เจี่ยนหลิงเยว่กัดฟันด้วยความเคียดแค้น ตอนนี้นางเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างจนพูดอะไรไม่ออกสายตาจ้องมองไปทางประตู ทว่ากู้มั่วหลีกลับไม่ปรากฏกายแต่อย่างใดเจี่ยนอันอันรู้ว่าเจี่ยนหลิงเยวี่ยคิดอะไร นางหัวเราะเบาๆ ว่า “กู้มั่วหลีหนีไปแล้ว อย่าหวังว่าเขาจะมาช่วยเจ้า”เจี่ยนอันอันว่าพลางโน้มตัวลงไปตบให้เจี่ยนหลิงเยว่หันหน้ามาจากนั้นโรยผงยาพิษลงบนใบหน้าของเจี่ยนหลิงเยว่ เจี่ยนหลิงเยว่หลบไม่ทัน นางรู้สึกคันบนใบหน้าทันที“กรี๊ด หน้าข้า!” เจี่ยนหลิงเยว่กรีดร้องพลางยกมือขึ้นเกาหน้าอย่างแรงรอยโลหิตหลายรอยปรากฏบนใบหน้าอย่างรวดเร็วเดิมทีเจี่ยนหลิงเยว่ก็เจ็บปวดจนแทบเจียนตายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาถูกเจี่ยนอันอันโรยผงยาพิษใส่อีกตอนนี้นางแทบจะอยากตายให้พ้นๆ ไปด้วยซ้ำแต่นางจะตายไม่ได้ กว่าจะมาถึงเมืองอินเป่ยไม่ใช่ง่ายๆ แม้แต่ฉู่จวินสิงก็ยังไม่เคยพบ จะยอมตายง่ายแบบนี้ได้อย่างไรเจี่ยนหลิงเยว่ตัวสั่นเทิ้ม นางถลึงตาใส่เจี่ยนอันอัน “เจ้าโรยอะไรใส่ข้ากันแน่?”เจี่ยนอันอันยักไหล่ “ก็ไม่ได้มีอะไร ก็แค่ผงยาพิษที่ข้าคิดค้นขึ้นมาใหม่ ทดลองใช้กับหน้าเจ้าดูว่าได้ผลหรือไม่”ถ้อยคำของเจี่ยนอันอันทำให้เจี่ยน
เมื่อเจี่ยนอันอันปรากฏตัวอีกครั้ง นางก็พบว่าตัวเองไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านชิงสุ่ยแต่อย่างใดแต่มาอยู่ที่อำเภอไถหยางเจี่ยนอันอันไม่เข้าใจ เหตุใดฟังก์ชันเคลื่อนย้ายมวลสสารของนางถึงได้ค่อยๆ เสื่อมประสิทธิภาพเคราะห์ดีที่นางออกจากจวนเป่าจวิ้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถูกกู้มั่วหลีเจอตัวในตอนนี้เอง เจี่ยนอันอันสังเกตเห็นว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการจากที่ว่าการอำเภอเหมือนกำลังตามหาอะไรกันอยู่ครั้นพวกเขาหันมาเห็นเจี่ยนอันอันก็รีบวิ่งเข้ามาหา“แม่นางเจี่ยน ท่านหายไปที่ใดมา พวกข้าตามหากันแทบแย่”บรรดาเจ้าหน้าที่ทางการหอบหายใจ แต่ละคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพียงแค่ตามหาตัวเจี่ยนอันอันพบ พวกเขาก็จะกลับไปรายงานกับท่านนายอำเภอได้แล้วเจี่ยนอันอันรู้ว่าการหายตัวไปอย่างฉับพลันของตัวเองคงทำให้ฉู่จวินสิงออกมาตามหาอีกแล้วเป็นแน่นางกำลังจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงรถม้าในไม่ช้าก็เห็นเงาร่างที่มีทีท่าร้อนใจของฉู่จวินสิงบนรถม้าไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แต่ยังมีพวกจ้าวอู่กับจ้าวลิ่วด้วยดูแล้วการหายตัวไปของนางน่าจะเป็นที่รับรู้ของคนอื่นๆ ในหมู่บ้านชิงสุ่ยเช่นกันทุกคนต่างออกมาช่วยตามหากันหมดเมื่อฉู่จวินสิง
