“ท่านอ๋องเพคะ”เป็นหลิวเจินเจินที่เอ่ยออกมาหลังจากเดินผ่านพ้นภูเขาจำลองออกมา โดยมีร่างในชุดสีดำติดตามมาอีกหลายคน สามพี่น้องสกุลโม่ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นหรู่อี้และเมี่ยวจ้านเดินตามหลังของหลิวเจินเจินออกมา แม้ทั้งสองจะยังปิดบังใบหน้าเช่นเดียวกับโม่ฟางเล่อ ทว่า พวกเขาจำสายตาของพวกนางได้เป็นอย่างดี“ท่านน้าเจินเจิน ลำบากท่านน้าแล้ว”“มิได้เพคะ หม่อมฉันเป็นประชาชนชาวชีเป่ย เพื่อบ้านเมือง ไม่มีคำว่าลำบากเพคะ”“ขอบคุณท่านน้า เช่นนั้น พวกเรากลับกันเถอะนะ คนของเราบาดเจ็บมากอยู่พอสมควร พวกเขาจำต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน”“เพคะ”เป็นท่านอ๋องน้อยและหลิวเจินเจินที่ต้องเดินนำทุกคนออกไป ด้วยในที่นี่มิมีผู้ใดยศสูงไปกว่าทั้งสองคนแล้ว ซึ่งต่อให้มีก็ไม่อาจเปิดเผยตัวได้ เมื่อทุกคนมากันครบแล้ว โม่หยวนฟางจึงให้คนที่มิได้บาดเจ็บรวมทั้งทหารจากหุบเขาเหมยแดงของแม่ทัพหลิวไห่ ช่วยกันจัดการกับศพของสาวกพรรคมารด้วยความให้เกียรติ“จงจำไว้ ต่อให้เขาคือศัตรู ทว่า พวกเขาก็ทำตามหน้าที่เช่นกันกับพวกเรา แม้ว่าพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของผู้นำ แต่เขาก็คือทหารผู้เสียสละเพื่อพรรคของเขา เราจงอย่า
“จิ้นอ๋องไยทรงกล่าวเช่นนี้ สิ่งที่ท่านอ๋องต้องการสื่อออกมาคือเรื่องใดกันแน่”หนึ่งในขุนนางผู้ภักดีเอ่ยถามจิ้นอ๋องซึ่งยืนอยู่อีกฟากตามตำแหน่งและลำดับในการยืน ในราชสำนักก็คงมีเพียงกูว์เต๋อจงเท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้กับจิ้นอ๋องผู้นี้ เรื่องวาจาดั่งคมดาบหาใครเกินหน้าอำมาตย์กูว์เล่า“ท่านอำมาตย์ เหตุใดมิรอฟังข้าให้จบเสียก่อนเล่า”“อะฮึ่ม! เชิญท่านอาพูดมาเถอะ ข้ามั่นใจว่าสิ่งที่ท่านอาจะกล่าวมาต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เรื่องของพระสนมคนใหม่ กั๋วเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”“จิ้นอ๋อง บ้านเมืองไร้ความสงบ ไยท่านจึงนำเรื่องของอิสตรีเข้ามาเสนอแนะในท้องพระโรงเช่นนี้ อายุก็ปูนนี้แล้วน่าจะรู้ว่าสิ่งใดควรมาก่อนหลัง”ฮ่องเต้โม่เหยียนเฉาทำได้เพียงข่มกลั้นความขบขันเอาไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบ เขาเห็นใจจิ้นอ๋องอยู่ไม่น้อยที่นานครั้งจะเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรง ทว่าต้องมาพบกับคนที่ไม่เคยเก็บสิ่งใดเอาไว้ในใจอย่างอำมาตย์กูว์เหน็บแนมต่อหน้าผู้คน แต่ในอีกแง่หนึ่ง เขาก็เห็นด้วยกับอำมาตย์ผู้เถรตรง เรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ไม่น่าจะถึงขั้นเข้าสู่ที่ประชุม แต่ทว่า เขาก็ไม่ต้องการที่จะหักหน้าของผู้เป็นอาต
