ภายในห้องอาหารคฤหาสน์เจ้าสัวหลี่คนทั้งสี่นั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว โดยหลี่ถิงนั่งอยู่ข้างมารดาเลี้ยงเพื่อที่จะมองหน้าของสามีและน้องสาวที่นั่งทำหน้าเศร้าและสวมชุดสีดำเป็นการไว้ทุกข์ให้แก่เธอ โดยน้องสาวคอยหยิบผ้าเช็ดหน้าบนตักขึ้นมาคอยซับน้ำตาอาหารคาวหวานมากมายถูกวางเต็มโต๊ะ ที่สำคัญสุดคือทุกอย่างเป็นอาหารที่เธอโปรดปรานมาก หลี่ถิงคอยจับสังเกตทุกคนบนโต๊ะ ไม่เว้นแม้แต่แม่เลี้ยง เพราะถึงปากจะบอกว่ารักเธอมาก และตลอดวันเธอก็เห็นกับตาว่าคุณนายหลี่นั้นเสียใจแค่ไหน แต่เวลานั้นเจสซิก้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนเราอาจเปลี่ยนใจกันได้ ไม่มีใครทนเห็นลูกตัวเองต้องลำบากอย่างแน่นอน ที่สำคัญตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ย่อมต้องรักลูกตัวเองมากกว่าลูกคนอื่น ตอนอยู่ด้วยกันบนห้องนั้น คุณนายหลี่ยังไม่ได้พบหน้าลูกสาวก็คงต้องยอมทำใจให้เจสซิก้ารับโทษได้ แต่ทุกอย่างจะกระจ่างชัดแก่ใจก็ต้องเวลานี้ ตอนที่เจสซิก้านั่งอยู่ต่อหน้าคุณนายหลี่“คุณพ่อคะ ทำไมถึงมีชุดอาหารเพิ่มมาละคะ หรือเรามีแขก”เจสซิก้าเอ่ยถามเจ้าสัวหลี่ด้วยความสงสัย ที่อยู่ ๆ วันนี้มีคำเชิญปนบังคับให้เธอและพี่เขยมากินอาหารเย็นด้วย การที่พ่อกับแม่ของเธอไร้รอยยิ้มก
คุณนายหลี่เมินหน้าไปอีกทาง ไม่ได้มองหน้าของลูกสาวและลูกเขยแม้แต่น้อย มันเจ็บหนึบจนเธอรับไม่ได้“เจส พ่อให้ความรักและความสุขสบายแก่ลูกน้อยไปเหรอ บอกพ่อทีเถอะ”เจ้าสัวหลี่ได้เปิดประเด็นโดยมุ่งเป้าไปที่ลูกสาวก่อน สายตาที่มองมาของผู้เป็นพ่อ ทำให้เจสซิก้าสะอึกไปเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ“พะ…พ่อ…พูดอะไรคะ เจสงงไปหมดแล้ว” เจสซิก้าเอ่ยปากถามเจ้าสัวหลี่ ด้วยเสียงตะกุกตะกัก“จะพูดออกมาเองหรือให้พ่อบอก เจส”คำถามแปลก ๆ ของพ่อทำให้เจสซิก้าเกิดอาการตื่นตระหนก มือบางชื้นเหงื่อโดยไม่สามารถควบคุมได้ ริมฝีปากบางสั่นระริกขึ้นมาเอง ทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่คำถามธรรมดาแท้ ๆราฟาเอลส่งสายตาคาดโทษให้หญิงสาว เมื่อน้องภรรยาหันหน้ามาทางตน คำตอบยังคงไม่มีออกจากปากของเจสซิก้า อาการกระสับกระส่ายของหญิงสาวทำให้คนเป็นพ่อแม่แทบหมดเรี่ยวแรง เจ้าสัวหลี่รักลูกเท่า ๆ กัน และเขาต้องให้ความเป็นธรรมแก่หลี่ถิงด้วย จะทำเป็นหลับหูหลับตามองเลยไปไม่ได้เป็นอันขาด“คุณพ่อจะพูดอะไรคะ เจสทำอะไร แล้วจะให้เจสบอกเรื่องไหนคะ” น้ำเสียงเบาหวิว เจสซิก้าพยายามควบคุมไม่ให้เสียงสั่นมากกว่าที่เป็น เธอไม่ได้โง่…พ่อของเธอคือคนที่มีอำนาจ