เจี่ยนอันอันไม่รู้ว่าบริเวณคอที่ถูกกู้มั่วหลีบีบได้กลายเป็นสีดำเมื่อความรู้สึกชาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เจี่ยนอันอันก็รู้สึกหายใจไม่ออกเวลานี้ รถม้าได้เดินทางมาถึงเนินเขาสือหลี่เจี่ยนอันอันหายใจคำโต อยากให้ความความรู้สึกหายใจไม่ออกเช่นนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็วฉู่จวินสิงสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเจี่ยนอันอัน เขารีบคว้าแขนทั้งสองข้างของนาง“อันอัน เจ้าเป็นอะไร?”เจี่ยนอันอันอยากพูด แต่นางกลับพบว่าตัวเองเปล่งเสียงอะไรไม่ออกนางนำยาถอนพิษออกมาจากห้วงมิติด้วยมือสั่นเทิ้ม ขณะที่กำลังจะใส่เข้าปากก็รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้ามืดดับเจี่ยนอันอันสบถในใจ นางนั้นวูบหมดสติไปยาเม็ดที่อยู่ในมือกลิ้งออกจากรถม้าไม่มีผู้ใดมองเห็นยาถอนพิษเม็ดนั้น ทุกคนตื่นตกใจกับอาการของเจี่ยนอันอัน“อันอัน!”“แม่นางเจี่ยน!”ทุกคนบนรถม้ารู้สึกตกใจกับอาการของเจี่ยนอันอันทุกคนร้องเรียกชื่อของเจี่ยนอันอัน ทว่านางกลับไม่ตอบสนองแม้แต่น้อยฉู่จวินสิงตะโกนด้วยความร้อนใจ “เลี้ยวกลับ กลับไปที่อำเภอไถหยาง”เหยียนเซ่าซึ่งรับหน้าที่ขับรถม้าเห็นเจี่ยนอันอันหมดสติก็เลี้ยวรถม้ากลับไปทางอำเภอไถหยางทันทีหัวใจของฉู่จวินสิงกระด
ฉู่จวินสิงก้าวเท้าเร็วรี่เข้ามายืนตรงหน้าถังหมิงเซวียน เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “คุณชายถัง เจ้ารีบดูเถิดว่าอันอันเป็นอะไรไป?”ถังหมิงเซวียนมองเจี่ยนอันอันที่อยู่ในอ้อมแขนของฉู่จวินสิง เห็นนางหลับตาสนิท ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากดำคล้ำแม้แต่บริเวณลำคอของนาง ยังปรากฏรอยดำปื้นใหญ่ถังหมิงเซวียนรู้ได้ทันทีว่าเจี่ยนอันอันถูกพิษร้ายแรง“รีบอุ้มนางไปห้องของข้าเร็วเข้า”ถังหมิงเซวียนกล่าวจบก็วิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสองฉู่จวินสิงรีบตามไปติด ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างรออยู่หน้าโรงเตี๊ยม“อันอันเป็นอะไรไป?”เมื่อเข้าไปในห้อง ฉู่จวินสิงจึงวางเจี่ยนอันอันลงบนเตียงใบหน้าของเขาฉายแววร้อนรน หวังให้ผู้ที่หมดสติในยามนี้เป็นตัวเขาเอง ไม่ใช่เจี่ยนอันอันถังหมิงเซวียนตรวจชีพจรของเจี่ยนอันอัน เมื่อสัมผัสได้ถึงพิษในร่างของนางที่กำลังคืบคลานเข้าสู่หัวใจเขารีบหันไปบอกฉู่จวินสิงให้ออกไป เขาต้องรักษาเจี่ยนอันอันทันทีฉู่จวินสิงไม่ยอมออกไปอย่างเด็ดขาด เจี่ยนอันอันคือภรรยาของเขา เขาต้องการเห็นเจี่ยนอันอันฟื้นขึ้นมาด้วยตาของตนเองถังหมิงเซวียนเห็นฉู่จวินสิงไม่ยอมออกไป เขาจึงได้แต่กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “ตอนนี้แม
ระหว่างทางไปยังร้านขายยา ถังหมิงเซวียนกลับครุ่นคิดในใจว่า ผู้ใดกันแน่ที่ลงมือกับเจี่ยนอันอันด้วยพิษร้ายแรงเช่นนี้?พิษนี้มีลักษณะเฉพาะที่ซับซ้อน หากไม่สามารถหาสมุนไพรชั้นเลิศได้ เกรงว่าคงไม่อาจรักษาเจี่ยนอันอันได้โชคดีที่ก่อนออกจากบ้าน เขาพกเงินติดตัวมาบ้างหากซื้อสมุนไพรชั้นเลิศ เงินที่เขามีก็เพียงพอ แต่จะหมดเกลี้ยงในทันทีเขาทำได้เพียงช่วยเจี่ยนอันอันให้รอดชีวิตก่อน แล้วค่อยขอค่ายาจากนางในภายหลังถังหมิงเซวียนมาถึงร้านขายยาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขากระโดดลงจากม้าแล้วรีบเดินเข้าไปในร้านไม่นานนัก เขาก็เดินออกมาด้วยความจนใจเขาเอ่ยถามถึงสมุนไพรชั้นเลิศหลายชนิดที่ต้องการกับเถ้าแก่ กลับได้รับเพียงการส่ายหน้า“ร้านของข้าขายแต่สมุนไพรทั่วไป