สิบวันถัดมา ณ ตำหนักหลวงพรึบ ๆ นกอินทรีสีขาวปลอดถูกปล่อยออกจากตำหนักหลวงนับสิบตัว ร่างสูงในชุดมังกรยืนมองด้วยความพึงพอใจก่อนจะก้าว“ที่เหลือ ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”“ทราบแล้ว”หญิงสาวในชุดนางกำนัลชั้นสูงย่อกายอย่างงดงาม ก่อนจะพากันก้าวออกจากตำหนักหลวงตรงไปยังรถม้าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้รอท่า ขันทีผู้มีหน้าที่ทำความสะอาดลอบมองตามร่างระหง หนึ่งสูง หนึ่งเตี้ย ก้าวเท้าเนิบช้างดงาม ยิ่งขับเน้นให้ทั้งคู่เป็นที่ชวนมองเมื่อชายผ้าขยับพลิ้วไหวตามการเคลื่อนกายของหญิงสาวทั้งสอง ใบหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าสีขาวผืนบางหลายคราที่ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ แล้วจากไปโดยไร้ผู้พบเห็นอีก จนกว่าจะมีพระบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ ทั้งคู่ก็จะปรากฏกายขึ้นพร้อมกัน ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางกำนัลชั้นสูงในฮ่องเต้ แม้แต่คนสนิทเช่นลู่กงกงเองรถม้าเคลื่อนออกจากหน้าพระตำหนัก คนที่เฝ้าสังเกตการณ์ก็ได้กระทำบางอย่างเช่นกัน‘รนหาที่ตายกันเสียจริง สองคนนั่นยิ่งชอบเล่นสนุกอยู่’บุรุษในชุดสีทองผละออกจากริมหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงการมาของกลุ่มคนจากด้านนอก‘อีกนานแค่ไหนที่ข้าต้องทน หากนานกว่านี้ ความบริสุทธิ์ของข้
จูซือเหนียงนิ่งเงียบไปเช่นกัน นางจำที่บิดาเคยเล่าถึงพิษชนิดนี้ได้ขึ้นใจ แต่มิคิดว่าวันหนึ่งนางจะต้องพบกับมัน และไม่แน่ใจด้วยว่าจะรับมือกับมันได้มากน้อยเพียงไร ยิ่งไม่มีหมิงจงเป่าคอยช่วย นางเหมือนจะมองเห็นทางรอดของคนที่นอนอยู่รำไรนัก“ข้าจะไปค้นหาต้นตอดีรึไม่ขอรับ”“พวกเจ้าห้ามกลับเข้าไปในตำหนัก เสี่ยวเตี๋ย นำความข้าไปแจ้งแก่ฝ่าบาท นำยานี่ไปให้ด้วย กำชับว่าอย่าฝืนทำ”“ทราบแล้ว”ร่างอ้อนแอ้นหมุนกายจากไปในทันที โดยมีชายหนุ่มในชุดขันทีตามไปลงดาลประตูก่อนจะรีบกลับมารอฟังคำสั่ง พวกเขามีคนมิได้มากมายนัก ทุกคนต้องทำตามหน้าที่ให้สมบทบาท“ส่วนเจ้าทั้งสองอย่าได้คลางแคลงใจกันเอง จงเร่งออกนอกวัง ไปยังบ้านข้า เพื่อนำสมุนไพรบางอย่างมาให้ข้าโดยเร็ว จำไว้ว่าไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยเขา แต่เป็นเราทุกคน”“ข้ามิอยากที่จะเคลือบแคลงใจเลยขอรับท่านหมอ แต่ไยตอนเกิดเรื่อง เขากลับไม่อยู่กับสงเป่า”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งจ้องไปยังอีกคนด้วยความไม่ไว้วางใจเช่นเดิม ทว่า อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยงสายตา“เขาได้รับคำสั่งให้มาตามข้าเอง เจ้าไม่ผิดที่มิไว้ใจเขา เป็นข้าก็คิด แต่จงไตร่ตรองด้วย อย่าได้โผงผางไป การที่เขาป
รถม้าของกลุ่มพ่อค้าทางด้านหลังดูแล้วไม่มีสิ่งใดหน้าสงสัย การถืออาวุธก็เป็นเรื่องปกติของสำนักคุ้มภัยทั่ว ๆ ไป ทว่าสำหรับจิ่วอิงและคณะนั้น มิได้คิดอย่างคนทั่วไป“เจ้าว่าเราจะไปถึงที่นั่นทันเวลารึไม่”“ทันรึไม่นั้น มันขึ้นอยู่ความอดทนของคุณหนู ว่าจะไหวไหมมากกว่า”“จิ่วอิง ข้าคือลูกหลานสกุลจ้าว อย่าได้ดูถูกข้าเช่นนี้อีก อย่างไรข้าคือนายของเจ้าคนหนึ่ง”“ข้ารู้ตัวดี”จิ่วอิงต้องการให้หญิงสาวข้างกายกลับสู่บ้านเกิดของนางมากกว่าที่จะเสี่ยงร่วมภารกิจกับเขาในครั้งนี้ การเบนความสนใจของศัตรูนั้นไม่ง่ายเลย เส้นทางที่เขาจะไปนั้นต้องผ่านบ้านเกิดของเขา ซึ่งมิใช่ความปรารถนาเลยสักนิดเดียว‘ข้าจะไปหาท่าน…ท่านย่า’แท้จริงแล้วในอดีตนั้น เขามิใช่ว่าถูกบังคับให้เป็นขันที แต่เหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาจำต้องมาอยู่ในวังหลวงในฐานะขันทีข้างกายองค์รัชทายาท เขายังจำสีหน้ารังเกียจจากครอบครัวที่มองเขาเสมือนตัวประหลาด เกิดมาเป็นบุตรชาย แต่ทว่าไร้วาสนามีทายาท หนำซ้ำยังถูกเย้ยหยันตำแหน่งขันทีต่ำต้อยของเขาอีกด้วยแต่ทั้งหมดทั้งมวล เป็นเขาเองที่กุเรื่องตำแหน่งนั้นขึ้นมาเอง หากคนเหล่านั้นรู้ว่าแท้จริงแล้วเขามิใช่แค่ขันทีธรร
ตอนที่62.“เหมือนเจ้าจะมิจดจำเอาเสียเลย คุณชายน้อย ผู้ไม่รู้ว่าตนเองคือใคร หึ ๆ กลับไปซะ อย่าให้ข้าต้องลงมืออีก อ้อ…ข้ารออยู่ที่จวนเจ้าเมือง รีบมาล่ะ! อย่าช้า”ผู้มาเยือนเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะย่อกายลงนั่งยอง ๆ ส่งยิ้มให้แก่คนที่เขาช่วยเอาไว้ แล้วจับเข้าที่ต้นแขนของเด็กชายเพื่อพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นจิ่วอิงขืนตัวเองไว้ เมื่อถูกดึงให้เดินตามผู้มีพระคุณของเขา เด็กชายมองไปยังของที่ตกอยู่มิไกล ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกยื้อแย่งมาจากเขาโดยฝีมือของญาติผู้พี่ที่ตอนนี้ได้พากันวิ่งหนีจากไปไกลแล้วเด็กชายพยักหน้าให้จิ่วอิงไปเก็บสิ่งนั้นมาได้ ก่อนที่เด็กชายผู้นั้นจะเดินไปหาเด็กน้อยอีกคนซึ่งยืนรออยู่ห่างออกไป จิ่วอิงรีบวิ่งไปเก็บของรักขึ้นมา ก่อนจะรีบวิ่งตามผู้มีพระคุณไปสิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้คือ ผู้มาเยือนจากต่างเมืองกำลังย่อกายให้เด็กชายอีกคนขึ้นขี่หลัง จิ่วอิงเดินตามทั้งสองคนนั้นไปติด ๆ แม้จะมิรู้เลยว่าสองคนพี่น้องคือใคร มาจากเมืองใด แต่เด็กชายผู้นั้นคือคนที่เขาต้องตอบแทนจวนเจ้าเมืองเห่อหนาน“ข้าน้อยจิ่วอิง ต้องขอบคุณนายน้อยมากขอรับที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”หลังจากเงียบกันมาตลอดทางกลับสู่จวนเจ้าเมือง ก็ถึงเว
‘จิ่วอิง มันคือชะตาของเจ้า หากไร้เจ้าสักคน พี่ชายของเจ้าก็จะหายไปตลอดกาล ทุกอย่างจะตกเป็นของบุตรชายข้าแต่เพียงผู้เดียว’จิ่วอิงเงยหน้ามองผู้ที่ก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าเขา ร่างบอบบางสั่นสะท้าน เขารู้อะไรมากมายเกี่ยวกับสตรีตรงหน้า นางมิได้มาดีเช่นรอยยิ้มที่นางส่งมาให้ในตอนนี้ ยังไม่ทันจะเอ่ยสิ่งใดออกมา หญิงสาวได้เงื้อมือขึ้นสูง ก่อนจะเหวี่ยงลงมาสุดแรง ที่หมายคือใบหน้าอันยับเยินของจิ่วอิงทว่าก่อนที่ฝ่ามือจะกระทบใบหน้าเด็กชาย มือของหญิงสาวกลับถูกจับเอาไว้แน่น โม่คังออกแรงบีบให้มากขึ้น ดวงตาแข็งกร้าวมองยังเจ้าของข้อมือบาง‘สตรีน่ารังเกียจ’ หญิงสาวพยายามให้แขนของตนเองหลุดจากพันธนาการ แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่นางตั้งใจสำหรับโม่คังนั้น ถึงแม้เขาจะยังเยาว์ แต่ก็ใช่จะไร้เรี่ยวแรงจนเกินไปนัก เว้นแต่คนที่เขากำลังต่อกรอยู่นี้เป็นบุรุษสูงใหญ่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกหากเขาจะพ่าย“ปล่อยภรรยาข้าเดี๋ยวนี้นะ”บุรุษหลายคนจากสกุลจิ่ว หมายจะก้าวเข้าจัดการกับเด็กชายพรึบ! ผู้ติดตามทั้งหมดเหินกายข้ามศีรษะของทุกคนเข้ามาหยุดยืนเรียงกันขวางทางของคนสกุลจิ่วเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องมองอย่างไม่มีฝ่ายใดย