เจ้าสัวหลี่กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเพื่อปลอบขวัญลูกสาวที่หลงผิด แน่นอนเจสซิก้าต้องได้รับโทษทั้งจากกฎหมายและสังคม แต่เขาพร้อมที่จะคอยเป็นเกราะป้องกันหัวใจให้กับลูก ไม่ว่าเจสซิก้าจะได้รับโทษหนักแค่ไหน เขาก็จะรอจนกว่าถึงวันที่เธอพ้นโทษ“นายทำให้ฉันผิดหวังมากราฟ นายมันขี้ขลาดกว่าลูกสาวของฉัน เจสกล้าเปิดปากในสิ่งที่ทำ นั่นแสดงว่าลูกสาวของฉันพร้อมที่จะก้าวออกมารับโทษ แต่นายเป็นลูกผู้ชายที่แย่มาก ทำผิดแต่ก็ยังไม่ยอมรับ ถ้าเจสออกความคิดเห็น แต่ถ้าหากนายไม่ทำก็ได้ไม่ใช่เหรอ รถนายก็เป็นคนขับ ไม่ใช่เจส แค่จะเลี้ยวไปโรงพยาบาลก็ไม่ยากเย็นสักนิดเดียว พวงมาลัยรถมันก็อยู่ในมือของนายไม่ใช่เหรอ นายจะทำยังไงกับมันก็ได้ ไม่ใช่คนข้าง ๆ ที่จะมาหักพวงมาลัยเลี้ยวรถของนายได้ ในเมื่อบอกมาว่าคืออุบัติเหตุ แต่นายกลับทำตามที่เจสแนะนำ นั่นแสดงว่าใจของนายก็คิดกำจัดถิงถิงเหมือนกัน”“ผะ….ผมคือว่า….”ราฟาเอลยังคิดคำโต้แย้งเจ้าสัวหลี่ไม่ได้ และตอนนี้ ประตูห้องรับแขกได้เปิดออกพร้อมมีชายหลายคนที่มีทั้งในเครื่องแบบและธรรมดา ก้าวเข้ามายื่นรวมในห้องอีกหลายคน ชายหนุ่มถึงกับยืนหน้าซีด มือไม้สั่นเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าเพราะการที
สายตามองไปยังหญิงสาวที่มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนที่ราฟาเอลจะกระตุกถี่ ๆ อยู่หลายครั้ง ใบหน้าเริ่มเขียวคล้ำเพราะขาดอากาศหายใจ ดวงตาเบิกกว้างเมื่ออยู่ ๆ ร่างของภรรยาที่ตายไป ได้ยืนมองมาที่เขาด้วยสายตาไร้ความอาวรณ์ใด ๆ เลย มันดูว่างเปล่าไม่ต่างจากที่เจสซิก้ามองเขาในตอนนี้ เมื่อไม่มีอากาศเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของราฟาเอลก็มาถึง“คุณตายสบายเกินไปนะราฟ” หลี่ถิงพูดเบา ๆ โดยไม่มีใครรับรู้หรือได้ยินเสียงของเธอ นอกจากราฟาเอลเพียงคนเดียวที่ได้ยินเจสซิก้ายืนนิ่งยอมให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว เจ้าสัวหลี่เดินเข้าไปสวมกอดบุตรสาวคนเล็กเอาไว้แน่น ส่วนคุณนายหลี่ตอนนี้ไม่สามารถรับรู้อะไรได้แล้ว ด้วยความสะเทือนใจทำให้เธอหมดสติอยู่ที่โซฟา เจ้าสัวหลี่ร้องไห้ด้วยความสงสารลูกและภรรยา หากเขาเป็นคนลงมือกับชายหนุ่ม ลูกสาวที่เหลือเพียงคนเดียวก็ไม่ต้องโทษคดีฆ่าคนตายถึงสองคดีซ้อนแบบนี้“เจสไม่น่าเลย น้องทำเพื่ออะไรกัน พี่ไม่รู้ใจน้องจริง ๆ ถ้าพี่รู้ว่าเจสรักราฟ พี่จะถอยออกมา แล้วทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นเลย”แต่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นเหตุการณ์ต่อไป อาการตกใจก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเสียงของใครสักคนกำลั
“นี่ ฮูหยินน้อย นางช่างน่าสงสารมาก เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”“ข้าเห็นด้วย แต่ตอนนี้ พวกเรารีบเดินเข้าเถอะ ท่านพ่อบ้านสั่งให้เราตรวจเวรยามหน้าเรือนของฮูหยินน้อยบ่อยขึ้น”หมิงจงเป่ายิ้มกว้างเมื่อมีคนนำทางให้แก่เขาแล้ว ร่างในชุดดำทำเพียงคอยตามทหารยามไปเท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องเข้าเรือนนั้นออกเรือนนี้ให้เสี่ยงที่จะถูกจับได้อีกต่อไปเมื่อถึงที่หมาย ชายในชุดดำก็ได้หายไปทางด้านหลังของเรือน เพียงแค่เข้าใกล้ตัวเรือน สิ่งผิดปกติบางอย่างก็ได้เกิดขึ้นในความรู้สึกของหมิงจงเป่า ด้วยประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนทั่วไป