ไม่มีสมุนไพรชั้นเลิศพวกนั้นที่ท่านกล่าวถึง” ถังหมิงเซวียนเดินเข้าร้านขายยาอีกสองสามแห่งติดต่อกัน แต่ก็ยังหาซื้อไม่ได้เขาลูบที่ใบหน้าม้าเบา ๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูมันว่า “วันนี้คงต้องลำบากเจ้าให้วิ่งทางไกลสักหน่อยแล้ว”ถังหมิงเซวียนพูดพลางขึ้นขี่หลังม้า มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองเขาจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนที่ไปยังตัวเมืองเพื่อตามหาหญิงสาวที่หนีงานแ
สวีจงฉือเห็นถังหมิงเซวียนไม่พูดอะไร เพียงแต่มองไปที่สมุนไพรเขาจึงคิดไปเองว่าถังหมิงเซวียนอาจกังวลว่าสมุนไพรแพงเกินไป ไม่มีเงินพอที่จะซื้อสมุนไพรมากขนาดนั้นเขารีบพูดขึ้นว่า “คุณชายไม่ต้องกังวลเรื่องค่ายา ร้านยาจี้เฉ่าถังแห่งนี้เป็นของเจี่ยนอันอัน ท่านเพียงบอกชื่อสมุนไพรมาข้าจะจัดให้”ถังหมิงเซวียนไม่คาดคิดเลยว่าร้านขายยาจี้เฉ่าถังที่ใหญ่ขนาดนี้จะเป็นของเจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าสวีจงฉือกำลังจะหยิบสมุนไพรเพิ่ม เขาจึงรีบกล่าวว่า “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว มากไปจะเป็นการสิ้นเปลือง”ถังหมิงเซวียนร้อนใจอยากจะนำสมุนไพรกลับไป จึงไม่ได้พูดคุยอะไรกับสวีจงฉือเพิ่มเติมเขาหยิบห่อสมุนไพรหลายห่อแล้วหันหลังเตรียมจะออกไป“คุณชายโปรดรอก่อน” สวีจงฉือรีบรุดออกมาจากด้านหลังโต๊ะคิดเงินเขาเรียกถังหมิงเซวียนไว้ กล่าวอย่างไม่แน่ใจนักว่า “คุณชายช่วยพาข้าไปยังอำเภอไถหยางด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากไปดูว่าเถ้าแก่ของข้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”ถังหมิงเซวียนคิดในใจว่าร้านจี้เฉ่าถังเป็นของเจี่ยนอันอัน แถมสมุนไพรทั้งหมดนี้เขายังไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะเดียวเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำขอของอีกฝ่าย“ได้สิ ถ้าเช่นนั้
ถังหมิงเซวียนมาถึงเรือนหลัง เขานำหม้อต้มยาออกมาวางลงบนพื้นจากนั้นหยิบห่อสมุนไพรหลายห่อออกมา ใส่ลงในหม้อต้มยา แล้วจุดไฟใต้เตาเพื่อเริ่มการต้มยาเจ้าของโรงเตี๊ยมเห็นถังหมิงเซวียนต้มยาที่เรือนหลัง จึงเอ่ยว่า “เจ้าต้มยาก็ระวัง ๆ หน่อยนะ อย่าให้โรงเตี๊ยมของข้าติดไฟ”ถังหมิงเซวียนเหลือบตามองเจ้าของโรงเตี๊ยมโดยไม่พูดอะไรกระบวนการต้มยานั้นยุ่งยากและซับซ้อน เขาต้องแบ่งสมุนไพรใส่ทีละส่วนความร้อนก็ต้องควบคุมให้พอเหมาะ หากไม่ระวังเพียงนิดเดียว ยาจะไหม้ได้อากาศที่ร้อนอบอ้าว เมื่อรวมกับไอร้อนจากกองไฟ ผ่านไปไม่นานหน้าผากของถังหมิงเซวียนมีเหงื่อไหลซึมออกมาเขาใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อไม่ละสายตาจากหม้อต้มยาแม้แต่น้อยหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดยาถอนพิษก็ปรุงสำเร็จถังหมิงเซวียนขอถ้วยใบหนึ่งจากเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วเทยาถอนพิษลงในถ้วยเขาจัดเก็บหม้อต้มยา ใช้น้ำดับไฟให้สนิท แล้วเตะกองไฟที่ดับแล้วไปที่มุมหนึ่งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ถือถ้วยยาขึ้นไปยังชั้นสองสวีจงฉือเห็นถังหมิงเซวียนกลับมาแล้ว ในมือของเขาถือถ้วยยาสีดำสนิทสวีจงฉือช่วยเคาะประตูเรียกเมื่อฉู่จวินสิงเปิดประตูออก