ค่ายทหารเจียงไห่ กระโจมบัญชาการราชครูหลิวนั่งในตำแหน่งผู้นำ โดยมีหลิวกุ้ยเฟยนั่งเด่นเป็นสง่า แววตาสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดฉายผ่านดวงตาคู่งาม เพียงชั่วครั้งที่นางจะเหลือบมองไปยังแม่ทัพหนุ่ม สำหรับนางแล้วหน้าตาที่เหมือนกัน ใช่ว่าจะใช่คน ๆ เดิมที่เคยรู้จัก‘ไม่มีผู้ใดแทนที่ท่านได้’หยางซานซินแสร้งยกน้ำชาขึ้นจิบ ทว่า สายตาคมกลับกวาดมองทุกคนที่นั่งอยู่ภายในกระโจมแห่งนี้ มิเว้นแม้แต่ทหารชั้นผู้น้อยที่คอยยืนรับใช้ใกล้ชิดผู้มียศสูงกว่า“เอาละ มากันครบแล้วใช่หรือไม่ ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้นำเสด็จพระนางหลิวกุ้ยเฟยกลับสู่เมืองหลวง โดยมีท่านแม่ทัพทั้งสองติดตามคุ้มกัน เพื่อส่งเสด็จให้แก่พระนาง ส่วนทางนี้ ท่านแม่ทัพหลิวไห่จะเป็นผู้เข้ามาดูแลแทนจนกว่าแม่ทัพหยางซานหลางจะเดินทางกลับมา ท่านเสนาบดีซูถง เห็นทีท่านก็ต้องกลับไปพร้อมกัน”“ข้ามิอาจขัดพระบัญชาได้”“ท่านแม่ทัพใหญ่ อย่างไรวันนี้ รบกวนท่านจัดเตรียมคณะเดินทางให้พร้อม อย่าให้มีสิ่งใดผิดพลาดได้”“ขอรับท่านราชครู”แม้เวลานี้ เสนาบดีชูถงและรองแม่ทัพซ้ายเป่าซุนจะร่วมสวามิภักดิ์แล้วก็ตาม แต่ยังคงมีขุนนางอื่นที่นั่งร่วมรับฟังอยู่ด้วย ทุกถ้อยคำจำต้องแ
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ
ส่วนด้านนอกรถม้า สองแม่ทัพสกุลหยางแทบไร้การพูดคุยกันเช่นในอดีต หยางซานซินยังคงทำตัวเป็นปกติ ทว่า สิ่งที่แตกต่างก็ฉายชัดออกมาอยู่นั่นเอง เมื่อเขาดูจะไม่ใยดีบุตรชายซึ่งอยู่บนหลังอาชาเคียงข้างเขาอยู่ในขณะนี้ฝั่งหยางซานหลางก็ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย จากคนที่นิ่งขรึมมาตลอด บัดนี้เรียกได้ว่าตลอดทั้งร่างของชายหนุ่มนั้นปลดปล่อยแต่เพียงรังสีแห่งการฆ่าฟัน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ มิแสดงตัวตนของเขาออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้มากถึงเพียงนี้แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพทั้งสองจะสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมด ทว่าก็ไร้ซึ่งคำถามจากทุกคน เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้นำ“ซานหลาง เจ้าจงเว้นระยะห่างกับพระนางกุ้ยเฟยให้มากขึ้นอีกสักหน่อยก็ดีนะ”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงความนัยที่ทำให้ผู้ฟังขุ่นเคืองใจอยู่มากทีเดียว หยางซานหลางชำเลืองมองผู้ที่บัดนี้เขาต้องเรียกว่าบิดาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองตรง ๆ ตามเส้นทางอันยาวเหยียดพร้อมรอยยิ้มยังมุมปาก“ขอรับท่านพ่อ แต่ถ้าจะให้ดี ท่านพ่อเองก็ควรระวังใจของตนเองเอาไว้ให้มากเช่นกัน
‘คำว่าแพ้มีให้แก่คนอ่อนแอเท่านั้น และมันมิใช่ข้า’“ทูลพระนางเต๋อเฟย ลู่กงกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”กั๋วเต๋อเฟยเหลือบขึ้นมองคนสนิท ก่อนจะพยักหน้าให้กับอี้ถิง หญิงสาวย่อกายให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะหมุนกายออกไปยังห้องด้านนอก เพื่อทำตามประสงค์ของเจ้าของตำหนักเมื่อมีผู้มาเยือน การเดินหมากของนางก็จำต้องยุติลง มือวางสะบัดมือเพียงครั้ง ผ้าผืนบางที่วางอยู่บนโต๊ะได้ปลิวสะบัดก่อนจะคลุมลงยังกระดานหมากบนโต๊ะ เสมือนมีคนจับวางก็มิปาน ร่างระหงลุกขึ้นก้าวเดินออกไปยังห้องรับรองชั้นนอกลู่กงกงรีบโค้งกายลงต่ำ เมื่อเจ้าของตำหนักเดินนวยนาดออกมาจากหลังม่านไข่มุก“ลู่เฟย ถวายบังคมพระนางเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”“ตามสบายลู่กงกง วันนี้มาพบข้า ท่านคงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ว่ามาเถิด”“ทูลพระนาง กระหม่อมนำพระบัญชาของฝ่าบาทมาแจ้งแก่พระนางพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งถึงข้ารึ”ใบหน้างามซับสีเลือดในทันที เมื่อนึกถึงบุรุษผู้องอาจผู้เป็นพระสวามีของนาง แม้ทรงมีพระชนม์มายุมากแล้ว ทว่ากลับยังคงความหล่อเหล่าเฉกเช่นวัยหนุ่มสาวก็มิปาน จากแต่เดิมที่นางท่องจำว่าเพราะหน้าที่กับการสมรสในต่างแดนครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่านางปรารถนาที่จะเคียงคู่
วังหลวงบุรุษในชุดมังกรเดินวนไปมาเสมือนพยัคฆ์ติดบ่วง โดยมีร่างงามของสตรีในชุดสีแดงเพลิงปักลวดลายหงส์นั่งมองคนที่เดินไปมาด้วยความนึกขัน“จะทรงเดินอีกนานรึไม่เพคะ ฝ่าบาท”“จะให้ข้านิ่งนอนใจได้อย่างไรกันฮองเฮา ผู้อาวุโสมิรู้พากันสนุกสนานอยู่ที่ใดกัน ตอนนี้ กองทัพเคลื่อนพลสู่เมืองหลวงด้วยวิธีที่แยบยลนัก หึ ๆ เป็นข้าเอง ผิดที่ข้าฮองเฮา ข้าชักนำศึกเข้าเมืองเร็วเกินไป”ร่างสูงก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ข้างฮองเฮา โดยที่พระนางยังคงสนใจในตำราหลังจากอีกฝ่ายนั่งลง“หากเป็นท่านผู้อาวุโสก็จะทำเช่นพระองค์เพคะ อย่าทรงโทษพระองค์เองไปเลยเพคะ ไม่ว่าอย่างไร คนพวกนั้นก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่ดี การเดินเกมในบางครั้ง การปล่อยให้ศัตรูล่วงล้ำเข้ามาบ้างก็อาจเป็นผลดี”“ข้าไม่ถัดการวางแผนเช่นเจ้านี่ ภรรยาข้า หึ ๆ”“แต่ทรงเป็นนักรักที่เก่งกาจใช่ไหมเพคะ”“ฮา ๆ วางใจเถอะฮองเฮา จะไม่มีสตรีใดมาแทนที่เจ้าได้”เมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือนได้ก้าวเข้าสู่ห้องชั้นนอก สองสามีภรรยาจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นหยอกล้อกันแทนห้องโถงรับรอง ตำหนักเหลียน“ลู่กงกง ท่านมาตามหาฝ่าบาทหรือเจ้าคะ”“เชียงเชียง เจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก ฝ่าบาททรงมาแอบอยู่