เขาฝึกฝนการรับรู้แบบนี้มาอย่างหนักนับตั้งแต่ ก้าวเข้ามาสู่การเป็นผู้คุ้มครองไข่มุกโลกันต์ความเร็วดุจภูตผีได้หายวับไปยังทิศทางที่เขามั่นใจว่าไม่ปกติเสียแล้วในความรู้สึกของเขา ผลัวะ! หน้าต่างด้านหลังเรือนได้เปิดออกก่อนจะมีร่างในชุดสีดำพุ่งออกมาจากด้านใน“อ๊ะ!” เสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็เพียงเบา ๆ เท่านั้น ก่อนที่จะมีแสงกระทบดวงตาของผู้มาใหม่ มันคือกระบี่สีเงินที่กระทบกับแสงจันทร์ และกำลังพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วหมิงจงเป่าทำเพียงเบี่ยงตัวหลบ เขามีเพียงมีดสั้นคู่ใจ หากจะปะทะตรง ๆ ก็ค
หมิงจงเป่าแสร้งมองสาลี่ในมือก่อนจะอ้าปากกว้างกัดลงไป กร๊อบ! น้ำสาลี่ฉ่ำหวานได้ไหลออกมารอยกัด แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่มีคำพูดใดโต้แย้ง จูซือเหนียงแม้แต่ครึ่งคำหรู่อี้ได้แต่ปิดปากหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจกับสิ่งที่นางเห็นจนชินตา‘ไม่ใช่ท่านหมิงจงเป่าต้องการให้ท่านหญิงฟื้น แต่ต้องการก่อกวนท่านหมอมากกว่า’ถึงนางจะไม่เคยผ่านการมีคนรัก แต่ใช่จะไม่เคยผ่านการถูกเกี้ยวพาเสียหน่อย มองแค่นี้ก็รู้แล้วว่าท่านหมิงนั้นมีใจต่อท่านหมอจูมากนัก แค่เพียงได้เย้าแหย่ก็สุขใจแล้วกระมัง นั่นคือความคิดเห็นของหรู่อี้จูซือเหนียงเดินเข้าไปยังโต๊ะที่หญิงสาวนั่งอยู่ก่อนจะทรุดกายลงนั่งด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มงาม“ต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ทำตัวเสียมารยาท แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้น ศิษย์พี่ของข้าคงยังก่อกวนคนป่วยไม่เลิกเสียที” จูซือเหนียงพูดพร้อมส่ายหน้ายิ้ม ๆ หมิงจงเป่าถือเป็นศิษย์เอกของบิดานางและรับสืบทอดตำแหน่งผู้คุ้มกันไข่มุกโลกันต์ ต่อจากบิดาของนางที่ตายจากไปหลายปีแล้ว พร้อมคำทำนายว่าใกล้ถึงเวลาที่ผู้ครอบครองไข่มุกจะปรากฏตัวทำให้ตลอดหลายปีมานี้ นางกับหมิงจงเป่าจำต้องออกเดินทางไปทั่วหลายแคว้นเพื่อตามหาผู้ครอบคร
“อ้อ! ข้านึกว่าคนมิรู้จักโตเป็นคนทำ สงสัยข้าคงคิดไปเองกระมัง” จูซือเหนียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเชื่อตามคำบอกเล่า ทั้ง ๆ ที่หลักฐานมันชัดเจน อยู่บนเสื้อของหมิงจงเป่า คราบโจ๊กที่เลอะเป็นวงกว้าง‘ข้าก็จนคำพูดกับท่านแล้วศิษย์พี่’โม่ไป๋หลานได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ นางยังไม่รู้จักว่าชายตรงหน้าคือผู้ใด แม้จะคุ้นอยู่มาก จึงทำเพียงมองดูการสนทนาเงียบ ๆ“ใช่ ๆ นางไม่รู้จักโตเสียที เช่นนี้ ใครกันจะแต่งนางไปเป็นภรรยากัน เจ้าว่าจริงไหมซือเหนียง” หมิงจงเป่าเสไปเรื่องอื่นได้อย่างหน้าตาเฉยก่อนจะเดินตรงแข็งทื่อไปข้างเตียงก่อนจะยิ้มให้คนที่นอนนิ่งงุนงงกับชีวิตที่แปลกใหม่ของตนเองอยู่“ศิษย์รัก! ข้าหมิงจงเป่า อาจารย์ของเจ้า ต่อจากนี้ ข้าจะทุ่มเทถ่ายทอดวิชาให้แก่เจ้าเองนะ”จูซือเหนียงพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้จนสุดความสามารถ เพราะชายตรงหน้าพยายามทำหน้าตาให้ดูดีสุขุมสมกับคำว่าอาจารย์โม่ไป๋หลานเอียงหน้าไปมองจูซือเหนียงก่อนที่หมอหญิงจะพยักหน้าให้เบา ๆโม่ไป๋หลานพยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทกับผู้มีพระคุณอีกคนของนาง“อย่า ๆ มิต้องรีบลุกมาคำนับอาจารย์ เจ้าหายดีเมื่อไหร่ค่อยทำก็ได้” ร่างสูงยิ้มกว้าง
ถงเหยียนเจี๋ยได้แต่หัวเราะ หึ! ๆ อยู่ในลำคอ เขาตั้งใจเดินให้อีกฝ่ายได้ยิน ไม่ว่าจะทำอะไร คนด้านในก็รู้ไปเสียหมด มือหนาผลักประตูออกกว้าง ก่อนจะก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปหาสหายรักของตนที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงรออยู่แล้ว“ข้ามิรูปงามเช่นใครแถว ๆ นี้ จึงจะมีสตรีน้อยใหญ่ให้คอยท่า”ถงเหยียนเจี๋ยหมายความตามนั้นจริง ๆ เสียด้วย เพราะตอนที่ยังอยู่บนเขา เวลาพวกเขาลงจากเขามาในเมือง โม่หยวนฟางจะได้รับความสนใจมากกว่าเขาหลายเท่านัก เพราะรสนิยมในการแต่งกายของท่านชายนั้นต่างจากตัวเขาแทบจะเรียกได้ว่าคนละขั้ว หากวันใด เขาสวมชุดสีขาว คนตรงหน้าจะใส่สีดำ คืออะไรที่ตรงกันข้ามนั่นล่ะ คือความพอใจของท่านอ๋องน้อยผู้นี้เสมอ“เจ้ามาช้าเจี๋ย มัวแต่นอนกอดถงฮูหยินของเจ้าหรืออย่างไร ฮา ๆ”โม่หยวนฟางหมายถึงเหยาเหยา สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของสหายรัก เหยาเหยาจะคอยติดตามถงเหยียนเจี๋ยไปในทุกที แม้แต่เวลาหลับนอนยังคอยคดตัวอยู่ข้าง ๆ เตียงของชายหนุ่ม นี่จึงเป็นเหตุผลให้บรรดาสตรีน้อยใหญ่มิกล้าแม้แต่จะชายตามองถงเหยียนเจี๋ย เพราะหวาดกลัวเหยาเหยา“ฮึ! อย่างน้อย เหยาเหยาของข้าก็มิเคยทำร้ายข้าสักครั้ง ว่าแต่เจ้าเถอะ มีอะไรให้ข้าช่วยรึ…” เมื่อพูด
“ให้เข้ามาได้” ฮ่องเต้ทรงตรัสอนุญาต แม้จะทรงข้องพระทัยอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นอาของพระองค์ก็เสด็จมาหา“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงก้าวออกไปยังหน้าประตู ก่อนทูลเชิญเสด็จจิ้นอ๋องจิ้นอ๋องเสิ่นหลีก้าวเข้ามาอย่างองอาจ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตามที แต่ยังคงความสง่าเช่นราชนิกุลผู้มีสายเลือดมังกรอยู่มิเสื่อมคลาย ใบหน้าที่อ่อนโอน และอบอุ่นเสมอสำหรับคนในครอบครัว แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอ๋องประสานมือก่อนจะโค้งตัว ทำความเคารพโอรสมังกร ผู้ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ตนเอง“ตามสบายเถอะ เสด็จอา วันนี้ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ จึงได้มาหาข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มิทรงอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทรงรู้จักนิสัยของผู้เป็นอาดี ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ คนผู้นี้มักจะขลุกอยู่กับโคลงกลอน และการออกตรวจเยี่ยมราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่ของพระองค์เอง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงมาเยี่ยมเยียน พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ทรงมิค่อยสบายพระทัยนัก จึงอยากที่จะมาชวนฝ่าบาท ร่วมดื่มสุราชั้นยอด จากเมืองฉินเส่าสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้โม่เหยีย
แต่ยังไร้เสียงร้องขอความเมตตา ออกจากปากของสองพี่น้อง โม่หยวนฟางพยายามยกหน้าไม้ขึ้น เขาทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงตัดสินใจกดยิงออกไป ระยะประชิดเช่นนี้ มีหรือจะพลาดเป้า ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณสีข้างของคนร้าย ด้วยอารามตกใจ ชายสวมหน้ากากจึงเหวี่ยงหยวนฟาง ไปยังทิศทางเดียวกับโม่คังปึก! ตุบ! ร่างเด็กชายกระแทกเข้ากับตัวของพี่ชายที่รวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งรับร่างผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะตกสู่พื้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่สะเทือนใจขององครักษ์บางคนที่ยังหายใจอยู่ แต่ไร้สามารถที่จะลุกขึ้นปกป้องนายได้แล้วเช่นกันเลือดสีแดงฉาน ทะลักออกมาจากปากของโม่คัง เด็กชายยังคงพลิกตัวนอน ทาบทับเอาร่างบังน้องชายเอาไว้ภายใต้กายโชกเลือดของตนเอง ซึ่งเขาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อาการหายใจไม่ทั่วช่องท้อง เริ่มมีบ้างแล้วหยวนฟางดึงปี่ออกจากเชือกที่ร้อยติดกับสายคาดเอว ก่อนจะนำมาใส่ปากออกแรงเป่าอยู่อย่างมิท้อถอย ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาเหยียบลงบนหลังของโม่คัง ค่อย ๆ กดน้ำหนักลงไป เด็กชายไร้แรงต้านทานใด ๆ ได้อีกสองแขนที่พยายามค้ำยันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับน้องชายแรงเกินไป ถึงกับสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มันคือการทรมานจากศ
หลายปีก่อน ระหว่างทางไปวัดฉุ่ยอิงนอกเมืองหลวงเพล้ง! ฮี้ ๆ เสียงกระทบกันของอะไรสักอย่าง รวมทั้งเสียงม้าที่แตกตื่น ทำให้เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า รับรู้ถึงเรื่องผิดปกติ“เกิดอะไรขึ้น”เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยถามองครักษ์ด้านนอก แม้ตัวเขาพอเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากอะไร“อย่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ มีคนร้าย”คำตอบจากหนึ่งในองครักษ์ ที่ได้อยู่คุ้มกันขบวนรถม้านำเสด็จองค์รัชทายาทโม่คังในวัยสิบชันษาเพื่อไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนนี้ อยู่ ๆ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน โดยภายในมีขันทีวัยใกล้เคียงกันได้ตามเสด็จพร้อมทั้งพระญาติ คือท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เด็ก ๆ ต่างพากันเตรียมพร้อมรับมือ เสียงลูกดอกกระทบรถม้า และทะลุเข้ามายังด้านใน ทำให้โม่คังรีบคว้าตัวน้องชายเข้ามากอดเพื่อปกป้อง ก่อนจะหยิบเอาแส้อสรพิษที่นำติดตัวมาด้วยเอาไว้ในมือ แล้วพาน้องชาย รวมทั้งขันทีคนสนิทลงจากรถม้า องครักษ์คุ้มกันได้ล้อมเข้าเพื่อป้องกันเจ้านายทั้งสองอ๋องน้อยด้วยวัยเพียงห้าขวบที่หวังตามพระเชษฐาออกมาเที่ยวนอกวังนั้นยังมิประสาอะไรมาก ฝีมือการต่อสู้ก็เพียงเล็กน้อยยังมิถึงขั้นชำนาญ ในมือยังคงถือหน้าไม้ที่ฮ่องเต้
ชายหนุ่มเดินยืดตัวตรง ช่างดูสง่าผ่าเผย จนมิเหมือนบ่าวรับใช้สักเท่าใดนัก ร่างสูงหยุดยืนกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หยางซานซินโดยบังเอิญ บุรุษต่างวัยยืนจ้องตากันดุจมังกรปะทะพยัคฆ์ก็ว่าได้ ก่อนรอยยิ้มของผู้อ่อนวัยกว่า จะยกขึ้นช้า ๆ เมื่อมองเห็นเสือเฒ่า ปิดดวงตาเอาไว้ข้างหนึ่ง‘สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้บาดเจ็บหนักยังลุกขึ้น ออกมาเดินไปทั่วค่ายได้’ นับว่าเสือเฒ่าตัวนี้ร้ายมิใช่เล่นแต่จงอย่าลืมว่าแม่ทัพเพียงสองคน มิอาจล้มฮ่องเต้ได้โดยไร้ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นต่างหากที่เขาต้องการตัว มากกว่าคนตรงหน้า โม่คังเดินเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่าย แต่เท้าของหยางซานซิน ยังมิทันขยับก้าวกลับเป็นโม่คังที่ก้าวออกไปก่อน ไม่คิดรั้งรอที่จะเอ่ยปากอันใดกับหยางซานซิน“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักอ่อนน้อม รึเห็นข้าเป็นเพียงก้อนหินหรืออย่างไรกัน เป็นชาวบ้านไร้การอบรมสิ้นดี”โม่คังหยุดเดินก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย คนพวกนี้ช่างเจ้ายศกันเสียจริง เขาเป็นถึงองค์ชาย ยังไม่เคยเรียกร้องให้คนมาก้มหัวให้ ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาเสมือนไร้ความรู้สึกใด ๆ เมื่อเขาต้องมองหน้าคนอย่างหยางซานซิน
หยางซานหลางได้คว้ามือไปหยิบหน้ากากมาสวมเพื่อปิดบังรอยแผล“ข้าน้อยเยว่คัง คารวะท่านแม่ทัพหยาง”ชายหนุ่มได้ยื่นตะกร้าให้แก่ทหาร ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวและประสานมือ ทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม โม่คังแอบซ้อนสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่‘เล่อเล่อ! น้องเบามือเกินไปแล้ว หยางซานหลางยังนั่งหน้าตาย อยู่ได้ มันไม่สาแก่ใจพี่เท่าใดนัก’ ชายหนุ่มแอบตำหนิน้องสาวอยู่ภายในใจทหารที่เป็นผู้รับตะกร้าอาหารไป ได้ทำการทดสอบพิษเสียก่อน ที่จะนำมาให้แก่ผู้เป็นหัวหน้าของตนได้ดื่มกิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำออกมาวางยังโต๊ะ รวมกับอาหารของหญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าชา เสมือนถูกตบอย่างแรง เมื่อต้องมองอาหารที่สตรีอื่น นำมาให้คนรักของตนต่อหน้าเช่นนี้“แม่นางฟางเล่อสบายดีหรือ ข้านั้นเสียมารยาทมากนัก ที่มิได้เข้าไปกล่าวทักทาย ต้อนรับนางเลย ช่างเสียมารยาทนัก”“หามิได้ขอรับท่านแม่ทัพ นายหญิงให้เรียนท่านแม่ทัพว่า เมื่อวานเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวเซียนอี้ วันนี้จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อย นำของกำนัลมาให้ยังค่ายแทนขอรับ หวังว่าท่านแม่ทัพหยางคงมิรังเกียจของพื้น ๆ เช่นนี้นะขอรับ”โม่