เจี่ยนอันอันไม่ได้กรีดร้อง นางหยิบตะบันไฟออกมาเพื่อส่องแสงสว่างอย่างสงบนิ่งนางเห็นว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนสะพานแห่งหนึ่ง ใต้สะพานมีสายน้ำไหลเอื่อย พร้อมเสียงน้ำที่กระทบดังซ่า ๆในหัวของเจี่ยนอันอันปรากฏคำว่า ‘สะพานไน่เหอ[1]’ ขึ้นมาในทันทีแต่นางก็รีบปัดความคิดนั้นออกไปเจี่ยนอันอันเดินลงจากสะพาน มุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วไม่นาน นางก็เห็นแสงสว่างส่องอยู่ไกล ๆนางรีบเดินไปยังทิศทางของแสงนั้น เมื่อไปถึงจุดสว่าง ก็เห็นประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่แสงสว่างทั้งหมดส่องลอดออกมาจากด้านในของประตูเจี่ยนอันอันดีใจ นางคิดว่าหากเปิดประตูบานนี้ได้ อาจจะสามารถออกจากที่แห่งนี้ได้เจี่ยนอันอันรวบรวมแรงทั้งหมดผลักประตู เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นก่อนที่ประตูบานใหญ่จะเปิดออกภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือลานเรือนกว้างใหญ่เจี่ยนอันอันรู้สึกว่าลานเรือนแห่งนี้ดูคุ้นตา ราวกับว่านางเคยมาเยือนที่นี่ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงของเจี่ยนหลิงเยว่ดังขึ้น“คุณชายกู้ ข้ารู้ว่าผิดไปแล้ว ท่านได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด”เจี่ยนอันอันเดินตามเสียงนั้นไป นางพบว่าตัวเองสามารถเดินทะลุกำแพงได้ไม่นานนางก็เข้าไปในห้องแห่งหนึ่
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ
ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่ง เมื่อครู่ไม่ควรกล่าวถึงท่านอารองออกมาเร็วถึงเพียงนั้นแต่บัดนี้ลูกน้องไปเชิญท่านอามาแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เฝิงซานกวงรีบกล่าวต่อลูกน้องอีกคน “เจ้าไปบอกให้อู่เฉียงกลับมา”ลูกน้องผู้นั้นรับคำสั่งกำลังจะรีบวิ่งไปแต่เดินได้ไม่ถึงสองก้าว พลันถูกฉู่จวินสิงขวางหน้าไว้ก่อน“ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน ข้าจะให้ผู้นั้นเลือดนองอาบพื้นดินในบัดดล”ลูกน้องผู้นั้นได้แต่หวาดกลัวจนชะงักงัน พร้อมหันไปมองเฝิงซานกวง“ลูกพี่...”เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไปก็ไม่ได้อยู่ต่อก็มีความผิดเฝิงซานกวงโกรธจนกำหมัดแน่น เสียงขบฟันดังกรอดจนได้ยินชัด“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”เขาเริ่มรู้แล้วว่า วันนี้ตนน่าจะเจอจิ้งจอกเขี้ยวลากดินเข้าให้แล้วดูท่าหากไม่ต้อนรับขับสู้พวกเขาให้ดี เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจะมีจุดจบที่ไม่สู้งามนักเจี่ยนอันอันเห็นว่าเฝิงซานกวงน่าจะอับจนปัญญา จึงเอาสัญญาที่เฉียวซื่อมอบให้นางออกมา“เฝิงซานกวง นี่คือสัญญาที่เจ้าทำไว้กับเฉียวซื่อ ในนี้มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจต้องแก้ไขเล็กน้อย”เฝิงซานกวงกัดฟันกรอดอีกครั้ง บันดาลโทสะเสียจนใบหน้าที่อยู
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน