้านทานใด ๆ ได้อีกสองแขนที่พยายามค้ำยันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับน้องชายแรงเกินไป ถึงกับสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มันคือการทรมานจากศ
หลายปีก่อน ระหว่างทางไปวัดฉุ่ยอิงนอกเมืองหลวงเพล้ง! ฮี้ ๆ เสียงกระทบกันของอะไรสักอย่าง รวมทั้งเสียงม้าที่แตกตื่น ทำให้เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า รับรู้ถึงเรื่องผิดปกติ“เกิดอะไรขึ้น”เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยถามองครักษ์ด้านนอก แม้ตัวเขาพอเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากอะไร“อย่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ มีคนร้าย”คำตอบจากหนึ่งในองครักษ์ ที่ได้อยู่คุ้มกันขบวนรถม้านำเสด็จองค์รัชทายาทโม่คังในวัยสิบชันษาเพื่อไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนนี้ อยู่ ๆ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน โดยภายในมีขันทีวัยใกล้เคียงกันได้ตามเสด็จพร้อมทั้งพระญาติ คือท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เด็ก ๆ ต่างพากันเตรียมพร้อมรับมือ เสียงลูกดอกกระทบรถม้า และทะลุเข้ามายังด้านใน ทำให้โม่คังรีบคว้าตัวน้องชายเข้ามากอดเพื่อปกป้อง ก่อนจะหยิบเอาแส้อสรพิษที่นำติดตัวมาด้วยเอาไว้ในมือ แล้วพาน้องชาย รวมทั้งขันทีคนสนิทลงจากรถม้า องครักษ์คุ้มกันได้ล้อมเข้าเพื่อป้องกันเจ้านายทั้งสองอ๋องน้อยด้วยวัยเพียงห้าขวบที่หวังตามพระเชษฐาออกมาเที่ยวนอกวังนั้นยังมิประสาอะไรมาก ฝีมือการต่อสู้ก็เพียงเล็กน้อยยังมิถึงขั้นชำนาญ ในมือยังคงถือหน้าไม้ที่ฮ่องเต้
ชายหนุ่มเดินยืดตัวตรง ช่างดูสง่าผ่าเผย จนมิเหมือนบ่าวรับใช้สักเท่าใดนัก ร่างสูงหยุดยืนกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หยางซานซินโดยบังเอิญ บุรุษต่างวัยยืนจ้องตากันดุจมังกรปะทะพยัคฆ์ก็ว่าได้ ก่อนรอยยิ้มของผู้อ่อนวัยกว่า จะยกขึ้นช้า ๆ เมื่อมองเห็นเสือเฒ่า ปิดดวงตาเอาไว้ข้างหนึ่ง‘สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้บาดเจ็บหนักยังลุกขึ้น ออกมาเดินไปทั่วค่ายได้’ นับว่าเสือเฒ่าตัวนี้ร้ายมิใช่เล่นแต่จงอย่าลืมว่าแม่ทัพเพียงสองคน มิอาจล้มฮ่องเต้ได้โดยไร้ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นต่างหากที่เขาต้องการตัว มากกว่าคนตรงหน้า โม่คังเดินเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่าย แต่เท้าของหยางซานซิน ยังมิทันขยับก้าวกลับเป็นโม่คังที่ก้าวออกไปก่อน ไม่คิดรั้งรอที่จะเอ่ยปากอันใดกับหยางซานซิน“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักอ่อนน้อม รึเห็นข้าเป็นเพียงก้อนหินหรืออย่างไรกัน เป็นชาวบ้านไร้การอบรมสิ้นดี”โม่คังหยุดเดินก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย คนพวกนี้ช่างเจ้ายศกันเสียจริง เขาเป็นถึงองค์ชาย ยังไม่เคยเรียกร้องให้คนมาก้มหัวให้ ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาเสมือนไร้ความรู้สึกใด ๆ เมื่อเขาต้องมองหน้าคนอย่างหยางซานซิน
หยางซานหลางได้คว้ามือไปหยิบหน้ากากมาสวมเพื่อปิดบังรอยแผล“ข้าน้อยเยว่คัง คารวะท่านแม่ทัพหยาง”ชายหนุ่มได้ยื่นตะกร้าให้แก่ทหาร ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวและประสานมือ ทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม โม่คังแอบซ้อนสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่‘เล่อเล่อ! น้องเบามือเกินไปแล้ว หยางซานหลางยังนั่งหน้าตาย อยู่ได้ มันไม่สาแก่ใจพี่เท่าใดนัก’ ชายหนุ่มแอบตำหนิน้องสาวอยู่ภายในใจทหารที่เป็นผู้รับตะกร้าอาหารไป ได้ทำการทดสอบพิษเสียก่อน ที่จะนำมาให้แก่ผู้เป็นหัวหน้าของตนได้ดื่มกิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำออกมาวางยังโต๊ะ รวมกับอาหารของหญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าชา เสมือนถูกตบอย่างแรง เมื่อต้องมองอาหารที่สตรีอื่น นำมาให้คนรักของตนต่อหน้าเช่นนี้“แม่นางฟางเล่อสบายดีหรือ ข้านั้นเสียมารยาทมากนัก ที่มิได้เข้าไปกล่าวทักทาย ต้อนรับนางเลย ช่างเสียมารยาทนัก”“หามิได้ขอรับท่านแม่ทัพ นายหญิงให้เรียนท่านแม่ทัพว่า เมื่อวานเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวเซียนอี้ วันนี้จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อย นำของกำนัลมาให้ยังค่ายแทนขอรับ หวังว่าท่านแม่ทัพหยางคงมิรังเกียจของพื้น ๆ เช่นนี้นะขอรับ”โม่
“เป็นเพียงบ่าวรับใช้ มินอนหน้าเตียงของข้าเสียเลยล่ะขอรับ” หยวนฟางประชดคนเป็นพี่“เช่นนั้นก็ได้ เอาตามนี้ก็ดี ปะ! ไปนอนกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราควรพักผ่อน” โม่คังยกยิ้มมุมปาก เมื่อกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องได้ จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีโม่คังอยากหัวเราะดัง ๆ กับท่าทางประชดประชันของน้องชาย อายุมิใช่น้อย แต่พอเขาที่แก่กว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นก็กลายร่างเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ทันที ยังมีอีกคนพรุ่งนี้ น้องสาวสุดที่รักจะยังจำพี่ชายคนนี้ได้อยู่รึไม่ คราแรกตอนได้ยินข่าวการตายของนาง เขาแทบตรงดิ่งเข้าเมืองหลวง เพื่อฆ่าอดีตน้องเขยด้วยมือของตนเอง แต่เพราะคำว่าเพื่อบ้านเมือง เขาจะปรากฏตัวให้ใครรู้มิได้ว่ายังไม่ตาย‘ใกล้ถึงเวลาที่พวกแก ต้องชดใช้แล้วกบฏทั้งหลาย’หยวนฟางแทบอยากผูกคอตาย เมื่อผู้เป็นพี่ชายมานอนร่วมห้อง เป็นเขาที่ต้องนอนหน้าเตียง เมื่อทนไม่ได้กับการนอนดิ้นของพี่ชาย จึงต้องหอบหมอนและผ้าห่ม ลงมานอนข้างล่างแทน“ฝากไว้ก่อนท่านพี่ อย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะเอาคืนให้สาสม”เสียงบ่นเบา ๆ ของคนด้านล่าง ทำให้คนบนเตียงยิ้มกว้าง ที่แกล้งน้องชายได้สำเร็จ พวกเขาหยอกล้อกันเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเสียงน้อ
“ได้! ปล่อยข้าก่อน”หรู่อี้รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าว เมื่อลมหายใจของคนตัวใหญ่ เป่าลดลงบนหน้าผากของนาง เมื่อร่างบางได้เป็นอิสระแล้ว หรู่อี้รีบพุ่งลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างเมี่ยวจ้านในทันที เยว่คังยังคงตีสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียง ไปยืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย“เอาละ! ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้ หรู่อี้ชายผู้นี้มีนามว่าเยว่คัง เป็นคนของฝ่าบาท ส่วนเจ้าเยว่คัง นางคือหรู่อี้ผู้ติดตาม คนสนิทของท่านหญิงโม่ฟางเล่อ ส่วนนั่นคือองค์หญิงเมี่ยวจ้าน คนรักของข้าเอง”พอแนะนำว่าเมี่ยวจ้านคือผู้ใดเสร็จ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เยว่คังค้อมศีรษะให้แก่สตรีทั้งสองนาง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางโม่หยวนฟาง‘ร้ายนักเจ้าน้องชาย หมายจะทิ้งบ้านเมือง ไปเป็นเขยต่างแคว้น’ โดยคนเป็นน้องชายก็มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“ท่านพี่จะรีบทำให้ไก่ตื่นไปไย อย่างไรเสียนกน้อยของท่านก็มิหนีหายไปไหนได้อยู่แล้ว” หยวนฟางกระซิบเบา ๆ กับเยว่คัง“แม่นางหรู่อี้! เยว่คังผู้นี้จำต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่ท่านทำให้ข้าต้องมีมลทินนั้น ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้”ทุกสายตาหันไปมองยังหรู่อี้
ชายหนุ่มได้หายออกจากเก้าอี้ไปนั่งอยู่บนเตียง โดยที่หรู่อี้มิอาจตามได้ทัน ความรวดเร็วว่องไวดุจสายลม ช่างน่ากลัวยิ่งนักหากคนผู้นี้คือศัตรู คงต้องบอกว่าหนักมือสำหรับนางไม่น้อยเลย หรู่อี้พุ่งเข้าหาคนบนเตียง ด้วยความเร็วดุจพายุก็มิปาน แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้ขยับไปไหน เพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย มือแกร่งรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับไปนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม กระบี่ในมือตกอยู่ข้างลำตัวแทนไม่เพียงแค่กอดรัด ขณะที่หรู่อี้กำลังจะอ้าปากต่อว่า“อื้อ! อ่อย! ฮา! อะ!”หรู่อี้ทำได้แค่เพียง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มิใช่เพียงแค่ปากประกบลงบนกลีบปากนุ่มของหญิงสาวเท่านั้น ลิ้นของชายหนุ่มได้สอดล่วงล้ำ เข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกด้วย หรู่อี้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เมื่อถูกรุกราน นางยังมิเคยต้องมือบุรุษใดมาก่อนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ กับความใสซื่อและอ่อนประสบการณ์ของคนในอ้อมแขน หรู่อี้ถึงกับน้ำตาซึม ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่แก้มนวล ชายหนุ่มรู้สึกได้กับน้ำอุ่น ๆ สัมผัสใบหน้าของตนซึ่งแนบชิดกับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก“นี่อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าเล่นลิ้นสาวน้อย”
‘มิเจียมตนเลยเมี่ยวจ้าน’ หญิงสาวพร่ำบ่นตนเองอยู่ภายในใจ“เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือเมี่ยวจ้าน ว่าตนเองมีความผิดเรื่องใดบ้าง”โม่หยวนฟางยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน และยังคงพูดจา ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากขึ้นอีก เขารู้ตั้งแต่คนของเขาส่งสัญญาณมาก่อนแล้วว่า พวกนางมาถึงหอร้อยราตรีแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยให้หญิงคณิกาผู้นั้นรุกหนัก โดยยอมหญิงงามผู้นั้นขึ้นคร่อมบนตัว เสมือนเขาเป็นม้าและคณิกาคนงามเป็นผู้ขี่ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เมี่ยวจ้านปรากฏตัวขึ้น ด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่การกระทำกลับมินิ่งเสมือนใบหน้า สร้างความพอใจให้แกเขายิ่งนัก สิ่งที่ชอบในตัวนางคือ ความตรงไปตรงมา นางชัดเจนเสมอในสิ่งที่ลงมือกระทำ สมแล้วที่เป็นถึงรัชทายาทแห่งจิ้งหนาน‘ข้าอยากเห็นขุนพลผู้เกรียงไกร พ่ายต่อใจตนเองนัก’“เจ้าเห็นร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของพี่จนหมดสิ้นแล้ว มิเว้นแม้แต่ส่วนลับ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ”โม่หยวนฟางพูดด้วยน้ำเสียง เหมือนกำลังจะร้องไห้ พร้อมใบหน้าเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด“ห๊ะ! ขะ…ข้าหรือ” เมี่ยวจ้านอุทานออกมา ด้วยความตกใจปนสับสนโม่หยวนฟางเริ่มตีหน้าเศร้า เอามือลูบตามเนื้อตัวของตน เพื่อแสดงให้หญิ