“เป็นเพียงบ่าวรับใช้ มินอนหน้าเตียงของข้าเสียเลยล่ะขอรับ” หยวนฟางประชดคนเป็นพี่“เช่นนั้นก็ได้ เอาตามนี้ก็ดี ปะ! ไปนอนกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราควรพักผ่อน” โม่คังยกยิ้มมุมปาก เมื่อกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องได้ จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีโม่คังอยากหัวเราะดัง ๆ กับท่าทางประชดประชันของน้องชาย อายุมิใช่น้อย แต่พอเขาที่แก่กว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นก็กลายร่างเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ทันที ยังมีอีกคนพรุ่งนี้ น้องสาวสุดที่รักจะยังจำพี่ชายคนนี้ได้อยู่รึไม่ คราแรกตอนได้ยินข่าวการตายของนาง เขาแทบตรงดิ่งเข้าเมืองหลวง เพื่อฆ่าอดีตน้องเขยด้วยมือของตนเอง แต่เพราะคำว่าเพื่อบ้านเมือง เขาจะปรากฏตัวให้ใครรู้มิได้ว่ายังไม่ตาย‘ใกล้ถึงเวลาที่พวกแก ต้องชดใช้แล้วกบฏทั้งหลาย’หยวนฟางแทบอยากผูกคอตาย เมื่อผู้เป็นพี่ชายมานอนร่วมห้อง เป็นเขาที่ต้องนอนหน้าเตียง เมื่อทนไม่ได้กับการนอนดิ้นของพี่ชาย จึงต้องหอบหมอนและผ้าห่ม ลงมานอนข้างล่างแทน“ฝากไว้ก่อนท่านพี่ อย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะเอาคืนให้สาสม”เสียงบ่นเบา ๆ ของคนด้านล่าง ทำให้คนบนเตียงยิ้มกว้าง ที่แกล้งน้องชายได้สำเร็จ พวกเขาหยอกล้อกันเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเสียงน้อ
“ได้! ปล่อยข้าก่อน”หรู่อี้รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าว เมื่อลมหายใจของคนตัวใหญ่ เป่าลดลงบนหน้าผากของนาง เมื่อร่างบางได้เป็นอิสระแล้ว หรู่อี้รีบพุ่งลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างเมี่ยวจ้านในทันที เยว่คังยังคงตีสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียง ไปยืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย“เอาละ! ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้ หรู่อี้ชายผู้นี้มีนามว่าเยว่คัง เป็นคนของฝ่าบาท ส่วนเจ้าเยว่คัง นางคือหรู่อี้ผู้ติดตาม คนสนิทของท่านหญิงโม่ฟางเล่อ ส่วนนั่นคือองค์หญิงเมี่ยวจ้าน คนรักของข้าเอง”พอแนะนำว่าเมี่ยวจ้านคือผู้ใดเสร็จ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เยว่คังค้อมศีรษะให้แก่สตรีทั้งสองนาง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางโม่หยวนฟาง‘ร้ายนักเจ้าน้องชาย หมายจะทิ้งบ้านเมือง ไปเป็นเขยต่างแคว้น’ โดยคนเป็นน้องชายก็มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“ท่านพี่จะรีบทำให้ไก่ตื่นไปไย อย่างไรเสียนกน้อยของท่านก็มิหนีหายไปไหนได้อยู่แล้ว” หยวนฟางกระซิบเบา ๆ กับเยว่คัง“แม่นางหรู่อี้! เยว่คังผู้นี้จำต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่ท่านทำให้ข้าต้องมีมลทินนั้น ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้”ทุกสายตาหันไปมองยังหรู่อี้
ชายหนุ่มได้หายออกจากเก้าอี้ไปนั่งอยู่บนเตียง โดยที่หรู่อี้มิอาจตามได้ทัน ความรวดเร็วว่องไวดุจสายลม ช่างน่ากลัวยิ่งนักหากคนผู้นี้คือศัตรู คงต้องบอกว่าหนักมือสำหรับนางไม่น้อยเลย หรู่อี้พุ่งเข้าหาคนบนเตียง ด้วยความเร็วดุจพายุก็มิปาน แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้ขยับไปไหน เพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย มือแกร่งรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับไปนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม กระบี่ในมือตกอยู่ข้างลำตัวแทนไม่เพียงแค่กอดรัด ขณะที่หรู่อี้กำลังจะอ้าปากต่อว่า“อื้อ! อ่อย! ฮา! อะ!”หรู่อี้ทำได้แค่เพียง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มิใช่เพียงแค่ปากประกบลงบนกลีบปากนุ่มของหญิงสาวเท่านั้น ลิ้นของชายหนุ่มได้สอดล่วงล้ำ เข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกด้วย หรู่อี้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เมื่อถูกรุกราน นางยังมิเคยต้องมือบุรุษใดมาก่อนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ กับความใสซื่อและอ่อนประสบการณ์ของคนในอ้อมแขน หรู่อี้ถึงกับน้ำตาซึม ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่แก้มนวล ชายหนุ่มรู้สึกได้กับน้ำอุ่น ๆ สัมผัสใบหน้าของตนซึ่งแนบชิดกับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก“นี่อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าเล่นลิ้นสาวน้อย”
‘มิเจียมตนเลยเมี่ยวจ้าน’ หญิงสาวพร่ำบ่นตนเองอยู่ภายในใจ“เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือเมี่ยวจ้าน ว่าตนเองมีความผิดเรื่องใดบ้าง”โม่หยวนฟางยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน และยังคงพูดจา ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากขึ้นอีก เขารู้ตั้งแต่คนของเขาส่งสัญญาณมาก่อนแล้วว่า พวกนางมาถึงหอร้อยราตรีแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยให้หญิงคณิกาผู้นั้นรุกหนัก โดยยอมหญิงงามผู้นั้นขึ้นคร่อมบนตัว เสมือนเขาเป็นม้าและคณิกาคนงามเป็นผู้ขี่ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เมี่ยวจ้านปรากฏตัวขึ้น ด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่การกระทำกลับมินิ่งเสมือนใบหน้า สร้างความพอใจให้แกเขายิ่งนัก สิ่งที่ชอบในตัวนางคือ ความตรงไปตรงมา นางชัดเจนเสมอในสิ่งที่ลงมือกระทำ สมแล้วที่เป็นถึงรัชทายาทแห่งจิ้งหนาน‘ข้าอยากเห็นขุนพลผู้เกรียงไกร พ่ายต่อใจตนเองนัก’“เจ้าเห็นร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของพี่จนหมดสิ้นแล้ว มิเว้นแม้แต่ส่วนลับ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ”โม่หยวนฟางพูดด้วยน้ำเสียง เหมือนกำลังจะร้องไห้ พร้อมใบหน้าเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด“ห๊ะ! ขะ…ข้าหรือ” เมี่ยวจ้านอุทานออกมา ด้วยความตกใจปนสับสนโม่หยวนฟางเริ่มตีหน้าเศร้า เอามือลูบตามเนื้อตัวของตน เพื่อแสดงให้หญิ